CHAPTER 8
“นี่อะไรแกอุ้มลูกใครเข้าบ้านมาฟาง”
“เอ่อ...”
ฉันในตอนนั้นกับการเผชิญหน้าพ่อและแม่รู้ไหมมันโคตรกดดันเป็นที่สุด มือที่โอบอุ้มร่างเล็กห่อด้วยผ้าขาวราวกับดักแด้กระชับเข้าหาตัวเองแน่นหัวใจเต้นตุบตับแทบกระเด็นออกมาถ้าเป็นไปได้นี่ยังไม่รวมไปถึงเม็ดเหงื่อที่ซึมออกรอบกรอบใบหน้าของตัวเองแต่แค่เสี้ยวหนึ่งเมื่อสายตาก้มลงมามองดวงตากลมใสบริสุทธิ์ในอ้อมกอดทุกอย่างที่กลัวมันไม่มีผลอีกต่อไปแล้ว
มีแต่การยอมรับแล้วก็พยายามต่อสู้
“เอาไปคืนซะ ลูกใครก็ไม่รู้อย่ามาอุ้มมั่ว”
“พ่อ...” ฉันสบสายตาแข็งกร้าวของท่านที่นั่งเก้าอี้ไม้หวายแล้วเลื่อนสายตามามองอีกคนที่นั่งตรงข้ามกันโดยมีโต๊ะหวายเล็กๆ คั่นกลางบนโต๊ะหวายนั่นมีชุดน้ำชาอยู่ “แม่...”
“กลับจากแลกเปลี่ยนมาแค่วันเดียวแกเอาเวลาไหนไปรู้จักกับลูกคนอื่นยัยฟาง เอาออกไปจากบ้านฉันเลยนะอย่ามาอุ้มมั่วแบบนี้ยิ่งสมัยนี้คนเรามันไว้ใจยากยิ่งกว่าอะไรเสียอีก”
“…”
“เอาไปคืน”
“ลูกฟางเองค่ะ”
ความเงียบสนิทเงียบแบบกริบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเช่นเดียวกับโลกนี้กำลังหยุดหมุน เหมือนเวลาค้างไว้ตรงนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันเอ่ยไปมันจะทำให้ทั้งพ่อและแม่นิ่งได้มากขนาดนี้ด้วยซ้ำ นี่เตรียมใจมาว่ายังไงต้องโดนแน่ๆ ยังไงก็ไม่มีทางที่จะได้รับคำชมหรือความเข้าใจหรอกกระทั่งพ่อลุกขึ้นวางแก้วน้ำชาในมืออย่างแรง
“ลูกแก ไอ้เด็กคนนี้คือลูกแกงั้นเหรอ แกไม่ได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ”
“ไปค่ะพ่อแต่ฟาง...”
“เรียนทั้งที่ท้อง กูจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนรู้ถึงไหนอับอายถึงนั่น!” แล้วอารมณ์ของพ่อก็ระเบิดขึ้นดื้อๆ ไม่แค่นั้นมือข้างหนึ่งยกขึ้นมาฟาดลงใบหน้าของฉันในทันทีก่อนที่ความชาจะเข้ามาเยือนพร้อมกับความเจ็บปวด สิ่งที่ฉันทำได้ก็คงแค่เพียงกอดร่างเล็กที่ไม่รู้เรื่องราวเอาแน่นเท่าที่จะปกป้องได้ “อีลูกชั่ว! มึงมันชั่ว!”
“ฟาง...”
“พ่อลูกแกละอีฟาง พ่อมันเป็นใคร!” แม่ที่เข้ามากระชากผมให้ฉันหันหน้าไปมองแล้วตอบท่านซึ่งอารมณ์ที่ควบคุมยากของแม่มันน่ากลัวมาก “บอกกูมา ไอ้นั่นมันเป็นใคร!”
“…”
ฉันไม่มี
ไม่มีพ่อของลูก
แค่ได้เห็นแววตาและความเงียบของฉันแม่ก็ไม่สนใจอะไรทั้งนั้นเพราะท่านคว้าไม้ที่ไว้เกาหลังมากระหน่ำตีๆ ลงแผ่นหลังของฉันด้วยความโมโห การกระหน่ำตีพร้อมกับเสียงด่าทอแน่นอนทั้งฉันแล้วก็ลูกร้องไห้ตีกันระงมทั่วบ้าน เสียงความเจ็บปวดแล่นเข้ามาหาฉันซ้ำๆ ไม่มีความปรานีใดๆ จากแม่กระทั่งไม้ในมือแม่หักคาหลังฉัน
แม่ยังหันซ้ายขวาเพื่อหาไม้มาแทน
และสิ่งที่ฉันเจ็บปวดมากสุดก็คือพ่อคว้าด้ามไม้กวาดส่งให้แม่
รู้ว่าแค่แม่รับด้ามไม้กวาดนั้นความเจ็บปวดต้องเข้ามาสู่ตัวฉันแน่นอนและมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ความแรงที่ไม่ผ่อนมีแต่แรงขึ้นเรื่อยๆ กับการกระทบแผ่นหลังของฉัน
“บอกกูอีฟางมึงให้ไอ้นั่นทำไม มึงมันร่าน มึงไม่เหมือนพี่มึง อีลูกชั่ว!”
“ฮือ... ฟะ ฟาง”
“อี... ลูกสารเลว”
“ขอโทษ ฟางขอโทษแม่ ฟางเจ็บแล้ว” ใช้เงยหน้ามองแม่ด้วยน้ำตาไหลพราก ความชัดเจนไม่มันหรอกเพราะแค่มองหน้าแม่การโฟกัสของสายตาเบลอมัวไปหมด “เจ็บแล้ว พอแล้ว อย่าตีฟางเลยนะแม่”
ไม่หรอกแม่ไม่สนใจ
มือแม่ค้างตึงบนอากาศด้วยความสั่น
“มึงท้องไม่มีพ่อใช่มั้ยอีฟาง”
เพราะแม่มัวแต่หยุดแบบนั้นมือใหญ่ของพ่อถึงคว้าด้ามไม้กวาดในมือแม่แล้วไม่รอช้ากำลังกับอะไรทั้งสิ้น พ่อกำลังจะฟาดลงบนตัวฉันอีกและครั้งนี้มันต้องแรงกว่าครั้งอื่นๆ แน่นอนในเมื่อฉันทำอะไรไม่ได้จึงหลับตาลง
ปึก!
แรงกระทบดังขึ้น
แต่ฉันไม่รู้สึกเจ็บอะไรทั้งสิ้น
“ผมเองครับ” น้ำเสียงนุ่มแถมมีหางเสียงลงท้ายบ่งบอกถึงการได้รับการอบรมที่ดีทำให้ทุกอย่างเงียบลงเมื่อลืมตาก็พบว่ามีมือใหญ่เข้ามากอบกำด้ามไม้กวาดไว้ก่อนมันจะฟาดลงกลางหลังฉัน “ผมคือพ่อของเด็ก”
ฉันไม่รู้จักเขา
ฉันไม่คิดจะทักเขา
ถึงแม้จะเคยเจอที่โรงพยาบาลก็เถอะ
ร่างสูงโปร่งแต่แต่งตัวดีมากถึงเรียบแต่หรูน่าเชื่อถือในสายตาคนมองทำให้ทั้งพ่อและก็แม่เงียบลงมากแต่ก็ยังใช้สายตาสำรวจอย่างต่อเนื่อง
“เป็นใคร ผัวอีฟางจริงเหรอ”
พ่อเอ่ยพูดขึ้นโดยที่สายตายังไม่ละจากเขาเลย ผู้ชายคนนี้ถือด้ามไม้กวาดในมือลงแล้วเคลื่อนตัวมายืนข้างฉันนิ่งไม่แสดงความกลัวออกมาสักนิดเดียว แค่ยืนข้างก็รู้สึกถึงความต่างอย่างสิ้นเชิง กลิ่นหอมเย็นอ่อนๆ ก็ปะทะเข้าจมูกของฉันอย่างต่อเนื่อง เขาแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีฟ้าอ่อนตรงแขนทั้งสองข้างพับขึ้นเล็กน้อยพ่อให้เห็นเครื่องประดับแค่ชิ้นเดียวบนตัวคือนาฬิกายี่ห้อแพงแสดงขึ้น
“จริงครับ ผมสามีฟาง”
ตอนไหนแค่ชื่อฉันยังไม่รู้จักเลย
“จริงเหรออีฟาง” แม่ท่านถามย้ำอีกครั้ง
“เอ่อ...”
“กูถาม”
“จะ จริงค่ะ” ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็เออออก่อนแล้วกันเดี๋ยวค่อยตกลงกันทีหลังก็ได้ “เขาเป็นพ่อของลูกฟาง”
“รู้จักกันที่ไปแลกเปลี่ยนเหรอ”
“ครับที่นั่น ผมชื่อต้าครับ”
ต้างั้นเหรอ... คุ้นจัง
“ลูกเต้าเหล่าใคร พ่อแม่ทำอาชีพอะไร การงานที่ทำอะไร” พ่อถามประโยคยาวเหยียด “คิดเหรอว่าฉันจะยอมง่ายๆ แค่เด็กเอามาบังหน้าไม่ได้หรอกนะ เด็กฉันไม่ได้รักอะไรขนาดนั้น”
พ่อหมายถึงว่าถึงจะทำฉันท้องมีลูกคลอดออกมาแล้วแต่ก็ไม่ยอมรับง่ายๆ หรอก หลานหรือว่าเด็กไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น
“ผมเรียนอยู่...” เสียงเขาหายไปแต่ยังสบตาพ่อนิ่งไม่หวั่นไหวกับอะไรทั้งสิ้น “ผมเป็นลูกของเจ้ารัชกรณ์และหม่อมหญิงดารุณี สัตตบรรณ เจ้าของธนาคารสัตบรรณครับ”
แค่นี้ทุกอย่างก็เหมือนง่ายดายขึ้นมากกว่าเดิมความรุนแรงทุกอย่างสงบลงโดยที่พวกเราทั้งหมดกลับมานั่งโต๊ะรับแขกประจำบ้าน สายตาทั้งพ่อและแม่แน่นอนมีแววความไม่พอใจฉายอยู่ตลอดเวลาข้อนี้ทำไมฉันจะไม่รู้ดีพ่อไม่มีทางยอมรับเด็กที่อยู่ในอ้อมกอดของฉันเป็นแน่แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อคำยืนยันจากทั้งพ่อและก็แม่มีให้คือทางเดียวฉันต้องย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ฉันต้องเลี้ยงลูกเองอีกอย่างที่สำคัญมากจะไม่ส่งเสียอะไรอีกต่อจากนี้
เหมือนโดนทิ้งอยู่ในเรือที่ลอยกลางทะเลใหญ่เลย
โดนทิ้งแบบไม่ใส่ใจทั้งที่ฉันไม่สามารถขับเรือนั้นเข้าฝั่งได้
จะทำไงได้ในเมื่อฉันยอมรับที่จะทำแบบนี้ตั้งแต่ทีแรก ฉันยืนยันว่าจะให้เด็กอยู่ยังไงซะก็ต้องยอมรับให้ได้กับสิ่งที่เผชิญแล้วก็ตามมา การนั่งเงียบบนรถของคนที่พึ่งรู้จักแม้กระทั่งชื่อเป็นทางเลือกแรกในตอนนี้ที่ฉันต้องเผชิญกับเด็กน้อยที่ยังอยู่ในอ้อมกอดกระทั่งรถที่เคลื่อนได้หยุดลงที่ไหนสักแห่งหนึ่งซึ่งพอมองออกไปรอบๆ คงเป็นสวนสาธารณะ
“จะทำแบบนี้จริงๆ ใช่มั้ย”
ประโยคแรกทำลายห้วงความคิดลง
“…”
“จะได้หาทางเตรียมไว้”
“มะ หมายความว่าไง”
“ก็ลงเรือลำเดียวกันแล้วก็ต้องรับผิดชอบไง” แบบนี้ก็ได้เหรอคือสิ่งที่ฉันคิดได้ออกมาในขณะนั้นเพราะตรรกะแบบนี้ก็มีด้วย ฉันยังไม่ได้ตกลงอะไรจะมามัดมือชกง่ายๆ แบบนี้ไม่ได้หรอก “ที่ช่วยแค่นี้ก็ดีแล้วส่วนที่เหลือจะคิดเองว่าจะทำอะไรต่อไปดีไม่อยากติดหนี้คำว่าบุญคุณใคร”
“บอกก่อนว่าไม่ชอบให้บุญคุณใครเหมือนกัน”
“เด็กไม่ใช่ลูกคุณ” เหมือนอีกคนจะดื้อไม่มากกว่าฉันสักนิดเดียวจึงทิ้งเรื่องบุญคุณไปเถอะเริ่มเรื่องใหม่จะดีกว่าหลายเท่าและเป็นเรื่องความจริงที่เขาควรรับรู้เอาไว้จะมารับผิดชอบมันก็ไม่ใช่เรื่องอะไร “อย่าเอาตัวเองเข้ามายุ่งเลย”
“แล้วเธอ... เอาตัวเองเข้ามายุ่งทำไมกัน”
“…”
นั้นสิ หาคำตอบไม่ได้เลย
ว่าเอาตัวเองมายุ่งเรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมกัน
“ก็ให้คำตอบไม่ได้แต่ถ้าพี่ชายฉันมันไม่เอาลูกตัวเอง ไม่เป็นไรฉันเลี้ยงได้”
“พี่ชาย...”
“ก็คนที่ทำเด็กเกิดมาไง พ่อเด็กมันคือพี่ชายฉัน”
“ฟาง ฟาง... เอ่อ ฟาง!”
“คะ?”
“เหม่อได้อีกพี่ถามว่ารดแปลงนี้ด้วยมั้ย”
“อ่อรดค่ะ”
ทั้งตอบรับแล้วแถมพยักหน้าให้คนตัวสูงที่ยืนห่างออกไปฉันคงจมกับความคิดในอดีตมากไปหน่อยถึงได้ไม่ได้ยินเสียงเรียก ร่างสูงโปร่งถือสายฉีดน้ำในมือฉีดรดไปทั่วหลายแปลงแล้วโดยที่ถ้ามองออกไปทางครัวซึ่งเป็นด้านหลังจะสามารถเห็นสายตาของอีกหลายคู่ต่างมองมาทางนี้คงแปลกและไม่อยากให้คุณผู้ชายในบ้านต้องมาแย่งหน้าที่อะไรทำแบบนี้แน่ๆ
แต่พี่ต้าเขาดื้อไง
เขาไม่ทำตัวสูงส่งถือยศกับใครหรอก
การที่ต้องมารับหน้าที่รดต้นไม้แบบนี้ก็ไม่มีใครสั่งสักคนเดียวอาสาตัวเองล้วนๆ ปกติฉันชอบมานั่งสวนตรงนี้อ่านหนังสือบ้างหรือไม่ก็ทำงานส่งอาจารย์บ้างตามวันหยุดซึ่งทุกครั้งจะรดต้นไม้ด้วยเลยทว่าวันนี้เขาอยู่บ้านจึงตามมาทำแบบนี้ให้นับว่าน้อยครั้งจริงนั่นแหละ
“เรียบร้อยแล้ว”
“น้ำค่ะ” เห็นเหงื่อเม็ดเล็กออกเกาะซึมรอบกรอบใบหน้าก็อดเคลื่อนแก้วน้ำเย็นไปให้ตรงหน้า น้ำใบเตยกลิ่นหอมของโปรดเขาเลยละ “ถ้ามองหาลูกยังไม่ตื่นหรอก”
“ขี้เซาจัง”
“อย่าว่าให้เตเลย”
เพราะยิ่งโตก็ยิ่งถอดแบบเหมือนเขามากขึ้นทุกวัน
ไม่แค่เหมือนนิสัยนะใบหน้าท่าทางก็เหมือนทั้งที่ไม่ใช่พ่อ
“นี่จะบอกว่าลูกเหมือนพี่สินะครับ”
“ยังไม่ได้พูดอะไรเลย พี่ต้าเอ่ยพูดออกมาเองนะคะ”
“ครับยอมแล้วครับ” พี่ต้าเอื้อมมือยกแก้วน้ำใบเตยขึ้นมาดื่มแต่สายตายังจ้องฉันแบบนั้นไม่ละทิ้งไปไหน “เรื่องนั้นพี่จัดการแล้วนะครับไม่ต้องห่วง”
“…”
“แล้วอย่าไปที่แบบนั้นอีก”
“พี่ยังไปได้เลยนิ”
“ดื้อหน่าฟาง วันนั้นเลี้ยงสายก็เลยไปต่างหาก”
เพราะไม่มีใครรู้ความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับพี่ต้าเว้นครอบครัวนอกนั้นก็ไม่มีหรอกแม้กระทั่งเพื่อน แบบนี้ไงทุกครั้งที่ไม่ว่าใครแอบปลื้มเขา ทางเพจมอเอาพี่ต้าลงก็ใส่สถานะโสดทุกครั้งแต่มันก็เป็นความจริงมาตลอด
ฉันกับเขาแค่พ่อแม่ปลอมๆ
ฉันกับเขาแค่สามีภรรยาปลอมๆ
ฉันกับเขามีครอบครัวที่ปลอมๆ เท่านั้น
ข้อนี้มีแค่ฉันกับเขาที่ตกลงกันไม่มีใครรู้มากไปกว่านี้
“อย่าให้วุ่นวายก็แล้วกันค่ะ”
“…”
“รู้ใช่มั้ยว่าฟางเป็นคนในเย็น... และเลือดเย็นพอๆ กัน”
“…”
“แล้วยังไม่ลืมใช่มั้ยว่าถ้าฟางขออะไรก็ตามจากพี่ พี่ก็จะทำให้ฟางเสมอ”
“ใช่ครับ”
“…”
“แลกกับที่ฟางไม่ถอดแหวนนิ้วนางข้างซ้ายมันก็จะเป็นแบบนั้นตลอด”
“ค่ะ ฟางรู้แต่ถ้าพี่ต้าถอดแหวน เลือดหัวพี่ต้าก็ออกด้วยเช่นกัน”
“…”
“ข้อนี้อย่าลืมนะคะ”