CHAPTER 9
แล้วก็เหมือนจะเป็นเรื่องน่าประหลาดใจของหลากหลายคนอีกทั้งยังมีเพจต่างๆ ที่ไว้ลงรูปคนหล่อๆ ประจำคณะนี้สาขาโน้นดาวเดือนปีต่างๆ ให้คนได้กรี๊ดหวีดเสมอไม่เว้นแต่ละวัน มีรูปที่บังเอิญไปเจอตามร้านกาแฟ โรงภาพยนตร์รวมถึงสถานที่อื่นๆ บ้างอักอย่างที่ลืมไม่ได้เลยคงเป็นรูปที่เจ้าของอัพตามโซเชียลต่างๆ และหัวข้อวันนี้ของนักศึกษาก็คงเป็นคุณชายต้าหรือว่าหม่อมราชวงค์รังสิมันต์ สัตตบรรณคนนี้นี้แหละที่เป็นท๊อปปิกโดดเด่น
แค่เขาอัพรูปในไอจีด้วยชุดสีดำตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเสื้อเชิ้ตสีดำปลดกระดุมสวมทับด้วยสูทดำราคาแพงเข้ากันกับกางเกงยีนไม่ขาดสีดำส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าหัวแหลมสีดำขัดวาวท่าทางก็แค่ยืนพิงโต๊ะเหยียดขาข้างหนึ่งยื่นยาวออกมาข้างหน้าในมือข้างซ้ายถือแก้วไวท์ก็แค่นั้น เข้าใจว่าองศ์ประกอบของภาพล้วนแล้วแต่ดูเข้ากันไม่ว่าจะเป็นโทนเทาดำเด่นแค่ใบหน้าขาวนิดๆ ด้านหลังก็เป็นดาดฟ้ามีแสงฟ้าระยิบระยับ
ภาพนี้ล้วนไปอยู่ให้หลายคนหวีดเรียบร้อย
ภาพนี้ได้หัวใจไปหลักหมื่นเพียงแค่ลงไม่กี่นาที
และภาพนี้ก็มีคอมเม้นกระจายมากมายถามถึงสถานะ
อ่านไม่ผิดกันหรอกสถานะจริงๆ ทุกคนรู้มาตลอดว่าโสดนั่นแหละเพราะภาพที่ลงในครั้งนี้ค้านคำว่าโสดมากคงเป็นแหวนที่เขาสวมตรงนิ้วนางข้างซ้ายได้เปิดสู่สาธารณะไม่แค่นั้นยังมีแคปชั่นภาษาอังกฤษว่า Mine
แบบนี้คอมเม้นจะไม่แตกได้ยังไงกัน
เล่นกับการอยากรู้อยากเห็นของคนอีกแล้ว
“หรือพี่เขาจะเปิดตัวแล้วว่ะมึง”
“คนหล่อๆ ไปอีกคนแล้วเหรอ”
“หม่อมเลยนะแล้วแฟนที่เขาจะขนาดไหน”
“พี่ต้าแม่งโคตรหล่อเลยอ่ะ ตัวหอมมากนี่ขนาดเดินสวนกันที่คณะ”
“เสือยิ้มยากแบบนั้นใครทำให้ยิ้มได้กันนะ”
“กลุ่มนี้คนหล่อเยอะแต่คนโสดค่อยไปจริงๆ แถมแฟนสวยทุกคน”
นี่ขนาดฉันนั่งมุมหนึ่งในร้านกาแฟใต้คณะของตัวเองยังหนีไม่พ้นได้ยินประโยคพวกนี้เลยด้วยซ้ำซึ่งคนที่เอ่ยพูดก็เป็นนักศึกษาที่มาซื้อน้ำดื่มกัน การก้มหน้าไถเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ แบบไม่ใส่ใจตามสไตล์ของฉันเองสาเหตุที่ต้องมานั่งในร้านกาแฟก็เพื่อรองานจากเพื่อนซึ่งมันยังอยู่บนตึก
เพื่อนกลุ่มเดียวกัน
เพื่อนผู้หญิงแต่ไม่ใช่คนที่ไปดื่มด้วยกันคืนนั้นนะ
คนละกลุ่มกัน
“เอ่อ... ไม่ได้สั่งค่ะ”
เพราะมีมือเล็กเลื่อนแก้วเครื่องดื่มเมนูโปรด ‘ชาพีช’ มายังด้านหน้าโต๊ะของฉันพอเงยขึ้นก็เป็นพนักงานผู้หญิงหน้าตาจิ้มลิ้มส่งยิ้มมาให้
“มีคนฝากมาให้ค่ะ”
“ได้บอกหรือเปล่าคะว่าใคร”
เพราะฉันไม่กินสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอนบอกเลยนาทีนี้ยิ่งไม่ควรไว้ใจใครทั้งนั้น คงเป็นเพราะน้องพนักงานหันหน้าไปอีกทางซึ่งเป็นมุมหนึ่งสุดทางซ้ายเป็นโต๊ะใหญ่สุดของร้านพึ่งมีกลุ่มนักศึกษาชายหลายคนนั่งลงคุยกันสนุกสนานและแต่ละคนก็เรียกสายตาลูกค้าคนอื่นได้เป็นอย่างดี
และคำตอบมันก็อยู่ตรงนั้น
ตรงที่ผู้ชายร่างสูงพึ่งเดินไปนั่งลงใกล้พี่สายฟ้า
คำตอบก็คือพี่ต้าสามีปลอมๆ ของฉันนั่นเองเจ้าของชาพีชแก้วนี้
ฉันเห็นด้วยกับประโยคที่พึ่งได้ยินไปเมื่อกี้นะว่า ‘กลุ่มนี้หล่อทุกคน’ มันค่อนข้างจริงเพราะแต่ละคนเบ้าหน้าล่อผู้หญิงทั้งนั้นยังไม่รวมไปถึงฐานะทางบ้านหรืออำนาจเงินที่ช่วยส่งเสริมเข้าไปอีกหลายเท่าตัวแค่นี้ก็เป็นที่หมายปองของคนอื่นรอบตัวไม่น้อย เท่าที่รับรู้มากลุ่มนี้ก็มีเจ้าของหัวใจกันไปหลายคนแล้วนะทั้งที่รู้จากปากพี่ต้าและก็จากข่าวที่ออกมา
แต่ขอร้องเลยอย่ารวมฉันไป
ฉันไม่ใช่เจ้าของพี่ต้าแบบสมบูรณ์
ฉันไม่ใช่เจ้าของหัวใจด้านซ้ายของพี่ต้า
หัวใจดวงนั้นมันยากที่จะเข้าไปมากเพราะไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครเข้ามาได้เลย พี่ต้าเป็นผู้ชายประเภทที่เข้าใจยากในบางความคิดเขาอยู่เฉยก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่าคิดอะไรอยู่ บางครั้งที่เขายิ้มออกมาไม่รู้เช่นกันว่ามันใช่ยิ้มจริงๆ ที่ออกมาจากใครหรือเปล่า
นี้แหละความเป็นเขา
ความเป็นคุณชายต้า
“อ่อ... ขอบคุณค่ะ”
แค่นั้นฉันก็ก้มหน้าลงสนใจอะไรเรื่อยเปื่อยในโทรศัพท์ต่อไปเรื่อยๆ ไม่หยุดกระทั่งเวลาผ่านไปพอสมควรเพื่อนตัวดีก็หายหัวเงียบไม่เคลื่อนไหวอะไรทั้งนั้นจนแปลกใจฉุกคิดขึ้นมาว่าฉันคงโดนเพื่อนลืมแล้วเมื่อเป็นแบบนั้นจึงลุกขึ้นเพื่อออกจากร้านกลับบ้านไปหาลูกชายดีกว่าแต่แล้วสิ่งที่เห็นค้างหน้าจอกับทำให้ฉันที่ยืนตัวชาวาบเย็นไปทั้งตัว
~ซ่า~
ไม่แค่นั้นเสียแล้วเมื่อนาทีที่กำลังยื่นมือกะไปคว้าโทรศัพท์มือฉันดันไปโดนแก้วชาพีชคว่ำหกรดโทรศัพท์ที่ยังแสดงสิ่งนั้นค้างตึงหน้าจอเอาไว้แบบนั้น
“ฟาง...”
เรียนจบแล้วกลับไทยได้ มีคนรออยู่ :)
อ่านประโยคนี้ฉันไม่สนใจอะไรเลยนอกจากอ่านมันซ้ำๆ หลายรอบ
สนใจจดจ่ออยู่แต่กับมันโดยไม่สนใจสิ่งรอบตัวแม้สักนิดเดียวต่างจากอีกคนที่เข้ามาในเหตุการณ์เพราะแรงกระชับตรงเอวรั้งให้ร่างของฉันก้าวถอยออกมาซึ่งตอนนี้น้ำชาพีชแก้วตอนเอ่อล้นไหลจากโต๊ะลงสู่พื้นเป็นสาย พนักงานคนเดิมรีบเข้ามาทำความสะอาดและฉันก็เห็นว่ามือใหม่ของเขาจัดการคว้าโทรศัพท์เครื่องนั้นมาไว้ในมือ
“ไหนเปียกหรือเปล่า”
“…” ฉันไม่มีคำตอบให้กับเขาแต่หันร่างกายไปแทน
“โอเคครับไม่เปียก” เจ้าของนัยน์ตาสีดำสนิทมองสำรวจจากนั้นก็เงยขึ้นสบสายตากับฉันนิ่งอีกทั้งยังไร้คำถามอะไรทั้งนั้นความเงียบแบบนี้แหละทำให้อีกฝ่ายตั้งใจสื่อออกมาทางสายตาว่าให้เดินออกไปจากร้านนี้ก่อนซึ่งตอนนี้มันเป็นจุดสนใจของใครหลายคนไปแล้ว ฉันเดินออกมาจากร้านโดยที่มีร่างสูงเดินตามมาด้วยกระทั่งถึงลานจอดรถที่ยังมีคนประปรายบ้างถึงได้หยุดเท้าลง “ขับไหวมั้ยครับ”
“ไหว... ค่ะ”
“โอเคมั้ย อย่าคิดมาก” พอฉันหันหน้ามาเผชิญก็เห็นว่าพี่ต้าสะพายกระเป๋าข้างเดียวเช่นทุกครั้งด้วยความที่อีกคนสูงกว่าตัวเองจึงจำเป็นต้องช้อนสายตาเงยมอง “ถ้าขับไหวถึงบ้านก็บอกพี่ด้วยเข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
“พี่ต้องทำรายงานกับไอ้พวกนั้น”
อย่างงี้นี่เอง
คำตอบของอีกฝ่ายที่ฉันยังไม่ได้เอ่ยถามมันจะเป็นแบบนี้เสมอไม่ว่าจะตอนไหน การไม่ถามไม่โทรจิกและให้อิสระกับอีกฝ่ายคือสิ่งที่ฉันทำมาตลอดตั้งแต่มีลูกเข้ามาโดยที่คนตรงหน้าได้ชื่อว่าเป็นพ่อของลูก ไม่รู้สิหลายครั้งมาก็อาจเข้าไปยุ่งกับชีวิตส่วนตัวของอีกคนมากเกินไปถ้าจะหวงหรือว่าจิกให้เขาขาดความอิสระ
ทุกคนต้องการอิสระ
ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง
และทุกคนก็สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้
ทว่าสิ่งที่ต้องคิดหน่อยคงเป็นความรับผิดชอบหรือว่าผิดชอบชั่วดีมั้ง การให้อิสระไม่ใช่ว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน ไม่เคารพคนอื่นแม้กระทั่งไม่ใช่คนที่ไม่มีความเป็นคน
“ไม่ต้องเดินมาส่งก็ได้นะคะ” เพราะเดี๋ยวก็ต้องเดินกลับไปเสียเวลาไปๆ มาๆ เปล่าประโยชน์เป็นความจริงที่ฉันเอ่ยปากพูดบอกเขาไป “เสียเวลาทำรายงาน”
“เธอรู้สึกไม่ดีไงฟาง”
ใช่ฉันยอมรับว่ารู้สึกไม่ดีสักนิด
“ก็มีค่ะแต่ไม่ขนาดนั้นหรอกอีกอย่างทุกอย่างมันมีทางแก้ไขมัวจดจ่อแต่กับมันเรื่องเดียวก็ใช้ไม่ได้”
คงอีกนานอยู่กว่าคนๆ นั้นจะมาให้เห็น
คงอีกไม่เกินอาทิตย์แต่ช่วงเวลานั้นสามารถหาทางออกได้แล้ว
“พี่จัดการได้”
“แต่นั่นพี่สาวฟาง”
คนที่ทำให้ฉันคิดหนักคือแฟ
พี่สาวของตัวเอง
“เธอไม่เคยเอาอยู่สักครั้งเดียว”
“…”
“จริงมั้ยล่ะ?”
“แล้วจะจัดการยังไงกับแฟ รู้ๆ กันอยู่ว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น” ที่ไม่เถียงเพราะมันเป็นความจริงร้อยเปอร์เซ็นถึงเถียงไม่ออกส่วนที่ตั้งคำถามแล้วกำลังพูดออกไปนั้นก็เพื่ออยากรู้จริงๆ มากกว่า “ทุกครั้งที่ผ่านมามันง่ายเพราะแฟยอมมาตลอดทว่าครั้งนี้ทุกอย่างมันไม่เป็นแบบนั้นแล้ว แฟเรียนจบพร้อมในทุกๆ อย่างแบบนั้น”
“ทำไมจะไม่มี ช่องโหว่สำคัญอยู่ใกล้จะตายและมันเป็นไม้ตายด้วย”
“ยังไงคะ”
“กลับบ้านได้แล้ว” พอฉันสนใจตั้งคำถามกลับไปอีกฝ่ายก็ฉวยโอกาสคว้ากุญแจรถที่อยู่ในมือฉันตั้งแต่เดินออกมาจากร้านไปกดปลดล็อคจากนั้นก็เปิดประตูรถดันร่างฉันเข้าไปตรงที่นั่งคนขับก่อนยื่นกุญแจพร้อมกับโทรศัพท์มือถือให้อย่างง่ายดาย “โทรศัพท์จะซื้อใหม่ให้เย็นนี้ได้รับ”
“เสียแล้วเหรอคะ” ไม่เชื่อจึงพยายามเปิดกดก็ไม่ติดตามที่เห็นจึงได้แต่ถอนหายใจแทน “ฟางซื้อเองค่ะ”
“จะซื้อให้รีบไปหาเตได้แล้วนะฟาง ลูกรออยู่”