สิบวันผ่านไป
โรงพยาบาลเผิงเฉิง เซินเจิ้น
ห้องพิเศษ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! เสียงเคาะประตูเป็นสัญญาณขออนุญาตจากคนที่อยู่ด้านนอก ก่อนจะเปิดเข้ามาพร้อมร่างของหญิงสาวในวัย 18 ปีก้าวเข้ามาภายในห้องดังกล่าว ใบหน้าที่เรียบเฉยปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันใดเมื่อดวงตาของเธอเห็นร่างใหญ่ของบิดาอยู่ในท่ากึ่งนอนกึ่งนั่งจากเตียงคนไข้ที่ถูกปรับระดับให้ยกขึ้นสูง
“คุณพ่อ!”หญิงสาวส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจพร้อมรีบก้าวเดินตรงเข้าไปหาก่อนจะโผเข้าสวมกอดบิดาเบาๆ
“คุณพ่อฟื้นขึ้นมาเสียทีดีใจจังเลยค่ะ”กล่าวพร้อมหันกลับไปมองใบหน้าอวบอิ่มของคุณแคทธารีน
“คุณแม่ไม่ปลุกเลย ปล่อยให้หนูนอนกินบ้านกินเมืองจนเตลิดบ่ายแล้วก็มาหาคุณพ่อตามลำพัง”หญิงสาวกล่าวน้ำเสียงกระเง้ากระงอดท่ามกลางเสียงหัวเราะเบาๆ ของคนเป็นพ่อ
“อย่าไปต่อว่าแม่เลยลูก พอดีพ่อฟื้นขึ้นมาไม่เห็นหน้าแม่ก็เลยให้พยาบาลพิเศษที่เฝ้าพ่อโทรให้แม่มาหาก็เท่านั้นเองแหละ”หยางไค่ซ้านอธิบายให้ลูกสาวล่วงรู้
“แม่มัวแต่ดีใจที่พยาบาลโทรมาบอกว่าคุณพ่อฟื้นแล้วก็เลยรีบมากลางดึกเลยลูก อีกอย่างเห็นยายหนูอ่านแฟ้มงานและช่วยแบ่งเบาภาระแม่จากงานของคุณพ่อ เห็นว่าเหนื่อยก็เลยปล่อยให้นอนพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ แล้วเป็นอย่างไงนอนหลับที่บ้านของเราหลับสนิทนอนอิ่มดีไหมลูก”คุณแคทธารีนถามลูกสาวของนางกลับไป
“หลับสนิทจนอิ่มมากเลยค่ะคุณพ่อคุณแม่ นานมากแล้วที่หนูไม่ได้นอนหลับเต็มอิ่มและนอนหลับได้ดีถึงขนาดนี้ ไม่คาดคิดว่าบ้านที่สร้างอยู่กลางใจเมืองจะเงียบได้เหมือนกัน ตั้งแต่หนูมาไม่เคยต้องตื่นกลางดึกเลยน่าแปลกนะคะ”หญิงสาวบอกกลับไปด้วยความแปลกใจพร้อมเสียงของหยางไค่ซ้านเอ่ยขึ้น
“โซนนั้นเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับคนที่มีกำลังซื้อที่ดินผืนใหญ่และสร้างบ้านของตัวเอง จึงกำจัดมลภาวะทางเสียงที่มาจากรอบนอกไม่ให้เข้าไปคุกคามโซนบ้านเป็นหลังนะลูก รัฐบาลมีระบบการจัดการที่ดีมากนี่ถ้าสามารถเป็นเจ้าของที่ดินได้ละก็พ่อคงจะกว้านซื้อที่ดินเอาไว้ไม่ยั้งเลย แต่ทำได้แค่มีสิทธิครอบครองเท่านั้นเพราะที่ดินในประเทศล้วนเป็นของรัฐทั้งหมด”หยางไค่ซ้านอธิบายให้ลูกสาวของเขาให้เข้าใจ
ในขณะที่คนเป็นลูกพยักหน้าขึ้นลงเมื่อเธอเข้าใจทุกอย่างที่พ่อบอกมาทั้งหมด
“ถ้าเสียดายนะคะคุณพ่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ต่างชาติก็จะมีโอกาสเข้ามาถือครองแผ่นดินได้”
หยางไค่ซ้านยิ้มกว้างเมื่อลูกสาวของเขามีความคิดเห็นคล้อยตามเป็นครั้งแรก จนรู้สึกแปลกใจไม่น้อยเลยมีเดียว
“พ่อฟังไม่ผิดใช่ไหมแม่ว่าเสี่ยวจูของเรา เห็นดีเห็นชอบกับการบริหารจัดการของทางแผ่นดินใหญ่”หยางไค่ซ้านถามภรรยาเพื่อความแน่ใจแต่ยังไม่ทันที่คู่ชีวิตจะเอ่ยตอบคนเป็นลูกกลับให้คำตอบเสียเอง
“คุณพ่อแปลกใจอะไรเหรอคะที่หนูให้ความสนใจและเริ่มจะเรียนรู้แผ่นดินเกิดของตัวเอง เมื่อก่อนอยากให้หนูมาอยู่ด้วยพอมาจริงๆ กลับไม่เชื่อซะงั้น”หญิงสาวตัดพ้อ
ท่ามกลางสายตาของคนเป็นพ่อและแม่ต่างหันกลับมามองหน้ากันเมื่อได้ยินลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนบอกออกมาเช่นนั้น
“จริงเหรอลูกยายหนูไม่ได้พูดเพื่อให้พ่อแค่สบายใจเพราะเห็นว่ากำลังเป็นแบบนี้อยู่นะ”หยางไค่ซ้านถามย้ำกลับไป
หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างเตียงพร้อมคว้ามือใหญ่ของพ่อมากำเอาไว้พร้อมเอ่ยขึ้น
“หนูสละสิทธิเข้าเรียนคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยสิงค์โปร์แล้วค่ะ แล้วก็ได้รับการตอบรับเข้าเรียนคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยซิงหัว ที่ปักกิ่งแล้วด้วยกว่าจะเรียนจบใช้เวลาถึงแปดปีเลยทีเดียวแต่ก็จบมาพร้อมกับปริญญาเอกด้วยนะคะ”หญิงสาวบอกพ่อของเธอ
“จริงเหรอนี่! เสี่ยวจูของพ่อสอบเข้าเรียนแพทย์ในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของที่นี่ได้ โอโห่! ลูกพ่อไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ต่อไปบ้านเราก็มีคุณหมอแสนสวยคอยดูแลสุขภาพของพ่อกับแม่แล้วละสิ”หยางไค่ซ้านกล่าวอย่างภาคภูมิใจในตัวลูกอย่างยิ่งยวด
“หนูไม่ได้เลือกเรียนทางด้านบริหารตามที่คุณพ่อต้องการ แต่กลับเรียนหมอคุณพ่อไม่ต่อว่าหนูเหรอคะ”หญิงสาวถามกลับไปเมื่อเห็นอาการดีใจของบิดามีมากมายอย่างเห็นได้ชัด
“ลูกไปเอาความคิดมาจากไหนว่าพ่อจะบังคับให้เรียนบริหาร แค่กลับมาอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกก็พอแล้ว จะเลือกเรียนอะไรพ่อไม่ห้ามเลย ยิ่งสอบติดคณะแพทย์อันดับหนึ่งของประเทศหน้าพ่อบานจนจะออกนอกไปอวกาศแล้วลูก ในวันข้างหน้าถ้าลูกอยากมีคลินิกหรือโรงพยาบาลเพื่อช่วยเหลือผู้คนที่ไม่มีกำลังพ่อก็พร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่”หยางไค่ซ้านบอกลูกน้ำเสียงจริงจังท่ามกลางความแปลกใจของบุตรสาวเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ หนูดีใจจังเลยที่เข้าใจ”หญิงสาวพูดพร้อมยกร่างของตัวเองขึ้นจากเก้าอี้เล็กน้อยหอมแก้มพ่อซ้ายขวาเป็นการใหญ่ท่ามกลางเสียงหัวเราะของทั้งพ่อและแม่
“โอ้ยแม่ดูสิ พ่อแก้มช้ำหมดวันนี้ถูกลูกสาวคนสวยหอมแก้มซ้ายขวาเลย”หยางไค่ซ้านบอกภรรยา
ในขณะที่คนเป็นแม่ถูกลูกสาวตรงเข้าหอมแก้มด้วยเช่นกัน
“ขอบคุณนะคะแม่ที่อยู่เคียงข้างมาโดยตลอดและพูดเตือนสติให้ข้อคิดหนู”หยางลี่จูบอกแม่ของเธอท่ามกลางรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดีใจที่ได้ยินลูกสาวบอกกลับมาเช่นนั้นพร้อมเสียงของหยางไค่ซ้านเอ่ยแทรกขึ้น
“พ่อมีที่ดินอยู่หลายผืนที่ได้สิทธิครอบครองเอาไว้ แล้วมีอยู่ผืนหนึ่งขนาดใหญ่มากเลยนะเคยเป็นที่ตั้งจวนเก่าของบรรพบุรุษพ่อมาก่อน เนื้อที่รวมแล้วก็เป็นร้อยไร่เลยทีเดียวอยู่ใกล้ยอดเขายูลูสามารถเอามาพัฒนาจะสร้างหรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์ได้ อีกทั้งตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมืองฉางซาเท่าไรนัก ที่ดินผืนนี้มีประวัติความเป็นมายาวนานมากเลยทีเดียว”หยางไค่ซ้านอธิบายให้ลูกสาวฟัง
และแน่นอนว่าหยางลี่จูที่กำลังให้ความสนใจบันทึกโบราณที่ขุดพบในเขตพื้นที่ซึ่งพ่อของเธอครอบครองอยู่ในขณะนี้ถึงกับหูผึ่งขึ้นมาทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น
“ที่ดินผืนนี้ใช่ที่ขุดพบบันทึกโบราณหรือเปล่าคะคุณพ่อ”หญิงสาวถามสวนกลับไป
หยางไค่ซ้านพยักหน้าขึ้นลงพร้อมมองหน้าลูกสาวของเขาด้วยความแปลกใจ
“ยายหนูรู้ได้อย่างไงว่าที่ดินของพ่อผืนนี้ขุดพบบันทึกโบราณ”คนเป็นพ่อถามกลับไปพร้อมมองหน้าภรรยากับลูกสาว
“คุณพ่อเพิ่งฟื้นคงยังไม่ทราบว่าเมื่อสิบวันก่อน มีเอกสารของผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาโบราณส่งรายละเอียดเกี่ยวกับบันทึกที่ถอดข้อความออกมากจากม้วนไม้ไผ่โบราณที่ขุดเจอนั้นส่งมาให้แล้วค่ะ ตอนนั้นคุณพ่อยังไม่ฟื้นหนูก็เลยรับหน้าที่อ่านบันทึกที่ถอดข้อความออกมาจากผู้เชี่ยวชาญแทน บอกตรงๆ ว่าพออ่านจบมันเกิดความสงสัยขึ้นมาทันทีเลย”หญิงสาวบอกพ่อของเธอกลับไป
“ยายหนูสงสัยอะไรลูก บันทึกของบรรพชนเขียนอะไรที่นอกเหนือไปจากนั้นเหรอ”หยางไค่ซ้านถามลูกสาว
“ผู้เชี่ยวชาญทางภาษาโบราณถอดข้อความออกมาได้ว่า ตระกูลถานพบกับจุดจบเพราะบุตรสาวที่ชื่อถานหยี่เหยียน ทำให้ท่านเสนาบดีพร้อมทุกชีวิตในตระกูลถูกประหารเก้าชั่วโคตรไม่มีใครเหลือรอดชีวิตเลย แต่ถ้าหากจะพูดกันตามความเป็นจริงแล้วเป็นถึงอนุชายาของชินอ๋องแห่งแคว้นฉู่ เท่ากับว่าอยู่ในระดับเชื้อพระวงศ์จะต้องทำความผิดขั้นร้ายแรงขนาดไหนถึงได้ถูกสั่งประหารเก้าชั่วโคตรแบบนั้นได้คะ”
คำกล่าวของบุตรสาวทำให้หยางไค่ซ้านนั่งครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอ่ยตอบกลับไป
“ถ้าผู้เชี่ยวชาญสามารถถอดข้อความในบันทึกออกมาได้แบบนั้น ก็หมายความว่าต้องมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับอนุชายา จึงได้รับโทษประหารเก้าชั่วโคตรแบบนั้นส่วนจะร้ายแรงมากน้อยแค่ไหน โทษสมัยโบราณที่จะได้รับถึงเพียงนี้ก็คือข้อหากบฏ!”
“กบฏเหรอคะ”หยางลี่จูอุทานเสียงหลง
“มันเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานของพ่อ ส่วนเรื่องจริงจะเป็นอย่างไรพวกเราคนรุ่นหลังไม่สามารถล่วงรู้ได้หรอก นับได้ว่ายังโชคดีที่ยังมีเชื้อสายเล็ดรอดหลงเหลืออยู่จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น เพราะว่าพวกเราก็คือลูกหลานของตระกูลถานที่รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด”หยางไค่ซ้านอธิบายให้บุตรสาวของเขาฟัง
“เหตุการณ์มันเป็นอย่างไรเหรอคะคุณพ่อ”หญิงสาวถามสวนคุณพ่อของเธอกลับไปด้วยความอยากรู้
“หากกล่าวกันตามความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่พ่อรู้มาก็คือบุตรชายคนโตของตระกูลถานไปมีสัมพันธ์กับหญิงสาวชาวบ้าน ซึ่งมีฐานะแตกต่างกันอย่างฟ้ากับเหว แต่ฮูหยินใหญ่ที่เป็นแม่ไม่ยอมรับคนรักของบุตรชายเข้าตระกูล”
“ไม่ยอมรับเข้าตระกูลก็คือไม่ให้แต่งงานกันและไม่ได้อยู่ในฐานะใดเลยใช่ไหมค่ะ”หญิงสาวถามกลับไป
“ถูกต้องแล้วยายหนู ฮูหยินใหญ่ซึ่งเป็นแม่ไม่รู้ว่าคนรักของลูกชายกำลังท้อง แม้แต่ตัวบุตรชายเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนรักของเขาตั้งท้อง จึงทำให้เด็กคนนั้นรอดชีวิตหวุดหวิดจากการประหารล้างตระกูลในครั้งนั้น แต่เด็กที่เกิดมาเป็นผู้หญิงและใช้แซ่ตามพ่อคนใหม่เพราะแม่ต้องแต่งงานไปกับคนอื่น จนกระทั่งสืบเชื้อสายนับรุ่นต่อรุ่นมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่นั้นมาจนมาถึงพวกเรา”หยางไค่ซ้านเล่ารายละเอียดแบบย่อให้ลูกสาวฟัง
“แสดงว่าคุณพ่อเชื่อข้อความจากบันทึกโบราณฉบับนั้นว่าเขียนขึ้นจากเหตุการณ์จริงอย่างนั้นเหรอคะ”หญิงสาวถามพ่อของเธอสวนกลับไปทันใด
“พวกเราเป็นคนรุ่นหลังไม่มีทางล่วงรู้หรอกลูกว่าเหตุการณ์จริงเป็นอย่างไง เชื่อว่าการบันทึกของคนในสมัยนั้นก็เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐาน และบันทึกเฉพาะที่คิดว่ามีความสำคัญเกี่ยวกับตระกูลเพียงเท่านั้น”
คำกล่าวของหยางไค่ซ้านก็ไม่อาจไขข้อข้องใจให้แก่ลูกสาวของเขาได้เธอยังมีความรู้สึกว่าค้างคาใจอยู่เช่นนั้น
“แต่หนูไม่คิดแบบนั้นค่ะพ่อ มันต้องมีอะไรมากกว่านั้นแน่ๆ แต่เหตุการณ์ที่ทำให้อนุชายาของชินอ๋องได้รับโทษประหารชีวิตพลอยทำให้ทั้งตระกูลเดือดร้อนไปด้วย จนทำให้ต้องถูกประหารมากมายถึงขนาดนั้นเก้าชั่วโคตร ต้องจบชีวิตลงไปไม่ใช่น้อยๆ เลยนะคะจะมีคนต้องตายไปกี่คนก็ไม่รู้”หยางลี่จูบอกพ่อของเธอ
“ถ้าในสมัยโบราณแบบนั้นในยุคจ้านกว๋อที่แคว้นฉู่เป็นหนึ่งในเจ็ดแคว้นใหญ่ จำนวนของคนในตระกูลถานก็มีไม่มากเท่ากับในยุคปัจจุบัน อาจจะไม่ถึงห้าร้อยคนเสียด้วยซ้ำไปถ้านับเก้าชั่วโคตรนะลูก ทำไมยายหนูของพ่อให้ความสนใจเรื่องนี้มีอะไรหรือเปล่า”หยางไค่ซ้านถามลูกสาวของเขาด้วยความแปลกใจ
ท่ามกลางสายตาของพ่อและแม่ต่างพากันมองเสี่ยวจูของคนทั้งสอง ในขณะที่คนถูกกล่าวถึงกำลังนั่งกอดอกพลางยกหัวแม่นิ้วโป้งขึ้นขบกัดไปมายามใช้ความคิด ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของทั้งคู่
“คุณพ่อค่ะที่ดินผืนนั้นที่ขุดพบบันทึก ในสมัยโบราณก็คือจวนที่ตั้งของสกุลถานที่อยู่ในแคว้นฉู่ แล้วตอนนี้ในยุคปัจจุบันอยู่ที่เมืองอะไรเหรอคะ”หยางลี่จูถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“ที่ดินผืนนั้นตั้งอยู่ใกล้เขายูลูในเขตเมืองฉางซา ของมณฑลหูหนาน แคว้นฉู่ในสมัยนั้นจะครอบครองพื้นที่ถ้าเทียบกับในยุคปัจจุบันนี้ก็จะครอบคลุมดินแดนของมณฑลหูหนาน, มณฑลหูเป่ย, ฉงชิ่ง, มณฑลเหอหนาน, มณฑลอานฮุย และบางส่วนของมณฑลเจียงซูและมณฑลเจียงซี”
“โอโห่! กว้างไม่ใช่เล่นเหมือนกันแฮะ”หญิงสาวพูดพึมพำพร้อมเอ่ยขึ้น
“คุณพ่อขา อาทิตย์หน้าจะต้องไปตรวจสอบที่ดินผืนนี้และรับเอกสารครอบครองฉบับจริงที่จัดทำเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว จากสำนักงานที่ดินกลับมา เรื่องนี้หนูขออาสาไปทำหน้าแทนคุณพ่อนะคะ อยากไปเห็นว่าที่ดินผืนนี้เป็นอย่างไง เหมาะที่จะนำมาพัฒนาและทำอะไรบ้างในอนาคตข้างหน้า”
คำกล่าวของลูกสาวทำให้หยางไค่ซ้านยิ้มกว้างออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“เอาสิลูก! ในเมื่อยายหนูให้ความสนใจมากขนาดนี้พ่อไม่ขัดอยู่แล้ว แต่ระยะทางจากเซิ่นเจิ้นบินไปฉางซาใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่เหมือนกันนะลูก ถ้าอย่างไงต้องได้เข้าพักโรงแรมนอนค้างคืนวันถัดมาถึงจะมีไฟท์บินกลับ ถ้าจะให้ดีจองเที่ยวบินไปกลับเอาไว้ล่วงหน้าจะได้ไม่เสียเวลา เพราะพ่อเคยไปมาเมื่อครั้งที่แล้ว”
หยางลี่จูพยักหน้าขึ้นลงแต่เธอกลับมีความคิดบางอย่างพร้อมเอ่ยขึ้น
“ตั้งแต่หนูบินมาถึงยังไม่เคยไปเที่ยวที่ไหนเลยค่ะพ่อ ถ้าเป็นหูหนานจำไม่ผิดจะมีประตูสวรรค์เทียนเหมินซาน แล้วก็มีเมืองโบราณเฟิงหวง แล้วก็ยังมีอุทยานจางเจียเจี้ย ที่มีภูเขาลอยฟ้าเหมือนอยู่บนสวรรค์ หนูอยากไปเที่ยวมากเลยค่ะ คุณพ่อคุณแม่อนุญาตให้หนูไปเที่ยวนะคะ สัญญาว่าจะไม่ดื้อไม่เกเรกลับมาแล้วจะเป็นเด็กดีของคุณพ่อคุณแม่เชื่อฟังทุกอย่างเลยค่ะ”หญิงสาวพยายามอ้อนวอนเป็นการใหญ่
ในขณะที่สองสามีภรรยาหันมามองหน้ากัน ด้วยเพราะหากปล่อยไปเที่ยวตามลำพังก็เป็นห่วงลูกสาวของทั้งคู่แต่ถ้าจะไม่ให้ไปเกรงว่าจะทำร้ายจิตใจและบังคับกันเกินไปจะพาลดื้อไปง่ายๆ เพราะหยางลี่จูบทจะดีก็ดีใจหาย บทถ้าจะดื้อขึ้นมาละก็กลายเป็นเด็กหัวแข็งขึ้นมาทันที ปรับเปลี่ยนนิสัยไปเป็นคนละคนอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว
“ยายหนูไปเที่ยวคนเดียวตามลำพังไม่มีใครไปด้วยพ่อกับแม่เป็นห่วง เอาแบบนี้ดีไหมเดี๋ยวจะให้เพื่อนของพ่อที่เป็นผู้ว่าการมณฑลหูหนาน ส่งคนของเขาขับรถพาหนูไปสถานที่ต่างๆ ก็แล้วกันรวมไปถึงคอยดูแลความปลอดภัยแทนพ่อกับแม่ที่ไม่ได้ไปด้วย”
หยางไค่ซ้านยื่นขอเสนอกับลูกสาวในขณะที่เจ้าตัวกำลังจะอ้าปากขอแบกกระเป๋าเป้เดินเที่ยวตามลำพัง กลับต้องหยุดชะงักทันทีเมื่อมือของแม่ตรงเข้ามากุมมือของลูกเอาไว้พร้อมเอ่ยขึ้น
“คุณพ่อเป็นห่วงนะลูก หนูเพิ่งจะบินมาเป็นครั้งแรกต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะไปไหนต่อไหน อีกอย่างต้องไปขอทำบัตรประชาชนใหม่เพื่ออัพเดทอัตลักษณ์ปัจจุบันและใบขับขี่ด้วยนะลูก ก่อนไปดูงานให้คุณพ่อและไปเที่ยวพักผ่อนด้วยจะต้องจัดการให้เรียบร้อยทุกอย่าง อีกเพียงแค่ไม่กี่วันก็จะถึงวันนัดแล้วเชื่อแม่นะยายหนู”เสียงของแม่บอกลูกรักด้วยความห่วง
และนั่นทำให้หยางลี่จูยอมถอยหนึ่งก้าวทำตามที่แม่ของเธอแนะนำทุกอย่าง พร้อมหันกลับไปมองพ่อของเธอที่กำลังนอนป่วยอยู่บนเตียงในขณะนั้น
“หนูแล้วแต่คุณพ่อคุณแม่ค่ะ สัญญาว่างานของคุณพ่อจะได้รับการตรวจสอบจากหนูอย่างรอบคอบที่สุด และได้เที่ยวพักผ่อนอย่างเต็มอิ่มก่อนจะต้องกลับมาเรียนหมออย่างเคร่งเครียดยาวนานอีกหลายปี”หญิงสาวบอกพ่อและแม่ของเธอกลับไป
ท่ามกลางรอยยิ้มของสองสามีภรรยาเมื่อได้ยินลูกสาวสุดที่รักของพวกเขาบอกกลับมาเช่นนั้น
“อีกแค่ไม่กี่วันฉันจะได้เห็นที่ดินผืนนั้นเสียที แต่ก่อนอื่นจะต้องไปรับบันทึกโบราณที่ขุดพบกลับมาด้วยเสียก่อนเพราะมันเป็นสมบัติของต้นตระกูลฉันไม่ใช่ของใคร!”