เจียวปิงเป็นหญิงสาวชาวจีนจากยุคสมัยใหม่ เธอร่างกายอ่อนแอตั้งแต่เกิด บิดามารดาเคยเอาใจใส่ดูแลอยู่ช่วงหนึ่งเมื่อตอนยังเด็ก กระทั่งคุณหมอแจ้งกับครอบครัวว่าเธอจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกินยี่สิบปี พวกเขาจึงเริ่มแสดงท่าทีเหนื่อยล้าและตัดสินใจทิ้งให้เธออยู่ในโรงพยาบาลเพียงลำพัง
ร่างบอบบางทำได้เพียงเฝ้ามองเตียงผู้ป่วยอื่นที่มีญาติมาเยี่ยมเยียนไม่ขาด คนเหล่านั้นรักษาตัวไม่นานก็ออกไป มีแต่เธอที่ถูกทิ้งไว้กับความเงียบเหงา เกิดในครอบครัวยากจนเลยไม่มีโทรศัพท์มือถือเอาไว้ใช้ สิ่งแก้เบื่อยามต้องอยู่เพียงลำพังคือหนังสือนิยายที่พยาบาลเอามาให้ยืมด้วยความสงสาร โลกทั้งใบจึงมีเพียงเรื่องราวอันน่าประหลาดใจพวกนั้น
“จบแล้วหรอเนี่ย” เสียงแหบแห้งเอ่ยพึมพำขณะจ้องมองตัวหนังสือคำว่า ‘จบบริบูรณ์’
ผ่านไปอีกวันกับการนอนอ่านหนังสือนิยายเรื่องเดิมซ้ำรอบที่สิบ เพราะไม่มีเงินมากพอจะซื้อเล่มใหม่จึงทำได้แค่รอความใจดีของพี่พยาบาลเท่านั้น ดวงตาเหม่อลอยทอดมองออกไปนอกหน้าต่างก่อนวางหนังสือลงตรงโต๊ะข้างเตียง เมื่อไหร่กันนะที่เธอจะมีโอกาสออกไปใช้ชีวิตบ้าง หากเกิดมาแล้วต้องมีชะตาเช่นนี้ทำไมไม่ตายไปเลยตั้งแต่แรกจะได้สิ้นเรื่องสิ้นราว
เพี๊ยะ
สองมือผอมแห้งประกบข้างแก้มอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง เธอกำลังเรียกสติตนเองให้กลับมา ภาวะซึมเศร้ามักนำพาความคิดแง่ลบถาโถมเข้าหาอยู่เสมอ เพราะมียาช่วยจึงยังประคองความคิดเอาไว้ได้บ้าง
“วันนี้ก็ไม่มาสินะ” แม้พยายามเปลี่ยนไปคิดเรื่องอื่นแต่ดูเหมือนรอบตัวของเจียวปิงจะไม่มีเรื่องน่ายินดีสักครั้ง
หลายเดือนแล้วที่ไม่ได้พบหน้าผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นครอบครัว ทั้งบิดามารดารวมถึงพี่ชายน้องสาวล้วนไม่มีใครมาเยี่ยมเลยสักครั้ง เพื่อนวัยเดียวกันก็ไม่ต้องพูดถึง เนื่องจากเธอป่วยจึงไม่ได้เข้าเรียนอย่างคนอื่น ในห้องนี้ก็เต็มไปด้วยคนแปลกหน้าชวนให้ลำบากใจจะเอ่ยชวนคุย
“ปิงปิง วันนี้เป็นยังไงบ้าง” น้ำเสียงสดใสทำให้สีหน้าเศร้าหมองของคนป่วยดีขึ้นในพริบตา
“พี่อาเม่ย” เด็กสาววัยใกล้ยี่สิบรีบหันหาคนเรียก อีกฝ่ายคือพยาบาลประจำที่ดูแลเธอมาหลายปีแล้ว
“ดูร่าเริงขึ้นกว่าเมื่อวานรึเปล่า” ที่จริงใบหน้านั้นหมองคล้ำยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่พยาบาลเช่นอาเม่ยจะกล้าพูดตัดกำลังใจคนไข้ได้ยังไงกัน
“วันนี้หนูรู้สึกดีขึ้นมากเลยค่ะ” ริมฝีปากสีซีดฉีกยิ้มกว้างอย่างอารมณ์ดี
“ดี ๆ ถ้าอย่างนั้นมากินข้าวกันเถอะ” อาเม่ยวางชามข้าวต้มไว้บนโต๊ะตรงหน้าเจียวปิง คนไข้มีอาการไม่อยากอาหารเธอจึงเป็นห่วง ในฐานะผู้ที่คอยดูแลเด็กสาวมานานจะบอกว่าไม่ผูกพันก็คงโกหก
“คือว่า….” ดวงตากลมกลิ้งกลอกไปมา เพียงได้กลิ่นอาหารก็รู้สึกไม่อยากกินแล้ว
“ถ้ากินหมด พี่มีหนังสือนิยายเล่มใหม่มาให้ยืมอ่านด้วยนะ” มือบางยกหนังสือที่ว่าขึ้นมาอวด หน้าปกมีชื่อเขียนไว้
‘ชะตารักมิอาจฝืน’
“ครั้งนี้เป็นนิยายสองเล่มจบหรอคะ!” ส่วนใหญ่ที่เคยอ่านมักเป็นนิยายเล่มเดียวจบเสมอ คงเพราะพี่สาวตรงหน้าไม่ค่อยมีเวลาอ่านอะไรที่ยืดเยื้อเท่าไหร่นัก
“ใช่แล้ว แต่พี่จะให้ยืมถ้าปิงปิงกินข้าวจนหมดชาม” ร่างกายเด็กสาวซูบผอมรุนแรงทั้งยังขาดสารอาหาร สุขภาพเดิมก็ย่ำแย่อยู่แล้วครั้งนี้จึงทรุดลงกว่าเก่า
“ขอโทษที่เป็นภาระให้พี่นะคะ” เสียงตอบกลับเบาหวิวประหนึ่งสายลมพัดทำเอาอาเม่ยอดสะท้อนใจไม่ได้
“เป็นภาระเสียที่ไหน มันคือสิ่งที่พี่อยากทำอยู่แล้ว” หากไม่มีใจรักก็คงลาออกจากกอาชีพนี้ตั้งแต่แรก แม้ต้องพบเจอเหตุการณ์ให้เจ็บปวดเมื่อไม่สามารถยื้อชีวิตคนไข้ไว้ได้ก็ตาม
ศีรษะเล็กถูกลูบเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ไออุ่นนี้คือสิ่งที่ประคับประคองเธอมาเนิ่นนาน มากกว่าคำพูดประชดประชันของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครอบครัวเสียอีก
‘จะเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน’
‘เมื่อไหร่จะดีขึ้นซะที หมดเงินไปตั้งเท่าไหร่’
‘ตัวภาระแบบนี้ทำไมพ่อกับแม่ยังต้องมาดูแลมันอีก’
‘ถ้าเกิดทิ้งไว้ไม่จ่ายค่ารักษา อาจถูกญาติ ๆ ด่าเข้าน่ะสิ’
‘เกิดมาแล้วป่วยเหมือนคนใกล้ตาย จะเกิดมาทำไม’
‘หากรู้ตัวว่าตัวเองไร้ค่า สู้ตาย ๆ ไปไม่ดีกว่าหรอ’
คำพูดเหล่านั้นวนเวียนอยู่ในหัวอีกครั้ง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาพวกเขาจะเริ่มก่นด่าเธอก็ต่อเมื่อเห็นว่าหลับอยู่ ซึ่งที่จริงเจียวปิงไม่ได้หลับเลยแม้แต่น้อย หยาดน้ำใสคลอหน่วยก่อนรินรดหมอนใบเก่าบนเตียงคนไข้ ทุกคำพูดล้วนทำลายจิตใจดวงน้อยจนแหลกสลายไม่มีชิ้นดี
“เป็นอะไรไป ไม่อร่อยงั้นหรอ” คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความสงสัยเพราะจู่ ๆ อีกฝ่ายก็ทำหน้าเศร้า
“เปล่าค่ะ หนูจะกินให้หมด” เจียวปิงสลัดความคิดวุ่นวายออกไป ตอนนี้มีคนที่ห่วงใยเธอจากใจจริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่น
ข้าวต้มชามน้อยถูกกินหมดในเวลาไม่นาน จากนั้นร่างเล็กก็รีบเอนหลังพิงหมอนเตรียมอ่านนิยายที่ได้มาใหม่ด้วยใจจดจ่อ พยาบาลสาวส่งยาที่ต้องกินให้พร้อมน้ำหนึ่งแก้ว
“เอ้า ๆ อย่าลืมกินยาสิ” เสียงกลั้วหัวเราะยิ่งทำให้ใบหน้าซูบตอบแดงขึ้นเล็กน้อย
“ไม่ได้ลืมนะคะ” เจียวปิงอ้อมแอ้มตอบพลางกระดกแก้วยาเข้าปากอย่างเคยชินจากนั้นจึงกินน้ำตาม
“ดีมาก เอาล่ะ งั้นพี่ไปก่อนนะ” เธอยังมีคนไข้อีกหลายคนต้องแวะไปดู
“ขอบคุณนะคะพี่อาเม่ย” สองแขนบอบบางกอดหนังสือนิยายเอาไว้แน่น ความตื่นเต้นทำให้เด็กสาววัยยี่สิบแจ่มใสกว่าเดิมมาก
“จ้า อย่านอนดึกนะ” แม้ที่นี่จะมีพยาบาลเวรดึกคอยตรวจตราอีกรอบ อาเม่ยก็อดเป็นกังวลไม่ได้
“ค่ะ!” คนป่วยรับคำแข็งขันพลางส่งรอยยิ้มให้จนกระทั่งอีกฝ่ายหายไปจากสายตา
“ชะตารักมิอาจฝืนงั้นหรอ ชื่อฟังดูน่าเศร้าจังเลย” เมื่อได้อยู่เงียบ ๆ ดวงตาคู่สวยก็กวาดมองหน้าปกของหนังสือในมือ เธอวางนิยายเล่มสองไว้ตรงโต๊ะหัวเตียงก่อนเริ่มอ่านเล่มแรก
......................................................................................
ป่วยกายว่าเหนื่อยแล้ว ป่วยใจด้วยนี่หนักกว่า
ครอบครัวที่ไม่พร้อมดูแลเด็กคนหนึ่งจนถึงที่สุด ถือว่าไม่เหมาะแก่การให้กำเนิดทุกกรณีค่ะ
สำหรับไรท์การเกิดมาในครอบครัวที่ไม่พร้อมนับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก