บทที่ 2 ความสงบอันแสนสั้น

1335 คำ
พี่หญิงใหญ่เดินนำทางมาถึงห้องของข้า จากนั้นพี่รองจึงค่อยวางข้าลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง แล้วพลิกร่างให้นอนคว่ำเพื่อไม่ให้แผลสัมผัสกับเตียง แต่อย่าให้มันสัมผัสเลย คราบเลือดที่โดนผ้า แห้งแล้วล้างออกยาก หลังจากนั้นข้าอาจจะถูกพวกบ่าวรับใช้ชังน้ำหน้ามากกว่าเดิม ลำพังทุกวันนี้ แค่มีก้อนแป้งเย็นๆ แห้งๆ ให้กิน มีห้องเท่ารูหนูให้ซุกนอนก็นับว่าดีมากแล้ว “นี่มันห้องเก็บของชัดๆ พวกบ่าวรับใช้ทำอะไรอยู่ เหตุใดห้องถึงได้เต็มไปด้วยหยากไย่ไรฝุ่นเช่นนี้” เซียวเฉิงซินพูดพลางกวาดสายตามองรอบห้องอย่างโมโห อันที่จริงข้าก็เห็นด้วย แม้ว่าข้าจะทำความสะอาดห้องบ้างเป็นบางครั้ง แต่วันใดที่ต้องอดอาหาร ร่างกายนี้แค่จะลุกออกจากเตียงยังยากลำบากเลย “บ่าวรับใช้ของเจ้าหายอยู่ที่ใดกัน ป่านนี้ยังไม่มาหาเจ้าอีก ใช้ไม่ได้” พี่รองขมวดคิ้วขณะช่วยใช้ผ้าขาวชุบน้ำที่เหล่าน้องๆ นำมาให้ เช็ดแผลให้อย่างระมัดระวัง คงเพราะกลัวว่าข้าจะเจ็บ แต่มันเจ็บจนเกินคำว่ารู้สึกเจ็บแล้ว ตอนนี้มันชาไปทั้งท่อนล่างจนขยับไม่ได้เลยต่างหาก “ข้าไม่มี...” ข้าพยายามเค้นเสียงตอบ ทว่าเพียงแค่ขยับปากก็สะท้านไปถึงบาดแผล รู้สึกเวทนาตัวเองจริงๆ ไม่ว่าจะโลกไหน ข้าก็ยังเป็นมนุษย์ที่ทั้งอ่อนแอและขี้ขลาด ความกล้าก็เป็นได้แค่ความคิดเท่านั้น “ไม่มีอันใด” พี่รองขมวดคิ้วถาม ข้าเผลอยกยิ้มมุมปาก สุดท้ายแล้วถึงพวกเขาจะสงสารข้า แต่ก็ใช่ว่าจะเหลียวแลกันสักหน่อย อีกไม่นาน ข้าก็จะไปจากที่แห่งนี้แล้ว คงไม่จำเป็นต้องผูกความสัมพันธ์ “ไม่มียารักษาแผลเจ้าค่ะ” ครั้นได้ยินคำตอบของข้า พวกเขาทั้งสองก็ถอนหายใจ เซียวเฉิงซินหยิบกระปุกยาขนาดเล็กออกมาจากแขนเสื้อแล้วยื่นให้ข้า ข้ามองมันด้วยความสงสัย “มันคือยาขี้ผึ้งรักษาแผล ใช้มันรักษาแผลเจ้าของจนกว่าจะหายดี” ข้าเผลอเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชื่อสิ่งของตรงหน้า ยาขี้ผึ้งนั้นไม่ใช่ว่าจะมีกันได้ง่ายๆ เนื่องจากมีราคาแพงเทียบเท่ากับอาหารคนหนึ่งคนถึงหกเดือน อีกทั้งยังถูกพวกขุนนางถือสิทธิ์ขาดในการผลิตอีกต่างหาก และที่เซียวเฉิงซินมีได้ นั่นก็เพราะเป็นของขวัญจากท่านพ่อ ในวันที่นางได้กลายเป็นลูกศิษย์ของสำนักดาบหวงไท่ ที่นางกลับมายังจวนสกุลเซียววันนี้ ก็เพราะเป็นวันไหว้บรรพบุรุษ แต่ของมีค่าเช่นนี้ ข้าคงรับไว้ไม่ได้ ถ้าหากเซียวฮูหยินเห็นเข้า นางจะต้องคิดว่าข้าขโมยมันมาจากลูกสาวของนางอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ขาข้าคงหักจนไม่สามารถเดินได้อีก ข้าส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าใช้สมุนไพรห้ามเลือดก็พอเจ้าค่ะ” ข้าเห็นความไม่พอใจในดวงตาของนาง คงเพราะไม่เคยโดนปฏิเสธมาก่อนกระมัง แต่นางก็เก็บสีหน้าได้ดี จนบางครั้งข้าก็อ่านนางไม่ออก ในนิยายเซียวเฉิงซินเป็นตัวละครที่หัวรั้นและเอาแต่ใจไม่น้อย เมื่อได้เจอกับตัวถึงได้รู้ว่าบางทีอาจจะมีบางอย่างที่มากกว่าในนิยาย “เจ้าเด็กหัวรั้นคนนี้นี่ เจ็บปางตายเช่นนี้ยังอวดเก่งอีก” เซียวเฉิงซินตำหนิ จากนั้นยื่นกระปุกยาให้เซียวอู่หาน “ทาแผลให้นางเสีย” พี่รองรับมาถือไว้แล้วมองข้าด้วยสายตากังวล คงเพราะเป็นบุรุษ ต่อให้ข้าเป็นน้องสาว แต่จะเปิดกระโปรงของสตรีมั่วซั่วได้อย่างไร ข้าลอบมองพี่รองด้วยความเอ็นดู เซียวอู่หานเป็นบุตรชายคนโตของบ้าน แม้พี่หญิงใหญ่จะเป็นลูกคนแรก แต่ก็ไม่ใช่ลูกชาย จึงไม่ได้รับความคาดหวังมากนัก นางจึงสามารถออกไปท่องยุทธภพได้โดยไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากห้าม ในขณะที่ทายาทตัวจริงคือเซียวอู่หานต่างหาก แม้จะเป็นบุตรชายของอนุคนที่สอง แต่ก็เป็นคนที่ท่านย่าใหญ่รักมาก รักชนิดที่เซียวฮูหยินยังไม่กล้าแต่ต้อง เซียวเฉิงซินคงรู้ว่าไม่มีใครกล้าให้ร้ายเซียวอู่หาน จึงได้มอบยากระปุกนี้ให้ดูแล “พี่หญิงใหญ่ขอรับ แต่ข้าเป็นบุรุษ ไม่ควรแตะต้องสตรี” พี่รองแย้ง “แต่น้องเจ็ดเป็นน้องสาวของเจ้า เจ้าคิดมากไปแล้ว เมื่อครู่ก็ยังช่วยเช็ดแผลให้นางอยู่เลยมิใช่รึ” เซียวอู่หานเลิ่กลั่กเมื่อเซียวเฉิงซินพูดได้ถูกต้องทุกอย่าง “ก็ ก็เมื่อครู่ข้าตกใจ จึงไม่มีสติ” พี่หญิงใหญ่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “เช่นนั้นก็จงไร้สติต่อไป ตอนนี้ตัวข้ามีแต่ฝุ่นสกปรก คนที่มือสะอาดที่สุดก็คือเจ้หากไม่รีบลงมือ แผลอาจจะเน่าจนต้องตัดเนื้อทิ้งก็เป็นได้” นางขู่ พี่รองหันมามองข้าด้วยสายตาเวทนา “น้องเจ็ด” ตัวข้าที่ไม่มีแรงแม้จะประคองสติ อยากจะสลบเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว ทำได้แค่พยักหน้า ตอนนี้อยากทำอันใดก็ทำเถิด ข้าอยากจะหลับเต็มทนแล้ว หลายวันต่อมา ในที่สุดบาดแผลของข้าก็หายดี แม้จะยังไม่สามารถวิ่งเล่นได้เหมือนพวกน้องๆ แต่ก็พอจะเดินเองได้โดยไม่ต้องให้ใครมาประคอง ประจวบกับเป็นช่วงที่ท่านพ่อเดินทางกลับมาจากค้าขายที่ต่างเมืองแล้ว ทำให้เรือนไม้ผุพังท้ายจวนสงบลงสักที หากทว่าช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นช่างสั้นเหลือเกิน ตัวข้าที่กำลังนั่งเล่นอยู่ที่สะพานริมน้ำ ก็ถูกบ่าวรับใช้คนสนิทของเซียวฮูหยินเรียกหา “คุณหนูเจ็ด! คุณหนูเจ็ดอยู่ไหนเจ้าคะ!” เสียงเรียกแหลมๆ นั้นดังมาแต่ไกล เป็นเสียงที่ได้ยินทีไรก็รู้สึกเหมือนกำลังจะถูกพรากความสุขทุกที คราวนี้กำลังจะสร้างละครฉากใดอีกเล่า ถึงได้ร้อนรนเรียกหาข้าเช่นนี้ “คุณหนูเจ็ด! อ้อ อยู่นี่นี่เอง ท่านหูหนวกหรือเจ้าคะ ถึงไม่ได้ยินที่ข้าเรียก!” จ้าวซูเท้าเอวอยู่ตีนสะพานพร้อมมองข้าด้วยสายตาไม่สบอารมณ์ ข้าหันไปมองนางแล้วถอนหายใจ จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคง “พวกเจ้ามีธุระอันใด” ข้าถามเสียงเรียบ แม้จะพอเดาได้ว่าคงไม่ใช่เรื่องดีนัก “ฮูหยินใหญ่สั่งว่า วันนี้คุณหนูจะต้องไปร่วมโต๊ะอาหารมื้อเย็นด้วย ท่านสั่งให้ข้าช่วยเตรียมตัวให้คุณหนูเจ้าค่ะ” จ้าวซูตอบด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้าง ทว่าคำตอบของนางทำให้ข้าถึงกับกระตุกยิ้ม คงจะเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ มิเช่นนี้ก็คงไม่เรียกหาข้า ข้ากอดอกมองด้วยสายตายียวน “ทำไมข้าต้องไปด้วย” “เพราะเป็นคำสั่งของฮูหยินใหญ่ คุณหนูไม่สามารถขัดขืนได้เจ้าค่ะ!” ข้าไหวไหล่เบาๆ นึกแล้วว่านางต้องตอบมาเช่นนี้ “เจ้าไม่กลัวว่าฮูหยินใหญ่ของเจ้าเห็นหน้าข้าแล้ว จะไม่เจริญอาหารหรืออย่างไร” “นั่นไม่ใช่เรื่องที่คุณหนูต้องสนใจเจ้าค่ะ!” ข้าถอนใจเบาๆ มองบ่าวรับใช้ทั้งสามที่มาด้วยกันด้วยความเบื่อหน่าย “ก็ได้ๆ ไม่สนใจก็ได้ อยู่มาพันปีกว่าจะได้กินข้าวที่มนุษย์ปกติกินกันนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หวังว่าจะไม่ใช่อาหารมื้อสุดท้าย”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม