บทที่ ๖ ข่มกลั้นความรู้สึก

2355 คำ
หลังกลืนน้ำลายลงคอข่มความหวาดหวั่นไปหลายอึก พอเห็นคุณชายรองกลับไปสนใจตำราในมือต่อหลวนชุนพลันลอบถอนใจอย่างโล่งอก เพราะมั่นใจแล้วว่าโทษทัณฑ์ความไม่พอใจในครั้งนี้ไม่หล่นใส่หัวตนเป็นแน่ แต่สำหรับสะใภ้รองผู้นั้นเกรงว่าคงลำบากไม่น้อยเลยทีเดียว ทางด้านคนที่กล้าเอ่ยวาจาขับไล่ผู้อื่นน่ะหรือ นางเอนกายอยู่บนตั่งตัวยาวรับการบีบนวดจากชิงจือ ด้านข้างมีชิงชิวคอยป้อนขนมน้ำชาให้ ผู้ร้อนใจที่สุดคงเป็นเสี่ยวซือกระมัง เพราะอีกฝ่ายเอาแต่ชะเง้อมองออกไปยังประตูหลัก เกรงเหลือเกินว่าจะเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของคุณชายรอง ทว่าพอยามโหย่วสองเค่อแล้วไม่เห็น สีหน้าถึงได้ผ่อนคลายลง “คุณหนูรับมื้อเย็นเลยนะเจ้าคะ” เจียงซูเจินมองบรรดาสาวใช้ เห็นแต่ละคนทำหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอกก็อดยิ้มไม่ได้ “ตั้งโต๊ะเถอะ” ได้ยินคำสั่ง เหล่าสาวใช้สามสี่คนด้านนอกรีบยกอาหารคาวหวานเข้ามา แต่ละจานนั้นล้วนเต็มไปด้วยของบำรุงชั้นเลิศ ดูแล้วมุมปากของเจียงซูเจินพลันกระตุก หลายวันก่อนอาหารของนางมิใช่มีเพียงน้ำแกงหนึ่งกับผัดผักไร้สีสันของเนื้อสัตว์หรอกหรือ วันนี้ทำไมมีทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ครบเช่นนี้เล่า ดูท่านี่คงเป็นพลังแห่งความโปรดปรานจากแม่สามีกระมัง หรือไม่ก็... ยังไม่ทันได้คีบกับข้าวใส่ปาก ในห้องพลันมีเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งปรากฏ เจียงซูเจินอยากโยนตะเกียบทิ้งแต่พออีกฝ่ายทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็ได้แต่ลอบสบตากับสาวใช้ มิน่าอาหารถึงได้พรั่งพร้อมนัก ที่แท้คุณชายรองผู้มีฐานะสูงส่งมาร่วมโต๊ะมือเย็นกับนางนี่เอง ในหัวพลันนึกถึงกับข้าวง่ายๆ สองสามอย่างที่ตนสามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อยโดยไม่มีผู้อื่นนั่งอยู่ด้วย เห็นนางจับตะเกียบไม่ยอมคีบอาหารใส่ปาก ลู่อี้เหิงพลันตวัดตามองสาวใช้ เดิมทีนึกว่าเสี่ยวซือผู้นั้นจะรู้จักคีบกับข้าวใส่ชามให้นายหญิงของตน แต่อีกฝ่ายกลับรีบคว้ามือคนอื่นออกไปจากเรือนจนหมด ทิ้งให้เขาได้แต่ออกปากสั่งด้วยน้ำเสียงไม่ดังนัก “กินข้าวเถอะ” ในเมื่อเขาไม่หาเรื่อง เจียงซูเจินย่อมไม่มีทางทำให้ตนเดือดร้อน นางก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ ต้องดื่มยากินข้าวต้มจืดๆ ไร้รสชาติมาหลายวัน