แล้วยังไง
"ที่ดินตรงนั้นจะต้องเป็นของฉัน"
ดวงตาคมจ้องมองอย่างดุดันไปยังคู่สนทนา
พร้อมกับเอ่ยวาจาอย่างเอาแต่ใจ
น้ำเสียงนั้นช่างดุดันราวกับพญาราชสีห์กำลังคำรามอยู่กลางป่า
เขากำลังต้องการพื้นที่ท้ายเกาะที่เป็นของชาวบ้านกลุ่มหนึ่งมาเป็นของเขาเพื่อจะได้ดำเนินธุรกิจมืดได้อย่างสะดวก
แต่ทนายสาวประจำบ้านของเขากำลังขัดคำสั่งไม่ยอมทำตามเพราะอ้างหลักธรรมบ้าบอที่ฟังแล้วไม่เข้าหู
หญิงสาวเอาแต่ก้มหน้านิ่งแทนคำตอบทั้งหมด ความกลัวเริ่มเข้าครอบงำเธอจนแทบเก็บอาการไม่มิด
มาเฟียหนุ่มที่มีธุรกิจหลายอย่างบังหน้าหลบซ่อนความมืดมิดอีกด้านเอาไว้ถอนหายใจพรืดใหญ่เมื่อยังไม่ได้คำตอบจากปากของทนายสาว
นิ้วเรียวยาวที่ดูแข็งแกร่งเคาะไปบนโต๊ะไม้ราคาแพงเป็นจังหวะเดียวกับที่เข็มนาฬิกาบนฝาผนังกำลังเดิน
เขาต้องการคำตอบ
พริมาได้แต่นั่งสะดุ้งเฮือกแล้วเฮือกเล่าด้วยความกลัว
เหมือนกำลังถูกเอาปืนจ่อหัวบังคับให้ทำผิดทั้งที่ไม่เต็มใจ
"ฆ่าให้หมด"
มือหนาที่เคยใช้เคาะโต๊ะยกขึ้นควักเรียกลูกน้องที่มีตำแหน่งมือขวาให้เข้ามารับคำสั่ง
"ครับ"
ดีนพยักหน้ารับคำสั่งอย่างไม่สะทกสะท้านอะไรเพราะเขาเคยรับคำสั่งจัดการชีวิตคนมาจนนับไม่ถ้วนแล้ว
ร่างหน้าของเวฆาเตรียมยันกายลุกขึ้นยืนเมื่อธุระที่ต้องการจะพูดคุยจบลงแล้ว
"คุณทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ"
หญิงสาวเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์เกือบสิบคนโดยมีเวฆาเป็นหัวหน้าเอ่ยพูดขึ้นเป็นคำแรกหลังจากนั่งเงียบมาตลอดเพื่อรั้งเขาเอาไว้ไม่ให้ไปคราดชีวิตใคร
เธอพยายามสลัดทิ้งความกลัวเพราะรู้ว่าแท้จริงเวฆาเป็นใครโหดเหี้ยมแค่ไหนเพื่อช่วยชีวิตคน
ชาวบ้านห้าครอบครัวที่อยู่ด้านหลังของเกาะนั้นมาเป็นสิบๆปีบนพื้นที่ที่อาทิตย์พ่อเลี้ยงของเขาจัดสรรเอาไว้ให้จะต้องรอดชีวิต
"แล้วยังไง"
ร่างหนาของเวฆาจำต้องนั่งลงอีกครั้งอย่างไม่สบอารมณ์นักที่อีกฝ่ายดูจะยึกยักมากท่า
เขาจำใจต้องพึงทนายไร้ประสบการณ์อย่างพริมาด้วยเพราะเกรงใจพ่อเลี้ยงของเขา ไม่อยากทำอะไรที่มันดูรุนแรงเกินไปด้วยตัวเองเกรงว่ามันจะกระทบจิตใจของท่าน
"คุณปล่อยคนพวกนั้นไปเถอะนะคะ"
เสียงหวานพยายามอ้อนวอนเขาเหมือนอย่างทุกครั้งที่คุยกันในเรื่องนี้
เธอรู้ว่าควรที่จะขับไล่คนพวกนั้นออกไปตามคำสั่งของเขาที่เป็นนายจ้าง
แต่ห้าครอบครัวนั้นไม่ได้ทำผิดอะไร การต้องไร้ที่อยู่หรือพลักพรากจากที่อยู่เดิมคงไม่ยุติธรรมสำหรับพวกเขา
ร่างหนาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้หนังธรรมดาที่มีไว้สำหรับรับแขกภายในห้องทำงานของทนายความหน้าใหม่
ขาเรียวภายใต้กางเกงผ้าเนื้อดีพอดีตัวยกขึ้นไขว่ห้าง มือหนาควักบุหรี่จากในกระเป๋าเสื้อสูทออกมาจุดไฟเพื่อสูบบุหรี่
"ฉันให้เวลาเธอสิบสองชั่วโมง จัดการให้คนพวกนั้นย้ายออกจากเกาะ"
มาเฟียหนุ่มยื่นข้อเสนอกลับไปให้เธอทำตามพร้อมกับพ่นควันสีขาวให้คละคลุ้งไปเต็มห้อง
"มันผิดหลักมนุษยธรรม ไม่มีใครเขาทำกันหรอกนะคะ อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้คุณเดือดร้อน พวกเขาไม่เคยก้าวล้ำเข้าไปในอาณาเขตของคุณเลยแม้แต่ครั้งเดียว และคุณท่านคงไม่ยอมถ้าคุณทำแบบนี้"
เหตุผลอันแสนกระจอกของพริมาถูกเอ่ยออกไป เธอรู้ว่าไม่สามารถเปลี่ยนใจคนโหดเหี้ยมอย่างเขาได้ แต่ก็ยังมีบุคคลสำคัญอีกคนที่จะสามารถหยุดเรื่องนี้ได้ เพียงแต่เธอยังไม่อยากรายงานให้ท่านรู้เพราะเกรงว่าจะไปขัดเวลาแห่งความสุขของท่าน ด้วยท่านเพิ่งจะได้รับข่าวดีเรื่องการตั้งท้องหลานคนแรกของบ้าน
"หึ"
สายตาคมจ้องมองดูเธอแล้วหัวเราะออกมาอย่างนึกสมเพชในความเป็นคนดีของเธอก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินจากไป เพื่อจะกลับไปร่วมกินข้าวกลางวันกับที่บ้านในวันที่มีงานฉลองที่พี่ชายคนโตของเขากำลังจะได้เป็นพ่อคน
พริมาได้แต่ก้มหน้าเงียบรอจนเขาและลูกน้องเดินออกไปจากห้องทำงานของเธอ
เสียงหญิงสาวถอนหายใจอย่างโล่งอกไล่หลังคนพวกนั้นออกไป
เธอคงเก็บงำเอาเรื่องนี้เอาไว้ไม่ได้อีกแล้ว คงต้องรีบหาโอกาสรายงานให้อาทิตย์รับรู้ เพราะเวฆาคงไม่ปล่อยเธอไว้นาน
"ก๊อกๆ"
เสียงเคาะประตูห้องทำงานของพริมาดังขึ้นในเวลาถัดมาทั้งที่เจ้าของห้องยังนั่งตัวสั่นไปด้วยความกลัว
"ก๊อกๆ"
และมันก็ดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติคนในห้องให้กลับคืนมา เธอเลยเอ่ยอนุญาตให้คนมาใหม่เดินเข้ามาหาเธอที่ในห้องได้ โดยไม่รู้ว่าเป็นใครแต่คงหนีไม่พ้นคนในบริษัททนายความเพราะในตารางงานช่วงบ่ายนี้ของเธอไม่มีลูกความคนใดมาขอพบ
"คุณเวฆามาหาแกเรื่องอะไร"
เลิศธรรมประธานบริษัททนายความชื่อดังเอ่ยถามลูกสาวในทันทีที่เดินเข้ามา
เขาหย่อนก้นนั่งลงตรงข้ามกับลูกสาวคนสวยตรงที่เดียวกับที่มาเฟียหนุ่มเคยนั่งเมื่อก่อนหน้านี้
สายตาคมที่มีรอยเหี่ยวย่นตามอายุล้อมรอบจ้องมองลูกสาวเพื่อรอเอาคำตอบหลังจากที่ต้องเคาะประตูหลายทีราวคนมีมารยาท แต่ที่ทำไปทั้งหมดเพราะกลัวว่าจะมีคนของเวฆาหลงเหลืออยู่แล้วพานจะทำให้ทางนั้นอารมณ์เสียกลัวว่าเขาจะเลิกจ้างแล้วเสียรายได้มหาศาลไป
"เรื่องทั่วๆไปนะคะ"
หญิงสาวลอบถอนหายใจทิ้งอย่างเบาๆก่อนจะโกหกผู้เป็นพ่อ
เรื่องที่เวฆาสั่งให้เธอทำจะให้พ่อหรือพี่ชายของเธอรู้ไม่ได้
เขาทั้งสองคนเป็นทนายที่เก่งทำให้ไม่สนใจใครหน้าไหน ยิ่งคนเงินหนาแบบเวฆามาจ้างงานด้วยแล้วพวกเขาจะยินดีทำ คนบนเกาะนั้นจะไม่มีที่อยู่
เธอยอมให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ ถึงจะไม่เก่งเท่าพ่อกับพี่ชายแต่ก็จะพยายามคัดค้านจนเวฆายอมพ่ายแพ้ไปเอง
เลิศธรรมพยักหน้ารับฟังในสิ่งที่พริมาบอกแล้วก็ไม่ได้ถามต่อถึงรายละเอียดอะไรมากนักเพราะคนรวยบ้านนั้นส่วนมากก็มาเรื่องเงินๆทองๆไม่มีอะไรน่าสนใจ
"แล้วเรื่องไปเรียนต่อว่ายังไง"
คนเป็นพ่อเปลี่ยนเรื่องสนทนาในทันทีตามความตั้งใจเดิมที่ทำให้ต้องเดินเข้ามาในนี้เพราะว่าลูกสาวของบริษัททนายความที่เป็นคู่แข่งกันตอนนี้ได้เดินทางไปเรียนต่อต่างประเทศแล้ว
เขาไม่ต้องการน้อยหน้าใครเลยเข้ามาทวงถามด้วยตัวเองแทนที่จะโทรศัพท์มาถาม
"กำลังดูอยู่ค่ะ"
หญิงสาวตอบแบบขอไปทีเพราะใจไม่ได้อยากไปเรียนต่อที่ไหนทั้งนั้น
"อย่าให้ฉันต้องผิดหวัง ดูพี่เพทายเป็นตัวอย่างว่าเขาทำไว้ดีแค่ไหน"
ชื่อของเพทายมักถูกยกขึ้นมาเปรียบเทียบให้หญิงสาวได้ฟังเสมอไม่ว่าจะเรื่องอะไร
พี่ชายของเธอเก่งกว่าเธอ
เลิศธรรมผู้เป็นพ่อไม่เคยเอ่ยชมเธอสักครั้งไม่ว่าเธอจะทำดีแค่ไหน แถมยังบังคับเธอแทบทุกเรื่องให้เดินตามรอยของพี่ชายแม้กระทั่งให้เรียนจนได้เป็นทนายความทั้งที่เธอไม่ได้อยากเป็น
"ค่ะ"
สุดท้ายพริมาก็ได้แต่ก้มหน้ารับเพราะเธอก็ต้องไปเรียนต่อที่ต่างประเทศตามที่ครอบครัวต้องการ เพื่อเชิดหน้าชูตาครอบครัวทนายความของเธอ
เพราะเพียงแค่คำว่าไม่อยากขึ้นชื่อว่าเป็นลูกอกตัญญูที่ทำให้พ่อแม่ต้องเสียใจ
ทั้งที่ในใจมีแต่ความอึดอัดทับถมกันจนหนาแน่นแทบจะหายใจไม่ออก
ในช่วงเวลาค่ำหลังจากที่พริมาเคลียร์งานบนโต๊ะจนหมด เธอก็เลือกที่จะมานั่งบนดาดฟ้าของคอนโดที่ถูกจัดให้เป็นสวนย่อมขนาดเล็กเพื่อพักผ่อนแทนการออกไปสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนๆที่โทรมาชวน
"เฮ้อ"
ใบหน้าสวยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
หญิงสาวถอนหายใจเสียงยาวอย่างอยากจะระบายความในใจให้พวกมันฟัง
ดวงดาวต่างทอแสงระยิบระยับคล้ายกับรับฟังปัญหาทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัวที่เธอกำลังพบเจอ
"สิบสองชั่วโมง"
นาฬิกาเรือนหรูที่ข้อมือของหญิงสาวถูกยกขึ้นมาดูเวลาตามปกติ
เข็มทั้งสั้นและยาวซ้อนเรียงกันอยู่ตรงกลางพอดิบพอดีบอกเวลาเที่ยงคืน
พานเอาในหัวที่หนักอึ้งของหญิงสาวคิดถึงคำพูดของใครบางคนที่พูดเอาไว้กับเธอเมื่อตอนเที่ยงวัน
"อือ"
ปากเล็กถูกมือหนาของผู้ชายประกบปิดเอาไว้แน่นทั้งที่ความคิดในหัวยังไม่ทันจบดี
ดวงตากลมสวยเบิกกว้างด้วยความตกใจ ลำคอพยายามเปล่งเสียงเพื่อหวังให้ใครสักคนมาได้ยิน
สองมือเล็กพยายามลงเล็บจิกลำแขนหนาที่ตวัดเข้ามาเกี่ยวรอบคอของเธอเพื่อดึงมันออก
มือหนาปริศนาอีกข้างเคลื่อนไหวออกมาจากในเงามืดพร้อมกับผ้าผืนเล็กๆสีขาวโปะเข้าที่จมูกของเธอ
สติของหญิงสาวดับวูบในทันทีที่เธอพยายามสูดลมหายใจเข้าเพื่อเอาชีวิตรอดจากสองมือปริศนา