มณฑลหูหนาน
เมืองฉางซา
บริเวณยอดเขายูลู ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองฉางซา เป็นยอดเขาที่มีภูมิทัศน์สวยงามมาก เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ มีบรรยากาศสดชื่น บริสุทธิ์ โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ที่ใบเมเปิลทั่วทั้งหุบเขาจะพากันเปลี่ยนสีสันอย่างสวยงาม
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวยอดเขาก็จะขาวโพลนไปด้วยหิมะ อากาศหนาวเย็นจับใจแต่ก็สวยงามมากยิ่งนัก บริเวณด้านบนของภูเขาจะมีสวนสาธารณะ พร้อมด้วยศาลาริมน้ำสไตล์จีนอันสวยงาม เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมของชาวเมืองอีกแห่งหนึ่ง
ที่ดินเปล่าผืนใหญ่เต็มไปด้วยต้นไม้และหญ้าขึ้นปกคลุมมากมาย ไกลออกไปเห็นป่าไผ่สีเขียวขจียืนต้นสูงสามารถมองเห็นได้แต่ไกลซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของยอดเขายูลู ภายในบริเวณดังกล่าวปรากฏร่างระหงของหญิงสาวในชุดสูทกางเกงสีขาวทั้งชุด
“โอโห่! ที่ดินผืนนี้สวยจังเลยติดกับยอดเขาเสียด้วย บรรยากาศร่มรื่นดีจัง แสดงว่าที่ตั้งของจวนตระกูลถานก็คือตรงที่ฉันกำลังยืนอยู่นี้นะเหรอ”หยางลี่จูยืนพูดอยู่คนเดียวเพียงลำพัง
แว่นกันแดดถูกนำออกจากใบหน้าเพื่อใช้สายตามองทิวทัศน์ไปทั่วบริเวณโดยรอบ อันเป็นสถานที่เคยตั้งจวนโบราณในยุคอดีตก่อนจะได้ยินเสียงคนขับรถซึ่งถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทของบิดาซึ่งเป็นถึงผู้ว่าการมณฑลหูหนาน
“คุณหนูครับผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาโบราณที่นัดกันไว้เดินทางมาถึงแล้วครับ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้นร่างระหงในชุดสูทสีขาวหันกลับมามองทางด้านหลังทันที พร้อมร่างของสตรีวัยประมาณสี่สิบปีต้นๆ กำลังก้าวลงมาจากรถส่วนตัวของเธอพร้อมถือถุงกระดาษสีดำขนาดใหญ่พอประมาณมาด้วย ก่อนจะเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว
“คุณหนูหยางใช่ไหมค่ะ ดิฉันม่านเสี่ยวถงค่ะ”ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณกล่าวแนะนำตัวท่ามกลางสายตาของหยางลี่จูที่มีความรู้สึกว่าเธอเคยเห็นหน้ามาจากที่ไหนมาก่อนแต่นึกเท่าไรก็นึกไม่ออก หญิงสาวเลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้อยู่ภายในใจ
“คุณน้าคือผู้เชี่ยวชาญที่คุณพ่อให้แปลบันทึกโบราณที่ขุดพบในที่ดินผืนนี้ใช่ไหมค่ะ”หยางลี่จูเปิดฉากถามอีกฝ่ายกลับไป
“ใช่แล้วค่ะ! แล้วก็นี่คือบันทึกโบราณของจริงที่ขุดพบ ดิฉันนำไปทำความสะอาดให้เป็นอย่างดีและเก็บไว้ในถุงผ้าใส่ในกล่องเก็บอีกครั้ง เพราะว่าบันทึกนี้ไม่ใช่กระดาษและก็ไม่ได้เขียนลงบนผ้าแต่เป็นแผ่นไม้ไผ่อย่างดีที่คนชั้นสูงในสมัยโบราณนำมาใช้แทนกระดาษที่ยังไม่มีการคิดค้นขึ้นในช่วงนั้น”ผู้เชี่ยวชาญอธิบายกลับไป
ใบหน้าแสนสวยพยักหน้าขึ้นลงเมื่อได้ยินคำอธิบายดังกล่าวก่อนจะเอ่ยถาม
“คุณน้าถอดข้อความออกมาจากบันทึกโบราณที่อยู่ในม้วนไม้ไผ่ที่ขุดพบ มีคำอธิบายถึงสาเหตุที่ตระกูลถานต้องโทษประหารเก้าชั่วโคตรหรือเปล่าค่ะ และถานหยี่เหยียนทำความผิดอะไรจึงเป็นสาเหตุทำให้ตระกูลตัวเองพบกับความหายนะ”หญิงสาวถามกลับไปอย่างไม่อ้อมค้อม
หากแต่คำตอบที่ได้รับกลับเป็นเพียงใบหน้าที่ส่ายไปมาติดต่อกันเป็นสัญญาณปฏิเสธ
“ในบันทึกที่ขุดพบอักษรบางตัวก็จางหายไปตามกาลเวลาที่ผ่านมาหลายพันปีก็ไม่ใช่น้อยเลยค่ะ บางช่วงก็เลือนหายทั้งประโยคยากต่อการปะติดปะต่อพอสมควร แต่จากที่อ่านโดยรวมแล้วไม่น่าจะมีการกล่าวถึงหรือเขียนบันทึกเอาไว้นะคะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ!”หยางลี่จูเอ่ยออกมาครั้นได้ยินเช่นนั้น
“คุณน้าแน่ใจแล้วเหรอคะว่าไม่มีบันทึกอะไรเอาไว้จริงๆ”หญิงสาวถามย้ำกลับไปเพื่อความมั่นใจ
“ไม่มีแน่นอนค่ะ”ผู้เชี่ยวชาญกล่าวพร้อมส่ายหน้าไปมาติดต่อกันเป็นการยืนยัน
หญิงสาวค่อนข้างผิดหวังที่ได้ยินคำตอบกลับมาเช่นนั้น เพราะความรู้สึกบางอย่างบอกกับเธอว่ามีบางอย่างที่ปิดบังเอาไว้จากคนที่อยู่ในอดีตไม่ต้องการให้ผู้ใดล่วงรู้
“คุณน้าพอจะทราบเรื่องเกี่ยวกับการคัดเลือกพระชายาในสมัยโบราณบ้างไหมคะ คือว่าแคว้นฉู่ในยุคจ้านกว๋อการคัดเลือกพระชายาทำไมมีหลายคน แล้วถานหยี่เหยียนที่เป็นต้นเหตุทำให้ตระกูลต้องพบกับความวิบัติในเวลานั้นเป็นถึงอนุชายา ท่านอ๋องคนที่เป็นสามีไม่ช่วยเธอบ้างเลยเหรอคะ”หญิงสาวเอ่ยถามในสิ่งที่ต้องการล่วงรู้เพิ่มเติม
ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณยิ้มออกมาบางๆ เมื่อได้ยินคำถามดังกล่าว
“ไม่น่าเชื่อว่าคุณหนูหยางที่สอบติดคณะแพทย์ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของประเทศจะให้ความสนใจกับประวัติศาสตร์ของชนชาติด้วย เหมือนจะเลือกเรียนผิดคณะหรือเปล่าค่ะ เพราะว่าเหมาะที่จะเป็นนักโบราณคดีมากกว่าคุณหมอรักษาคนไข้ในอนาคตเสียอีกนะคะ”ผู้เชี่ยวชาญหยอกเย้าหญิงสาวกลับไป
“ที่สนใจเพราะเป็นเรื่องราวของบรรพชนก็เลยอยากรู้ค่ะ มันรู้สึกค้างคาใจมากบอกถูกเลยค่ะ ถ้าอย่างไรคุณน้าอธิบายให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ ถ้าจะให้ดีขอฟังแบบละเอียดจะขอบพระคุณมากเลยค่ะ”หญิงสาวบอกความต้องการกลับไป
“แต่สิ่งที่ล่วงรู้มาอาจจะไม่มากไปกว่าสักเท่าไรหรอกค่ะ เพราะเหตุการณ์ของคนที่อยู่ในอดีตเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็คือผ่านพ้นไป อดีตล้วนเป็นสิ่งที่ไม่น่าจดจำ สิ่งที่กำลังดำเนินอยู่ในขณะนี้คือปัจจุบัน แต่ก็จะอธิบายให้ฟังค่ะในเมื่อคุณหนูหยางต้องการ”
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวพร้อมเริ่มต้นอธิบายตั้งแต่รากเหง้าและพื้นฐานของสังคมในยุคโบราณสมัยนั้นให้หยางลี่จูฟังอย่างละเอียดตลอดจนถึงการคัดเลือกพระชายาให้แก่เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ซึ่งอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ เท่านั้น
ในขณะที่หยางลี่จูพยักหน้าขึ้นลงเมื่อพอจะมองเห็นเค้าโครงออกมาคร่าวๆ ได้บ้างแล้ว
“แสดงว่าการคัดเลือกพระชายาในสมัยโบราณไม่ได้กระทำบ่อยจะมีขึ้นสำหรับตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในตำแหน่งรัชทายาท อุปราช ชินอ๋อง รวมไปถึงจวิ๋นอ๋องด้วยใช่ไหมคะ”หญิงสาวเอ่ยถามกลับไปด้วยความอยากรู้
“ตำแหน่งที่กล่าวมาข้างต้นล้วนอยู่ในลำดับที่สามารถขึ้นครองแคว้นได้ทั้งหมดค่ะ สำหรับตำแหน่งจวิ๋นอ๋องยังไม่เคยมีการคัดเลือกในลักษณะที่เป็นพิธีการใหญ่เพราะลำดับการขึ้นครองบัลลังก์จะไกลกว่าทุกระดับชั้นยศ”
ออ...เสียงพึมพำดังอยู่ในลำคอพร้อมผู้เชี่ยวชาญอธิบายเพิ่มเติมต่อมา
“ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ ในกรณีของเคสที่ปรากฏอยู่ในบันทึกโบราณที่ถูกค้นพบ ซึ่งถานหยี่เหยียนอยู่ในตำแหน่งอนุชายา นางจะได้ตำแหน่งเป็นพระชายาเอก พระชายารองหรืออนุชายาซึ่งตำแหน่งนี้อนุชายานี้จะมีอยู่ด้วยกันสามคน ล้วนมาจากตำแหน่งของทางฝ่ายบิดาด้วยกันทั้งสิ้น หากตำแหน่งของบิดาอยู่ในขั้นสูงสุดกว่าทุกคนก็จะได้ตำแหน่งพระชายาเอกและจะลดหลั่นกันไปค่ะ”
“แสดงว่าตำแหน่งของพ่อจะเป็นตัวกำหนดตำแหน่งของลูกว่าจะอยู่ในระดับไหนใช่ไหมค่ะ ดังนั้นพ่อของนางก็น่าจะเป็นขุนนางที่อยู่ในระดับสูงเหมือนกันแต่ยังไม่สูงเท่าคนที่ได้ตำแหน่งพระชายาว่างั้นเถอะ”หยางลี่จูออกความเห็น
“ใช่แล้วค่ะแต่จะว่าไปสตรีในยุคนั้นจะเข้าร่วมการคัดเลือกพระชายาได้ บิดาดำรงตำแหน่งในระดับเสนาบดีทั้งนั้นค่ะ ขึ้นอยู่กับว่าควบคุมกรมกองสำคัญหรือเปล่า สูงสุดก็คืออัครเสนาบดีเพราะจะสังเกตได้ว่า เคสของถานหยี่เหยียนเป็นหนึ่งในสตรีทั้งห้าของชินอ๋องแห่งแคว้นฉู่ในสมัยนั้น แสดงให้เห็นว่าชินอ๋องที่ถูกกล่าวถึงในบันทึกคือผู้ที่จะได้ขึ้นครองแคว้นคนต่อไป จึงเกิดการคัดเลือกสตรีทั้งห้าให้เป็นภรรยาเจ้าเพื่อสืบสายโลหิตต่อไปค่ะ”
หญิงสาวเริ่มเข้าใจทุกอย่างได้เองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปรากฏภาพบางอย่างแทรกขึ้นเข้ามาในหัวของเธอขึ้นมาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายสาเหตุ
ภาพในหัวของเธอปรากฏให้เห็นเป็นภายในห้องร้างที่มีแต่เพียงเสื่อเก่าๆ ปูทับบนกองฟางและผ้าห่มผืนบางเบาที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเศษผ้าขี้ริ้วจึงจะถูก
ร่างของหญิงสาวหน้าตามอมแมม ถูกขังเอาไว้ภายในห้องดังกล่าวที่อยู่ท้ายจวน ไม่ให้เห็นแสงตะวันและจันทรา ร่างของนางผ่ายผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกได้ดื่มแต่น้ำฝนเท่านั้นเพื่อประทังชีวิตให้อยู่รอดต่อไป แต่คนที่นำมาขังนั้นตั้งใจฆ่านางให้ตายทางอ้อมอย่างเงียบสนิทที่สุด
“ข้าจะต้องไม่ตาย! เจ้าจะต้องถูกข้าทำลายมีชีวิตที่บัดซบเสียยิ่งกว่าข้านับร้อยนับพันเท่า!!!”เสียงที่แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความอ่อนแรงแต่กลับมีแรงคั่งแค้นอย่างล้นเหลือคนานับ
พรึบ!!! ภาพในห้องร้างเลือนหายไปจากความรู้สึกและในความคิดของหยางลี่จู ในขณะที่เธอเองเพิ่งจะล่วงรู้ว่ากำลังยืนมองที่ดินซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลถานในสมัยโบราณ พร้อมเสียงของผู้เชี่ยวชาญเอ่ยขึ้น
“ถ้าไม่มีอะไรสงสัยอีกแล้วดิฉันขอตัวกลับก่อนนะคะคุณหนูหยาง แล้วก็ม้วนไม้ไผ่ที่ขุดพบอย่าลืมให้คุณพ่อของคุณทำหนังสือชี้แจงให้ทางศูนย์ประวัติศาสตร์ของชนชาติล่วงรู้ด้วยนะคะว่ามีการขุดพบอะไรบ้าง ส่วนจะมอบให้เป็นสมบัติของชาติหรือจะเก็บไว้ในฐานะเป็นสมบัติของบรรพชนก็ทำเรื่องชี้แจงไปค่ะ”
“ขอบคุณค่ะที่ให้ความรู้และข้อแนะนำ”หยางลี่จูตอบกลับไป พลางยืนมองร่างของผู้เชี่ยวชาญคนดังกล่าวเดินกลับไปขึ้นรถส่วนตัวของเธอก่อนจะขับออกไปจากบริเวณดังกล่าวอย่างรวดเร็ว พร้อมเสียงของหญิงสาวเอ่ยขึ้น
“คุณลุงรอหนูอยู่ตรงนี้นะคะ จะเดินไปดูอะไรทางด้านซ้ายเสียหน่อยค่ะ”เธอบอกกับคนขับรถพร้อมเสียงของอีกฝ่ายกล่าวเตือนกลับมา
“อย่าเดินไปไกลมากนะครับคุณหนู ระวังตัวด้วย”
หยางลี่จูยกมือของเธอโบกไปมาพร้อมยกนิ้วหัวแม่โป้งขึ้นชูว่าเธอสบายมากไม่เป็นอะไรไปง่ายๆ หรอก ก่อนจะก้าวเดินตรงไปข้างหน้าโดยกอดม้วนไม้ไผ่ที่อยู่ในถุงกระดาษนำมาสะพายไว้บนไหล่ของเธออยู่ตลอดเวลาเดินมุ่งหน้าไปทางต้นไม้ใหญ่ที่เห็นยืนต้นอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ยืนอยู่ไม่มากนัก
ในเวลาต่อมา
หญิงสาวมาหยุดยืนมองต้นไม้ที่ยืนต้นสูง พลางแหงนหน้าขึ้นมองด้วยความสงสัยเมื่อรู้สึกว่าบริเวณที่เธอยืนอยู่ในขณะนี้คล้ายกับว่าจะเคยเห็นจากที่ไหนมาก่อน
“จำได้ว่าตรงหน้าเป็นห้องนอน บริเวณแถวนี้เป็นเรือนนอนไม่ใช่เหรอและจะมีสวนดอกจี๋ฮวาอยู่ทางขวาด้วย”หยางลี่จูพูดพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้นเอง
ผลัวะ! ม้วนไม้ไผ่โบราณที่เก็บเอาไว้ในกล่องเป็นอย่างดีจู่ๆ ก็ทะลุก้นกระดาษของถุงออกมา
ตุบ! กล่องใส่ม้วนไม่ไผ่โบราณร่วงหล่นตกลงพื้นกระแทกลงบนก้อนหินเข้าให้อย่างจัง จนฝาครอบกล่องกระเด็นออกทำให้ม้วนไม้ไผ่กระเด็นตกมาอยู่ที่พื้นและมีแผ่นไม้ไผ่บางส่วนกระเด็นหลุดออกมาปรากฏอยู่ตรงหน้าของหญิงสาว
“ตายแล้ว!”หยางลี่จูอุทานออกมาทันใด เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันต่อหน้าต่อตาของเธออยู่ในขณะนี้
หากแต่ยังไม่ทันจะที่เธอจะทำอะไรคิ้วสวยพลันขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นแผ่นไม้ไผ่ที่กระเด็นหลุดออกมานั้นมีไม้ไผ่สองแผ่นถูกประกบเข้าหากันและมีบางอย่างโผล่พ้นออกมา
“อะไรกันนี่ในแผ่นไม้ไผ่สามารถซุกซ่อนอะไรไว้ได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ”หยางลี่จูพูดพลางก้มลงเก็บม้วนไม้ไผ่ที่ตกอยู่บนพื้นนำขึ้นมากอดเอาไว้แนบอกพร้อมเอื้อมไปหยิบแผ่นไม้ไผ่ที่กระเด็นหลุดออกจากม้วนนำขึ้นมาพิจารณาใกล้ๆ
“มีรูปดวงตากับก้อนเมฆวาดเอาไว้คล้ายรูปภาพต้องการจะสื่อถึงอะไรกันนะ”เสียงดังกล่าวเต็มไปด้วยความสงสัย
หญิงสาวใช้นิ้วมือเลื่อนไม้ไผ่ที่ประกบกันอยู่ในขณะนั้นจัดการเลื่อนในส่วนที่โผล่ออกมาด้วยอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ด้านใน ก่อนจะพบรากไม้แห้งๆ ซ่อนตัวอยู่ภายในนั้นพร้อมใช้นิ้วมือหยิบรากไม้แห้งดังกล่าวออกมา
“แค่รากไม้แห้งๆ ต้องเอามาเก็บซุกซ่อนอยู่ในที่ลึกลับขาดนี้เลยเหรอ”หยางลี่จูบ่นพึมพำพลางยกรากไม้ดังกล่าวขึ้นมามองในระยะใกล้ชิดก่อนจะสังเกตพบว่า รากไม้แห้งปรากฏว่าเริ่มมีรากขาวงอกออกมาพร้อมเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นตรงหน้า
รากไม้แห้งกรังเมื่อถูกมือของหยางลี่จูสัมผัสทำให้กลับมามีชีวิตขึ้นมาได้อีกครั้ง รากสีขาวเริ่มงอกยาวลำต้นเล็กๆ จากที่แห้งเหี่ยวเหมือนต้นไม้กรอบ กลับกลายเป็นลำต้นสีเขียวขึ้นมาอย่างช้าๆ ใบเล็กๆ เริ่มโผล่ออกมาพร้อมออกดอกตูมอย่างรวดเร็วปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอเพียงแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น
“ในที่สุดข้าก็พบเจ้าเสียที!”เสียงนั้นดังออกมาจากเจ้าสิ่งที่อยู่ในมือของหญิงสาวทำให้หยางลี่จูสติแตกขึ้นมาทันใด
“เฮ้ย! รากไม้พูดได้!”หญิงสาวพูดพร้อมโยนเจ้ารากไม้ผีสิงออกจากมือของเธอไปอย่างรวดเร็ว
แต่หยางลี่จูทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้นเพราะว่าร่างของเธอถูกตรึงอยู่กับที่ แม้กระทั่งเสียงก็ถูกปิดกั้นเอาไว้ไม่สามารถเปิดปากร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้
“สวรรค์เมตตาลูกด้วยเถอะ! ไม่เห็นต้องลงโทษกันแบบนี้เลยแค่อยากรู้ว่าเรื่องในอดีตมันเป็นมาอย่างไงก็เท่านั้นเอง หนูแค่อยากรู้มันผิดด้วยเหรอ”หญิงสาวพูดผ่านความคิด
“เจ้าไม่ผิดหรอกที่อยากรู้อดีตชาติของตัวเอง รู้บ้างหรือไม่ว่าเจ้ามีวาสนาต่อกันกับข้าจึงทำให้พบกัน”เจ้ารากไม้พูดกับเธอ
ดวงตาคู่งามเบิกกว้างแทบจะเหลือกถลนออกมาก็ว่าได้เมื่อได้ยินเช่นนั้น
“ฉันไม่เคยรู้จักหรือมีวาสนาอะไรกับรากไม้ผีสิงอะไรทั้งนั้น ในเมื่อออกมาได้แล้วจะไปไหนก็ไปสิ! จะมาพูดอะไรกันอีกนายก็ไปตามทางส่วนฉันจะรีบกลับบ้านไปแล้วจะแวะเข้าวัดเพื่อปัดเป่าความโชคร้ายให้หายซวย!”
หยางลี่จูไล่ตะเพิดเจ้ารากไม้พูดได้เป็นการใหญ่เธอมองเจ้ารากไม้ที่มีดอกตูมโผล่ออกมาทั้งสองข้างที่มีรูปร่างคล้ายดวงตากำลังจ้องเธอตาแป๋ว
“ข้ามีชื่อว่าดวงตาสวรรค์! เป็นหนึ่งในจำนวนสิ่งวิเศษที่สวรรค์เบื้องบนประทานให้กับแดนมนุษย์ และเป็นตำนานที่อยู่คู่แผ่นดินนี้มานานหลายแสนปีแล้ว เจ้าเป็นคนแรกที่ทำให้ข้าตื่นจากการหลับใหลนับว่ามีวาสนาต่อกันยิ่งนัก เพราะฉะนั้นเมื่อข้าตื่นแล้วก็จะต้องมีหน้าที่ทำตามลิขิตของสวรรค์ เพื่อทำความปรารถนาในชาติอดีตของเจ้าให้บรรลุผล”สิ้นเสียงของดวงตาสวรรค์
ดอกตูมที่มีรูปร่างคล้ายดวงตากระโจนเข้าไปภายในดวงตากลมโตคู่สวยทั้งสองข้างของหยางลี่จู ก่อนจะเกิดรากสีขาวยาวออกมาวนรัดร่างของเธอไปโดยรอบจนคล้ายรังดักแด้ พร้อมเสียงของเจ้าดวงตาสวรรค์พูดกับนาง
“ข้าจะพาเจ้ากลับไปชาติอดีตของตัวเอง จะได้ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ และทันทีที่หวนคืนกลับไปในชาติอดีตที่ผ่านมาของเจ้า ร่างเจ้าในชาตินั้นจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวทันทีเมื่อเจ้าในชาตินี้ปรากฏกาย” สิ้นเสียงของเจ้าดวงตาสวรรค์
พรึบ! ร่างของหยางลี่จูซึ่งอยู่ภายในรากไม้สีขาวโปร่งแสงคล้ายรังดักแด้เลือนหายไปจากบริเวณนั้นทันใด ทั่วบริเวณมีแต่ความเงียบงันที่แผ่เข้ามาปกคลุมโดยรอบ ไม่มีใครสังเกตว่ามีหญิงสาวร่างระหงในชุดสูทสีขาวที่ยืนอยู่ภายในบริเวณดังกล่าวหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยตั้งแต่เมื่อไร
สิ่งลี้ลับที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้บังเกิดขึ้นกับหยางลี่จูนั้นเป็นเพราะทั้งสองมีวาสนาต่อกัน ชาติอดีตของเธอวาสนาไม่ได้พานพบ แต่ในชาติปัจจุบันที่ได้กลับมาเกิดเป็นหยางลี่จู หญิงสาวมีวาสนาได้พบกับดวงตาสวรรค์ ซึ่งเป็นสิ่งสุดท้ายที่ร่างในชาติระลึกถึงทุกลมหายใจเข้าออกจนกระทั่งจบชีวิตลง
และดวงตาสววรรค์กำลังนำพาเธอหวนคืนชาติอดีตของตัวเอง เพื่อล่วงรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นและกลับไปทำความปรารถนาก่อนที่ตัวเองจะจบชีวิตในชาติที่แล้วให้ประสบผลสำเร็จ