พอได้กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ซึ่งเหมาะกับอาการเพิ่งหายป่วยของตน มือที่วางนิ่งๆ เมื่อครู่คีบกับข้าวเข้าปากได้มาก รู้ตัวอีกทีของอร่อยๆ ก็ถูกกินไปไม่น้อย กินข้าวอิ่ม ล้างปากล้างมือเสร็จ ย่อมถึงเวลาเผชิญหน้ากับสามีแต่ในนามของตน ได้เห็นเขาใกล้ๆ อีกครั้ง ไม่รู้ว่าทำไมความทรงจำเมื่อหลายปีก่อนถึงได้ย้อนกลับมา คุณชายรองสกุลลู่ที่นางเคยพบพาน รูปงามนัก วันนี้เขามิเพียงรูปงามขึ้นแม้กระทั่งกลิ่นอายดุดันของชายชาตรีก็ยังมากขึ้นไปด้วย เขาเหมือนม้าศึกที่พร้อมกระโจนเข้าสู่สงครามในสนามรบ ไม่เหมาะจะมาจมปลักอยู่ในเรือนแม้แต่น้อย ถ้าหากสกุลลู่ไม่ถูกฮ่องเต้เรียกกลับเมืองหลวง บางทีตลอดทั้งชีวิตนี้นางกับเขาอาจไม่ต้องพบกันอีก น่าเสียดาย สกุลลู่มีผลงานโดดเด่นมากเกินไป หากฮ่องเต้ไม่ลงมือกำราบเสียบ้างย่อมไม่วางใจนัก วันนี้มิเพียงกำราบสกุลลู่ แต่ยังกดข่มเหล่าสกุลชั้นสูงในเมืองหลวงมิให้มีใจคิดไม่ซื่ออีกด้วย นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมก่อนแต่งงานกับเขานางถึงได้ยินข่าวลือมากมาย ว่ากันว่า...คุณชายสกุลลู่ล้มป่วย ร่างกายไม่แข็งแรงเฉกเช่นกาลก่อน ฮูหยินแม่ทัพถึงได้แต่งนางเข้ามาเพื่อดูแลปรนนิบัติลูกชายที่จวนสิ้นชีวิต แต่งกับเขามาเกือบสองเดือน ข่าวลือเหล่านี้มิเพียงหายไป แต่ยังหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ ข่าวคราวล่าสุดมิใช่พูดกันว่าคุณชายรองล้มป่วยจนลุกจากเตียงไม่ได้หรอกหรือ มีใครรู้บ้างว่าคนที่เกือบตายและขาใช้งานไม่ได้คือนางต่างหาก คนในกองทัพ มิใช่สิ ทุกคนที่อยู่ภายใต้โอรสสวรรค์ล้วนมากแผนการกันทั้งนั้น แน่นอนมิได้มีเพียงสกุลลู่ แต่บิดาของนางผู้นั้นก็มีแผนการในหัวไม่น้อยไปกว่าผู้อื่น หาไม่จะส่งบุตรสาวทั้งห้าออกไปแต่งงานพร้อมๆ กันได้ยังไง ชะตาชีวิตที่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของผู้อื่นนี้ ต่อให้ตายไปอีกสามชาติก็ไม่รู้จะหลุดพ้นหรือเปล่า เพราะปล่อยให้ในหัวคิดเรื่องไร้สาระมากมาย เงยหน้าขึ้นอีกครั้งก็เห็นเขาเดินเข้าห้องปีกตะวันตก ช่วงต้นฤดูร้อนเช่นนี้อากาศร้อนอบอ้าว เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันคุณชายรองคงไปอาบน้ำกระมัง เห็นคุณชายรองไปห้องอาบน้ำ แต่นายหญิงของเรือนยังไม่มีความเคลื่อนไหว ไม่อาจลุกเดินไปปรนนิบัติเองได้ก็ช่างเถิด ปากจะสั่งให้เตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์สักคำยังคร้านจะเอ่ย หลวนชุนเห็นนายหญิงเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่คิดว่าคุณชายรองของตนปล่อยให้ สะใภ้รองสุขสบายจนเกินไป ดูเอาเถิดหน้าที่ภรรยาแม้สักเรื่องหนึ่งก็ยังไม่อยากทำ เสี่ยวซือเห็นสีหน้าหลวนชุนไม่สู้ดี อยากขยับมือขยับเท้าทว่าพอสบตากับคุณหนูกลับทำได้เพียงยืนนิ่งๆ แสร้งไม่รับรู้อะไร จนกระทั่งคุณชายรองออกมาถึงได้เอ่ยปากกับคุณหนูของตนเสียงค่อย “คุณหนูไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้ว วันนี้บ่าวเตรียมน้ำโรยดอกไม้แห้งให้ ดีหรือไม่เจ้าคะ” เพราะร่างกายเจ็บป่วย หลายวันมานี้บรรดาสาวใช้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ วันนี้ร่างกายดีขึ้นนางย่อมต้องอาบน้ำ แต่พอนึกได้ว่าในห้องนี้ยังมีผู้อื่นก็ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าตนชำระล้างร่างกายเพื่อเขา ทว่าในหัวของคุณชายรองคงไม่มีความคิดสกปรกกับนางกระมัง ในเมื่อแรกเริ่มเดิมทีเขาเป็นคนเอ่ยปากเองว่าให้ต่างคนต่างอยู่ คำว่าต่างคนต่างอยู่นี้ ต่อให้ต้องอยู่ร่วมชายคากันก็ยังต้องปฏิบัติเช่นเดิมกระมัง เจียงซูเจินไม่สนใจคนผู้นั้น นางให้เสี่ยวซือประคองไปห้องอาบน้ำ รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากบรรดาสาวใช้ทั้งสาม ได้อาบน้ำสูดกลิ่นหอมของไม้ดอกสีหน้าจึงดูสดชื่นขึ้นไม่น้อย แม้แต่เรื่องตลกที่ไม่น่าฟังจากปากของเสี่ยวซือก็ยังทำให้ยิ้มและหัวเราะได้ เสียงหัวเราะของสะใภ้รอง แม้จะดังมาถึงที่นี่ไม่มากนัก แต่คนในกองทัพอย่างเขากับคุณชายรองก็ยังมีโสตประสาทที่เฉียบคมเกินไป เสียงพูดคุยเบาๆ ทำให้หลวนชุนต้องรีบพาตัวเองออกห่างจากเรือนหลัก ปล่อยให้ผู้เป็นนายคอยฟังคำสนทนาเหล่านั้นเพียงผู้เดียว หลังอาบน้ำเสร็จ เดิมทีเจียงซูเจินนึกว่าคุณชายรองจะไปพักในห้องหนังสือตามความต้องการของตน แต่เห็นเขาปฏิเสธคำขอร้องของตนด้วยการอยู่ที่นี่ย่อมไม่สามารถพูดอะไรได้ จึงมองอีกฝ่ายเป็นดั่งเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ตั้งอยู่มุมห้อง ไม่ได้สลักสำคัญแม้แต่น้อย คงมีเพียงบรรดาสาวใช้ที่มองอย่างเก้ๆ กังๆ สีหน้าแต่ละคนหวาดหวั่นมากกว่านางเสียด้วยซ้ำ “พวกเจ้าเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ไปพักผ่อนเถิด” เห็นท่าทางแต่ละคนพร้อมกางปีกปกป้องตน เจียงซูเจินจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ สาวใช้พวกนี้บอบบางยิ่งกว่าดอกไม้กลางพายุฝน ถ้าหากคุณชายรองจะเอาเรื่องขึ้นมามีหรือจะสามารถปกป้องตนเองได้ อยู่ที่นี่รังแต่จะเพิ่มความโมโหให้เขาเท่านั้น “คุณหนู ให้บ่าวอยู่ที่นี่เถิดเจ้าค่ะ คุณหนูร่างกายยังไม่แข็งแรง บ่าวอยากอยู่กับคุณหนู” เจียงซูเจินไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ผู้อื่นเห็นแล้วว่านางอาการดีขึ้น เดินไปอาบน้ำกินข้าวได้ ถ้าบอกว่ายังไม่แข็งแรงมิใช่เป็นการโกหกซึ่งหน้าหรอกหรือ “เจ้าไปพักเถิด ข้าไม่เป็นไร” “แต่ว่า...” เห็นหนึ่งนายหญิงหนึ่งสาวใช้ คนหนึ่งห่วงใยคนหนึ่งกังวล ลู่อี้เหิงรู้สึกหงุดหงิดในใจยิ่งนัก ดังนั้นจึงอดจ้องมองบรรดาสตรีโง่งมพวกนั้นให้มากหน่อยไม่ได้ เพียงเขาตวัดตามองอีกฝ่ายก็รีบส่งคนของตนออกไป ยอมนั่งหลังตรงเผชิญหน้ากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว ได้เห็นสตรีที่ฝืนยืนหยัดทั้งๆ ที่ในใจขลาดเขลาความไม่พอใจเมื่อครู่พลันเบาบางลง “ดึกมากแล้ว พักผ่อนเถิด” เขาเอ่ยปากเพียงเท่านั้นก็ขึ้นเตียงนอนชิดด้านใน เว้นพื้นที่อีกฝั่งหนึ่งเอาไว้ เจียงซูเจินเห็นว่าอีกฝ่ายปิดตานอนหลับ จึงทำได้เพียงลุกขึ้นไปดับเทียนตรงข้างเตียง ทิ้งให้เทียนตรงมุมประตูส่องสว่างให้เห็นรางๆ พอขึ้นเตียงได้ก็ฝืนข่มตาหลับ ดีหน่อยที่ระยะนี้ต้องดื่มยาเป็นประจำจึงสามารถหลับสนิทได้อย่างง่ายดาย ผิดกับบางคนที่พอได้ยินคนข้างกายผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ เขากลับลืมตาขึ้นพลางพลิกกายตะแคงข้างมองคนใกล้ตัว แม้จะไม่ได้ตั้งใจสังเกตมากนัก แต่ลู่อี้เหิงก็รู้แก่ใจดีว่าหญิงสาวจากสกุลเจียงผู้นี้ผ่ายผอมกว่าวันแรกที่พบพานกันนัก นับตั้งแต่เข้าจวนมาคงลำบากไม่น้อย แน่นอนว่าการที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกเรื่องล้วนข้องเกี่ยวกับเขา แต่จะทำเช่นใดได้ในเมื่อหลายปีมานี้สตรีที่อยู่ในห้วงคำนึงของเขาหาใช่นางไม่ และน่าเสียดายที่เขาเองก็จดจำไม่ได้ว่าสตรีผู้นั้นมีรูปร่างหน้าตาเช่นไร ถ้าหากหญิงผู้นั้น...เป็นนาง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองคงดีกว่านี้มากนัก นึกแล้วก็ได้แต่เผยรอยยิ้มเย็นชา สตรีอย่างเจียงซูเจินมิมีสิ่งใดเทียบเท่าหรือใกล้เคียงหญิงสาวผู้นั้นเลย ทั้งสองคนช่างแตกต่างกันยิ่งนัก คนหนึ่งอ่อนโยนน่าทะนุถนอม อีกคนเย่อหยิ่งอวดดี ในความมืดลู่อี้เหิงได้แต่ส่ายหัว จับจ้องใบหน้าด้านข้างของสตรีที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาเอกของตนอีกอึดใจหนึ่งก็พลิกกายหันหลังให้ ทันทีที่อีกฝ่ายขยับตัว ดวงตากลมโตที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดปรือขึ้น เจียงซูเจินมองแผ่นหลังของคนยึดที่นอนไปฝั่งหนึ่งแล้วก็ได้แต่ยิ้มหยัน แม้จะใช้ชีวิตร่วมเรือน นอนร่วมห้อง อยู่บนเตียงเดียวกันแต่ดูเหมือนระยะห่างระหว่างนางกับเขาเหมือนเส้นขนานอย่างไรอย่างนั้น บางทีต่อให้เพียรพยายามทุ่มความรักความห่วงใยไปทั้งชีวิต อาจไม่มีความหมายเลยก็เป็นได้ เขาหลับแล้ว แม้ร่างกายจะมีฤทธิ์ยาแต่คุณหนูสิบสี่ไม่อาจข่มตาหลับ นางก้าวลงจากเตียงอย่างเบามือเบาเท้า ออกมาถึงลานด้านหน้าเรือนชั้นในจึงสามารถผ่อนลมหายใจออกมาระลอกใหญ่ อากาศยามค่ำคืนของช่วงต้นฤดูร้อนไม่ได้อบอ้าวมาก สายลมพัดแผ่วชวนให้รู้สึกเย็นอยู่บ้าง แต่กระนั้นไม่รู้ว่าทำไมในหัวใจถึงหนาวเหน็บนัก เจินเจิน...ชั่วชีวิตนี้ข้าจะแต่งกับเจ้าผู้เดียวเท่านั้น เขาแต่งกับนางก็จริง แต่คำว่าชั่วชีวิตนี้คงไม่ได้มีไว้เพื่อนางกระมัง รอยยิ้มจืดเจื่อนปรากฏบนใบหน้างาม ในค่ำคืนที่ทุกคนหลับใหล สะใภ้รองกลับไม่อาจข่มตาหลับเหมือนเช่นคนอื่นเขา นางยืนอยู่ตรงนี้ สูดกลิ่นยามค่ำคืน จะว่าไปทิวทัศน์ยามดึกที่มองเห็นเพียงไม่กี่จั้งมันก็ไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย ในสายตาสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้ายังงดงามและดูมีสีสันมากกว่าชีวิตของนางเสียอีก อาจเป็นเพราะสะใภ้คนรองของสกุลลู่ไม่ได้พำนักอยู่ในเรือนนอน ช่วงเวลาเดียวกันเรือนอื่นๆ จึงมีความเคลื่อนไหว ไม่เว้นแม้กระทั่งเรือนทัพเมฆาซึ่งเป็นที่พำนักของจั่วซางหรง “เหิงเอ๋อหลับไปแล้ว แต่เจินเอ๋อยังอยู่นอกเรือนหรือ” “ได้ยินว่าทั้งสองคนขึ้นเตียงนอนร่วมกัน แต่ไม่นานสะใภ้รองก็ออกมา” แม่นมฮั่วบอกเล่าราวกับนั่งอยู่ข้างเตียงผู้อื่น “ความสัมพันธ์ของทั้งสองคงไม่ราบรื่นเหมือนคุณชายใหญ่กับสะใภ้ใหญ่” “หวังเอ๋อถูกใจไห่เอ๋อตั้งแต่แรกพบ ย่อมรักใคร่ปรองดองกัน” พูดออกมาแล้วก็อดถอนใจไม่ได้ “น่าเสียดาย แม้เจินเอ๋อจะมีใจให้เหิงเอ๋อ ทว่าอีกฝ่ายจดจำไม่ได้ย่อมไร้ความหมาย” “นายหญิงทำเช่นนี้ก็นับว่าเห็นใจสะใภ้รองมากแล้ว วันข้างหน้าหากคุณชายรองจดจำสะใภ้รองได้ ชีวิตย่อมพบความสุข” “หวังว่านางคงไม่ถอดใจเสียก่อน” เห็นว่าดึกมากแล้ว ฮูหยินรอฟังข่าวเรือนนั้นจนขอบตาดำคล้ำ ฮั่วจูจึงประคองขึ้นเตียง เหน็บชายผ้าห่มรั้งม่านมุกให้แล้วเสร็จถึงได้ถอยออกไปเงียบๆ ระหว่างนั้นย่อมไม่ลืมส่งคนไปสืบข่าวตามเรือนอื่นๆ ให้มาก พรุ่งนี้ฮูหยินตื่นขึ้นมาข่าวคราวใดควรรายงานย่อมต้องรายงานเฉกเช่นทุกวัน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม