เสียงพลิกกระดาษหน้าแล้วหน้าเล่าดังขึ้นในความมืด มีเพียงแสงไฟดวงน้อยจากโคมขนาดเล็กเท่านั้นที่ช่วยเพิ่มความสว่างในการอ่านหนังสือ เจียวปิงกวาดสายตาไล่ตามตัวอักษรอย่างช้า ๆ
“ทำไมถึงทำแบบนั้นล่ะ” ริมฝีปากสีซีดจางบ่นงึมงำด้วยความรู้สึกอินไปกับตัวละคร
“อือ…เวลาขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย” ร่างกายรู้สึกปวดเมื่อยจึงพักสายตามาบิดขี้เกียจ ก่อนจะพบว่าตอนนี้เกือบตีหนึ่งซึ่งเลยเวลาพักผ่อนมาไกลมาก
“แต่ว่า….” หนังสือในมือถูกอ่านไปถึงครึ่งเล่มและยังอยู่ในช่วงติดพันที่สนุกจนยากจะหักใจไปนอนได้
สุดท้ายแล้วเธอก็เลือกที่จะอ่านมันต่อให้จบ กว่าจะรู้ตัวก็เผลอหลับตอนรุ่งสาง…
“อึก ไม่น่านอนดึกเลย” อาการปวดหัวแทรกขึ้นมาทันทีที่นอนไปได้ไม่กี่ชั่วโมงหากเป็นเช่นนี้มีหวังโดนดุแน่
“ปิงปิง” ยังไม่ทันขาดคำ เสียงกดต่ำของผู้ที่ถูกนึกถึงก็ดังอยู่ไม่ไกล
ร่างบางในชุดสีขาวของนางพยาบาลยืนเด่นเป็นสง่าตรงข้างเตียงคนไข้ สองแขนผอมเพรียวยกขึ้นกอดอกมองเจ้าเด็กดื้อที่ขัดคำสั่งด้วยสายตาไม่พอใจ บ่ายคล้อยขนาดนี้แต่เพิ่งตื่นย่อมหมายความว่าอีกฝ่ายโต้รุ่งมาแน่นอน หลักฐานที่เห็นได้ชัดคงเป็นขอบตาสีคล้ำเหมือนหมีแพนด้าบนใบหน้าซูบซีดนั่น
“พี่อาเม่ย” เสียงตอบรับเบาหวิวคล้ายอยากให้นี่คือความฝัน เธอยังไม่ทันเตรียมใจโดนดุเลยนะ
“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่านอนดึก” คิ้วได้รูปขมวดเป็นปมแน่น ดูเหมือนจะโกรธมากจริง ๆ
“ขอโทษค่ะ รู้ตัวอีกทีก็เช้าแล้ว” เจียวปิงไม่คิดแก้ตัวให้เสียเวลาโดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าพูดเพราะความห่วงใยไม่ใช่ก่นด่าตามอารมณ์
“ข้าวเช้าไม่ได้กินทำให้พลาดการกินยาหนึ่งมื้อ ข้าวเที่ยงก็ไม่ได้กินเท่ากับพลาดยาถึงสองมื้อ อันตรายเกินไปแล้วนะ” เด็กสาวต้องรับยาตรงเวลาเพื่อประคองอาการไม่ให้ล้มป่วย หากเว้นระยะห่างขนาดนี้เธอเองก็อดกังวลไม่ได้
“หนูจะรีบกินเลยค่ะ” เธอรับคำแข็งขันก่อนรีบลุกไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาด
อาเม่ยมองดูร่างเล็กวิ่งหายไปทางห้องน้ำพลางส่ายศีรษะ เพราะไร้บิดามารดาคอยสอนสั่งอีกฝ่ายจึงยังดูเหมือนเด็กน้อยทั้งที่จะบรรลุนิติภาวะแล้ว ครอบครัวคนไข้ก็เหลือเกินจริงเชียว นอกจากจะไม่มาเยี่ยมยังไม่มีการติดต่อสอบถามอาการเลยสักครั้ง ทำราวกับว่าแค่จ่ายเงินค่ารักษาแล้วทิ้งขว้างให้เป็นหน้าที่ของโรงพยาบาล
แขนบอบบางยกขึ้นดูนาฬิกาตรงข้อมือ ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วแต่คนไข้ของเธอยังทำธุระส่วนตัวไม่เสร็จ ข้าวต้มที่เตรียมไว้ก็เริ่มเย็นชืด จะเอาไปอุ่นให้ใหม่ก็เกรงว่าจะถูกตำหนิที่ดูแลคนป่วยดีเกินหน้าเกินตาเตียงอื่น ๆ เพราะเช่นนั้นพยาบาลจึงต้องรักษามาตรฐานการปฏิบัติให้เท่ากัน
กรี๊ดดดดดดดดดดดด
เสียงกรีดร้องดึงความสนใจของเจ้าหน้าที่รอบบริเวณรวมถึงอาเม่ย ร่างเพรียวในชุดเครื่องแบบสีขาววิ่งออกไปทันที ขณะเดียวกันความวุ่นวายก็เกิดขึ้น ผู้ป่วยคนหนึ่งสังเกตเห็นความผิดปกติของประตูห้องอาบน้ำที่เหมือนมีเงาคนล้มอยู่กับพื้น โดยทั่วไปแล้วคงไม่มีใครกล้าเสียมารยาทก้มลงมองลอดตรงช่องว่างด้านล่างแต่ความสงสัยทำให้หญิงวัยกลางคนอดใจไม่ได้ สุดท้ายก็พบร่างของเด็กวัยรุ่นกำลังนอนสลบอยู่
“ฉุกเฉิน! คนไข้ความดันตกค่ะ!!” แว่วเสียงบางอย่างเข้ามาในหัวถึงอย่างนั้นคนบนพื้นเย็นเยียบกลับไม่สามารถลืมตาได้ เพียงครู่เดียวสติที่มีก็ดับลงอีกครั้ง
เตียงคนไข้ถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินอย่างเร่งรีบ ทั้งหมอและพยาบาลต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด
“ความดันโลหิตตกลงอย่างรวดเร็วและมีค่าต่ำอย่างผิดปกติค่ะ” อีกเสียงตะโกนบอกขณะเริ่มเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิต
หัวใจของเด็กสาวกำลังเต้นเร็วขึ้นเพื่อพยายามสูบฉีดเลือดไปยังร่างกาย เริ่มมีอาการหายใจลำบากต้องการออกซิเจนมากขึ้นชดเชยการไหลเวียนของเลือดที่ลดลง ผิวหนังเย็นและซีดเนื่องจากร่างกายลดการไหลเวียนเลือดไปยังผิวหนังเพื่อรักษาอุณหภูมิของอวัยวะสำคัญ ถึงอย่างนั้นการที่ไม่รู้ว่าคนไข้หมดสติในสภาพเปียกน้ำมานานแค่ไหนก็ทำให้พวกเขาครุ่นคิดมากกว่าเก่า แพทย์ที่อยู่เวรวันนี้รีบการประเมินสภาพผู้ป่วยอย่างรวดเร็วรวมถึงการให้ออกซิเจน ตรวจสอบความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจและติดตามการหายใจ
“คนไข้หัวใจหยุดเต้นค่ะ!”
“เตรียมเครื่องปั๊มหัวใจ!”
“ติดต่อญาติผู้ป่วยรึยัง”
“ติดต่อไม่ได้เลยค่ะ!”
เสียงโหวกเหวกยังคงดังขึ้นต่อเนื่องเมื่ออาการของคนไข้ยังไม่ดีขึ้นแต่กลับทรุดหนัก ร่างผอมแห้งได้รับการกระตุ้นชีพจรหลายครั้งไร้การตอบสนองใด อาเม่ยพยายามติดต่อหาญาติเด็กสาวซึ่งแม้จะโทรมากเท่าไหร่ก็ไม่รับสาย
“แย่แล้วสิ ดูเหมือนคงไม่กล้ารับสายเนื่องจากค้างค่ารักษาแน่เลย” หนึ่งในทีมพยาบาลเอ่ยกระซิบ
“ก็ไม่ยอมจ่ายมาตั้งสามเดือนแล้วนี่” มือที่กดมือถือของอาเม่ยหยุดชะงักในทันที
“เอาเวลาพูดเรื่องไร้สาระไปหาทางติดต่อญาติผู้ป่วยดีกว่าไหม” น้ำเสียงหงุดหงิดทำเอาพยาบาลสองคนเก็บปากเงียบไม่กล้าพูดอะไรต่อ
‘ปิงปิง เธอต้องไม่เป็นอะไรนะ’
อาเม่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ความเจ็บปวดของการที่คนในความดูแลต้องด่วนจากโลกนี้ไปเป็นเช่นไรใช่ว่าเธอจะไม่เคยผ่านมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็อดเฝ้าภาวนาให้เกิดปาฏิหาริย์ไม่ได้ แม้ปลายทางจะไม่สมหวังก็ตามที
“เสียใจด้วยนะอาเม่ย”
เสียงทุ้มของหมอเจ้าของไข้กล่าวกับพยาบาลสาวที่ร้องไห้อย่างหนักขณะจับมือเย็นชืดของผู้ป่วยในความรับผิดชอบ เธอนั่งอย่างนี้มากว่าสองชั่วโมงแล้ว
“คุณรู้ใช่ไหม ว่าถ้าเราผูกพันกับคนไข้ ต้องเผื่อใจที่จะแบกรับความเจ็บปวดไว้ด้วย” เด็กสาวคนนี้อยู่ในโรงพยาบาลมานาน ไม่แปลกหากจะมีพยาบาลที่เผลอสนิทสนม เขาเองก็เตือนแฟนของตนหลายครั้งแล้ว
“ปิงปิง” น้ำเสียงหวานสั่นเครือจากการร้องไห้อย่างหนัก แม้มีการวินิจฉัยว่าเจียวปิงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกินอายุยี่สิบปี เธอก็เชื่อมาตลอดว่าหากจิตใจมีความสุขคงสามารถยื้อช่วงเวลาน่าเศร้านี้ไปได้อีกนิด
“เธอเพิ่งอ่านนิยายเรื่องใหม่จบไปแค่เล่มเดียวแท้ ๆ” เด็กน้อยสีหน้าหมองคล้ำมักเผยรอยยิ้มทุกครั้งที่เธอนำหนังสือนิยายมาให้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่คนไม่ค่อยชอบอ่านแบบอาเม่ยแวะเวียนไปร้านหนังสือแทบทุกอาทิตย์
“ถ้าผมเป็นเด็กคนนี้คงเศร้าใจมากแน่ที่คุณร้องไห้ไม่หยุด ผมเชื่อว่าเธอจะต้องได้ไปเกิดในที่ดี ๆ” วงแขนแข็งแรงปลอบประโลมคนรัก เขาเองก็พบความเจ็บปวดอยู่หลายครั้งเพราะไม่สามารถช่วยชีวิตคนไข้ทุกคนได้
“ใช่ เธอจะต้องได้ไปเกิดในสถานที่ที่ดีนะ ปิงปิง”
ใครจะรู้เล่าว่าหนึ่งคำอธิฐานอย่างแรงกล้าผูกร้อยดวงชะตาที่ถึงฆาตให้ได้วนเวียนกลับสู่การกำเนิดใหม่อีกครา วิญญาณแสนบริสุทธิ์ดวงน้อยถูกนำทางไปยังจุดหมายที่คู่ควร
…………………………………….
…………………..
......................................................................................
สงสารยัยน้อง ฮือออ
อีกหนึ่งอาชีพที่ไรท์นับถือจากใจคือคุณหมอที่เอาใจใส่คนไข้ประหนึ่งคนในครอบครัว
เคสของเด็กบางคนอยู่ในรพ.บ่อยกว่าอยู่บ้านจนบางครั้งพี่ ๆ พยาบาลก็ผูกพันไปด้วย
และเมื่อถึงเวลาต้องลาจากกันอย่างไม่หวนกลับเหล่าหมอและพยาบาลกลุ่มนี้ก็จะเป็นหนึ่งในผู้ที่เสียใจเช่นกันค่ะ