“อือ” ดวงตากลมใสค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ดูเหมือนว่าจะฝันถึงเรื่องราวสุดท้ายในชีวิตก่อน เจียวปิงหรือที่ตอนนี้ได้รับนามใหม่ว่าฟู่หวากระพริบตาไล่ความง่วงงุน
“ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” อ้อมกอดอุ่นประคองร่างเล็กด้วยความทะนุถนอม
“อูว….อา” เจ้าตัวน้อยมองใบหน้าสวยหวานที่กำลังมองมา ดวงตาเมล็ดซิ่งคู่นั้นฉายชัดถึงความเอ็นดูทำเอานางถึงกับพยายามพูดคุยด้วย กระทั่งรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงลิ้นไก่สั้น ๆ นั่นดังขึ้น
‘ลืมไปเสียสนิทว่าตอนนี้ยังเป็นทารกอยู่’
“คงหิวแล้วใช่รึไม่เจ้าคะ เช็ดหน้าเช็ดตาเสียหน่อยแล้วค่อยกินนมเถิดเจ้าค่ะ” ฝ่ามือขาวผ่องหยิบผ้าชุบน้ำบิดหมาด ๆ บรรจงซับดวงหน้ากลมซึ่งยังคงงัวเงียอยู่บ้าง
“อือ” ฟู่หวาหรี่ตามองอีกฝ่ายพลางพิจารณาให้ถี่ถ้วน คงเพราะนางเคยอ่านนิยายจำพวกนี้มามากจึงไม่ได้ตื่นตระหนกอย่างที่ควรเป็น อีกทั้ง….ความทรงจำยามสิ้นใจยังคงเด่นชัดไม่จางหาย โดยเฉพาะเสียงร่ำไห้ของพี่อาเม่ยคนดีของนาง
‘เอาเถอะ ตอนนี้มาตั้งใจใช้ชีวิตใหม่ดีกว่า’
แค่มองการแต่งตัวของผู้คนก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าตนมาเกิดในช่วงยุคโบราณเป็นแน่ ยิ่งคำพูดจาแปร่งหูบ่งบอกว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกต้องแล้ว ที่น่าแปลกใจคือนางกำลังปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่
“แม่นมเจ้าคะ ของที่สั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้เอ่ยเรียกขณะยกของใช้คุณหนูตัวน้อยเข้ามา
“วางไว้ตรงนี้” ถ้วยนมขนาดเล็กถูกวางบนโต๊ะเตรียมพร้อมสำหรับป้อนเจ้าก้อนแป้ง พอได้กลิ่นหอมท้องน้อย ๆ ก็ร้องดังขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“อา” มือเล็กยกปิดหน้าแก้เขิน เห็นแบบนี้นางก็อายุยี่สิบแล้วนะ
“คุณหนูคงหิวแล้ว ค่อย ๆ กินนะเจ้าคะ” เห็นท่าทางเหมือนต้องการเอาอะไรใส่ปากคนดูแลก็เข้าใจไปว่าเด็กในอ้อมแขนคงหิวมาก ช้อนขนาดพอดีปากจิ้มลิ้มตักน้ำนมแพะพลางป้อนทีละน้อย
ดวงตากลมกลอกกลิ้งไปมาใช้ความคิด ในเวลาเดียวกันก็เงี่ยหูตั้งใจฟังบทสนทนาของบรรดาข้ารับใช้ในห้องกระทั่งได้ข้อมูลสำคัญมานั่นคือแม่นมมีนามว่า ‘กวานซินหยี่’ ซึ่งเป็นผู้เดียวที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้นำตระกูลหรือก็คือบิดาของนาง
เจ้าก้อนนุ่มนอนมองเพดานอย่างเบื่อหน่าย ชีวิตเด็กแรกเกิดจะมีสิ่งใดให้ทำนอกเสียจากกิน ขับถ่าย แล้วก็นอน วนเวียนอยู่เพียงเท่านี้ ความโชคดีของนางคือบรรดาสาวใช้ที่คิดว่าฟู่หวาฟังไม่รู้เรื่องจึงจับกลุ่มนินทาคนโน้นคนนี้ ขนาดทารกบนเตียงนอนเช่นนางยังถูกพูดถึงอยู่หลายครั้ง ยกเว้นช่วงที่แม่นมอยู่ด้วยก็จะพากันเงียบปากซึ่งบางวันเราสองคนแทบตัวติดกันตลอดเวลาทำให้เด็กน้อยอดฟังเรื่องลับหลัง ความบันเทิงของคนยุคนี้จะมีสิ่งใดรื่นเริงมากไปกว่าการสอดรู้ข่าวคราววงในของชาวบ้านอีกล่ะ
“เหตุใดคุณหนูจึงได้เงียบนักเจ้าคะแม่นม” หนึ่งในสาวใช้ผู้ทำหน้าที่เป็นมือเป็นเท้าให้กับกวานซินหยี่เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย ครอบครัวนางมีน้องเล็ก ๆ สองสามคน แต่ละคนส่งเสียงร้องไม่เว้นวัน
“อูวว” เมื่อทุกสายตาตกมาที่ร่างนุ่มนิ่ม เจ้าแก้มยุ้ยจึงชูไม้ชูมือส่งเสียงให้รู้ว่าไม่ได้เงียบเสียหน่อย
นางมีความทรงจำติดมาหาใช่เด็กแรกเกิดที่แท้จริง จะให้เสียงดังโวยวายร้องลั่นไปสามบ้านแปดบ้านก็คงไม่ไหว แค่คิดก็เจ็บคอแล้ว
“คุณหนูเป็นเด็กฉลาด รู้ความตั้งแต่ตัวเท่านี้ นับว่าเป็นโชคดีของนายท่านยิ่งนัก” หิวก็ทำท่าเอามือแตะปาก ตอนขับถ่ายก็ไม่ส่งเสียงร้องกลับน้ำตาคลอท่าทางเหมือนอับอายบางอย่าง ไม่รู้ว่าคนดูแลอย่างนางคิดไปเองรึไม่กับความน่ารักของคุณหนู
“จริงด้วยเจ้าค่ะ พวกเราเลยไม่ต้องเหนื่อยเหมือนตระกูลอื่น” บางบ้านบรรดาบ่าวไพร่ต้องอดหลับอดนอนดูแลบุตรหลานเจ้านายทั้งคืน
“ขอเพียงคุณหนูแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ แค่นั้นก็พอแล้ว” มือเรียวสวยตบก้นเล็กเบา ๆ คล้ายกล่อมให้หลับ หลังจากกินนม อาบน้ำ ช่วงสายของวันฟู่หวามักนอนยาวยันช่วงเย็นย่ำ
‘ง่วงอีกแล้ว’
เจ้าตัวน้อยบ่นอุบในใจ ชีวิตก่อนก็นอนอยู่บนเตียงคนป่วยทั้งวัน ยามนี้ได้โอกาสมาเกิดใหม่ก็ยังต้องนอนอีก แม้จะทำอะไรไม่ได้ในเมื่อร่างกายบอบบางนี้ต้องพักผ่อนให้มากก็ตาม ถึงตาจะปิดก็ยังเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบกระซาบของสาวใช้อยู่ดี แม่นมของนางผู้นี้ดูแลดีราวกับไข่ในหิน ไม่ว่าจะต้องการอะไรขอเพียงทำท่าทางบอกใบ้อีกฝ่ายก็เข้าใจอยู่เสมอ ใช้เวลาไม่นานนักคุณหนูของจวนก็เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง
ทางด้านเรือนหลักยามนี้ก็เงียบสงบไม่แพ้กัน สองขายาวของพ่อบ้านประจำตระกูลเดินตรงมายังห้องทำงานที่มีร่างสูงสมส่วนนั่งตรวจเอกสารอยู่
“สุ่ยหมิงเองขอรับนายท่าน” ชายหนุ่มอายุอานามไม่เกินสามสิบบอกกล่าวขณะเคาะประตูห้องเป็นเชิงขออนุญาต
“เข้ามา” เสียงพลิกหน้ากระดาษหยุดลงแทบทันทีคล้ายกับตั้งตารอแต่แรก
“วันนี้คุณหนูตื่นต้นยามเหม่า (ตีห้า) เหมือนจะถ่ายเบาจากนั้นจึงนอนต่อถึงกลางยามเฉิน (แปดโมง) แม่นมได้ทำการป้อนอาหารมื้อแรกและอาบน้ำให้คุณหนู จากนั้นเมื่อครู่เพิ่งจะหลับไปอีกรอบขอรับ” กิจวัตรประจำวันของบุตรีเพียงหนึ่งเดียวถูกรายงานอย่างละเอียด
“ข้าไม่ได้ยินเสียงนางร้องเลยสักครั้ง” คิ้วกระบี่เคลื่อนเข้าหากันเล็กน้อย
“เห็นแม่นมพูดว่าเพราะคุณหนูเฉลียวฉลาดรู้ความตั้งแต่เกิดขอรับ” โหลวสุ่ยหมิงยังแปลกใจเช่นกันจึงได้ปรึกษาหมออยู่หลายคน ซึ่งทุกคนล้วนบอกว่าสุขภาพคุณหนูปกติดี
ริมฝีปากได้รูปกดลึกเป็นรอยยิ้มที่ข้ารับใช้ไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงจะปรากฏเพียงครู่เดียวก็น่าอัศจรรย์แล้ว
“นายท่าน…ข้าน้อยขอบังอาจถามได้รึไม่ขอรับ” ดวงตาคมของผู้เป็นนายจับจ้องมาทันทีหมายถึงอนุญาตให้พูดต่อ
“เหตุใดจึงไม่ไปพบคุณหนูด้วยตนเองเล่าขอรับ” ไม่ยอมเหยียบไปที่เรือนข้างซึ่งอยู่ติดกันแต่กลับให้มารายงานทุกความเคลื่อนไหวชนิดที่ถ้าคุณหนูอ้าปากร้องเขาต้องรู้ว่าเพราะอะไร
“มันยังไม่ถึงเวลา” เสียงทุ้มบอกปัดทำเอาพ่อบ้านคนสนิทไม่กล้าถามต่อ
ใครเลยจะรู้ว่าในใจของบุรุษตัวโตที่มั่นคงเสมอมายามนี้มันประหม่าเพียงใด เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ต่อหน้าลูก เจ้าก้อนนุ่มเล็กจ้อยขนาดนั้นหากพลั้งมือจับแรงเกินไปจะไม่บาดเจ็บเอาหรือ ดวงตากลมจ้องมองมาที่เขาถ้าเผลอทำสีหน้าดุใส่นางจะร้องไห้รึไม่ มือน้อยที่คอยยื่นหาครั้นพอได้สัมผัสความอุ่นวาบก็เอ่อล้นอยู่ตรงอกซ้าย ใช่ว่าไม่อยากไปหา…เขาคิดถึงนางทุกเวลาต่างหาก
......................................................................................
โถ เอ็นดูยัยหนู วัยแรกเกิดนี่กินกับนอนไปเลยลูกสาว
ส่วนท่านพ่อนี่ยังวางมาดรออะไรเจ้าคะ ถ้าจะตามสืบขนาดนี้!