บทที่ ๗ พบพี่สะใภ้

1985 คำ
ไม่ว่าค่ำคืนที่ผ่านมาจะมีข่าวเล่าลือเกี่ยวกับตนมากเพียงใด แต่ลู่อี้เหิงกับเจียงซูเจินก็ยังใช้ชีวิตไม่ต่างจากเดิม หลังกินมื้อเช้าร่วมกันคนหนึ่งไปห้องหนังสือ อีกคนให้สาวใช้ข้างกายประคองไปเดินเล่นยังสวนด้านข้าง เห็นคุณหนูยอมออกจากเรือนพักสีหน้าของเสี่ยวซือ ชิงชิว ชิงจือมีแต่ความยินดี เพราะนับตั้งแต่สะใภ้รองแต่งเข้ามาในสกุลลู่ มีไม่บ่อยนักหรอกที่สะใภ้รองจะอารมณ์ดีเช่นนี้ ผู้อื่นกำลังชื่นชมดอกไม้ใบหญ้ารอบเรือนพำนักด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ผิดกับคนในเรือนย่ำธาราของคุณชายใหญ่สกุลลู่ยิ่งนัก เช้านี้ซางซีไห่เอาแต่เดินไปเดินมา พลางชะเง้อคอมองทิศทางที่ตั้งของเรือนเก็บบุปผาอยู่ไม่วาง ลู่เสียนหวังจำไม่ได้แล้วว่าตนยิ้มมองสตรีตรงหน้าเป็นรอบที่เท่าไหร่ สุดท้ายเพราะเกรงนางจะเมื่อยแข้งเมื่อยขาถึงได้เอ่ยปากถาม “จะไปอยู่หรือไม่” ในหัวของซางซีไห่มีเรื่องราวให้ขบคิดมากมาย แต่ก็ยังยืนกรานในความตั้งใจของตน “ไปสิ ย่อมต้องไปอยู่แล้ว” “มิใช่มีข่าวแพร่ออกมาว่าสองคนนั้นไม่ได้ร่วมเตียงกันหรอกหรือ น้องรองอาจไม่ชอบน้องสะใภ้ก็เป็นได้ เจ้าขนข้าวของไปเอาอกเอาใจน้องสะใภ้เช่นนี้ ไม่กลัวน้องรองขุ่นเคืองใจ?” “ท่านพี่จะไปรู้อะไร” นางค้อนให้ทีหนึ่ง “เดิมทีน้องรองก็ขึ้นไปนอนเตียงเดียวกับน้องสะใภ้ไม่ใช่หรือ เป็นน้องสะใภ้ต่างหากที่ลงจากเตียง ข้าว่าอีกไม่นานน้องรองต้องชอบน้องสะใภ้แน่ มิเช่นนั้นจะยอมย้ายกลับเรือนตามคำสั่งท่านแม่ง่ายๆ ได้อย่างไร” “ไห่เอ๋อมั่นใจเพียงนั้น” “ใช่น่ะสิ อีกอย่างท่านก็รู้ว่าคนอย่างน้องรองไม่ใช่คนที่ยอมเชื่อฟังโดยไม่ไตร่ตรองเอาไว้ก่อน” “ก็ใช่ เพราะน้องรองยอมเชื่อฟังนี่แหละ ข้าเกรงว่า น้องรองจะมีแผนการอื่นในใจ” มองสีหน้ามีเลศนัยของสามี ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หนาวสันหลังขึ้นมา “คงไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดใช่หรือไม่” “ไห่เอ๋ออย่าคิดมากเลย ถึงยังไงน้องสะใภ้ก็แต่งเข้ามาแล้ว เจ้าไปดูนางสักหน่อยเถิด” “อืม...ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ไม่ว่าภายภาคหน้าฐานะของเจียงซูเจินจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยังเป็นสะใภ้รองของจวน สกุลลู่มิใช่หรือ นางผู้เป็นพี่สะใภ้ควรมอบความสนิทสนมรักใคร่ให้เช่นไรก็ย่อมต้องทำเช่นนั้น อีกอย่างเป็นสตรีด้วยกันจะไม่เห็นใจกันได้อย่างไร เมื่อตัดสินใจได้ ยังไม่ถึงยามซื่อขบวนของสะใภ้ใหญ่ร่วมสิบชีวิตก็พากันมุ่งหน้าสู่เรือนเก็บบุปผา ใช้เวลาไม่นานนักทุกคนก็ผ่านเรือนหน้าเข้ามา แต่พอได้ยินว่าน้องสะใภ้ไม่อยู่ในเรือน ซางซีไห่พลันรีบสั่งให้สาวใช้นำทางไป ยามเห็นสตรีอายุสิบเจ็ดยืนอย่างโดดเดี่ยวใต้ต้นท้อกลางสวนด้านข้าง แม้จะดูเปราะบางแต่กลับงดงามตราตรึงใจนัก คนงามราวกับรูปสลักเช่นนี้แม้กระทั่งตนเป็นสตรีด้วยกันยังอดสูดหายใจไม่ได้ หญิงสาวรูปร่างบอบบาง มีเสน่ห์เย้ายวนน่า ทะนุถนอม ผู้อื่นเห็นแล้วย่อมประคบประหงมเป็นอย่างดี เหตุใดน้องสามีของนางผู้นั้นถึงได้ไร้ไมตรีต่อคนงามนัก สงสัยลู่อี้เหิงคงไร้หัวใจดังเช่นผู้อื่นว่าจริงๆ และชั่วขณะที่เจียงซูเจินหันหน้ามา ซางซีไห่ก็รู้ทันทีเลยว่า เจียงซูเจินมิเพียงงดงามแต่แววตาคู่นั้นสามารถทำให้คนคนหนึ่งทุ่มชีวิตเพื่อนางได้ น่าเสียดายตลอดชีวิตนี้คุณชายรองสกุลลู่อาจไม่มีโอกาสพบเห็น “น้องสะใภ้” ชั่วกะพริบตาที่อีกฝ่ายมองตน เจียงซูเจินเองก็ใช้สมองที่มีน้อยนิดขบคิดถึงฐานะของคนตรงหน้าเช่นกัน ได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนว่าน้องสะใภ้พลันยอบกายทันที “พี่สะใภ้” ซางซีไห่รีบประคองอีกฝ่ายไว้ ยิ้มทั้งปากทั้งตาว่า “เรียกข้าว่าพี่ซางเถิด น้องสะใภ้ พี่สะใภ้ดูห่างเหินเกินไป” “ถ้าเช่นนี้พี่ซางต้องเรียกข้าว่าน้องเจียงเช่นกัน” “ได้” เจียงซูเจินไม่ได้คิดว่าการเรียกพี่สะใภ้ดูห่างเหินหรอก ก็แค่ไม่อยากให้ผู้อื่นจดจำตนในฐานะสะใภ้รองของสกุลลู่ที่ต้องแต่งให้กับบุรุษไร้รักไร้ใจผู้นั้น มีใครสักคนเห็นนางที่เป็นนางจริงๆ คงดียิ่ง ด้วยเข้าใจความรู้สึกและสถานะของอีกฝ่ายดี ซางซีไห่จึงรับคำอย่างว่าง่าย หนึ่งคำเรียกน้องเจียง สองคำก็น้องเจียง เรียกเป็นสิบครั้งทำเอาสีหน้าของเจียงซูเจินเบิกบานนัก ไม่นานสาวใช้โดยรอบก็ได้ยินเสียงหัวเราะของนายหญิง เวลานายหญิงจากสกุลเจียงหัวเราะน่าฟังยิ่ง ไพเราะยิ่งกว่าเสียงนกขับร้องในยามอรุณรุ่งเสียอีก สะใภ้ใหญ่กับสะใภ้รองของจวนแม่ทัพ กำลังจับมือเดินชมสวนด้วยท่าทางสนิทสนมกันราวกับพี่น้องแท้ๆ เสียงหัวเราะพูดคุยยังคงดังอยู่ต่อเนื่อง แน่นอนว่ามิเพียงบรรดาสาวใช้ที่ได้ยินคำสนทนาพวกนั้น แม้กระทั่งบุรุษสามคนที่กำลังอ่านตำรา พิชัยสงครามอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยมข้างป่าไผ่ก็ได้ยินเช่นกัน คิ้วตาของลู่จิ้นเหอหรี่ลงอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ก่อนจะตวัดสายตาร้ายกาจมองพี่ชายคนโต “เสียงนั่นไม่ใช่พี่สะใภ้ใหญ่หรอกหรือ ยังมีอีกเสียงหนึ่ง คงไม่ใช่พี่สะใภ้รองกระมัง” ลู่เสียนหวังมองน้องรองของตนทีหนึ่ง เอ่ยปากอย่างไม่ใส่ใจ “น้องสะใภ้เข้าจวนมาระยะหนึ่งแล้ว อยู่ในจวนเดียวกัน เป็นคนสกุลลู่เหมือนกัน พอได้ยินว่าน้องสะใภ้ไม่สบายซีไห่ก็เลยมาเยี่ยมเยือน ดูท่าอาการของน้องสะใภ้คงดีขึ้นมากแล้วกระมัง” ลู่อี้เหิงไม่กล่าววาจา มือข้างหนึ่งยกน้ำชาจิบเล็กน้อย แต่ สีหน้าดูสับสนในยามที่ได้ยินเสียงใสปานระฆังแก้วของสตรีผู้นั้น เห็นพี่ชายรองไม่ใส่ใจ น้องเล็กของตระกูลรีบตะโกนคว้าคอพี่ใหญ่ห่างออกไปหลายก้าว “พี่ชายกับพี่สะใภ้ใหญ่กำลังเอาตัวรอดใช่หรือไม่” “เหตุใดน้องสามถึงพูดเช่นนั้น” ลู่จิ้นเหอขยิบตา “เพราะท่านแม่รักใคร่เอ็นดูพี่สะใภ้รองแล้ว” “ผู้รู้ทิศทาง คือผู้มีสติปัญญาเลิศ” ได้ยินพี่ชายใหญ่กระซิบข้างหู คนเป็นน้องถึงกับเบิกตา “ท่าน!” ลู่เสียนหวังตบบ่าน้องชายทีหนึ่ง “เจ้าก็รีบเผยเจตนาเถิด หากช้าไปถูกท่านแม่เข้าใจผิดเข้าย่อมไม่ดีแน่” แม้ลู่จิ้นเหอจะหวาดหวั่นตามคำของพี่ชายใหญ่ แต่พอมองท่าทีไม่สนใจของพี่ชายรองแล้วก็รู้สึกว่าตนเองช้าไปสักก้าวย่อมไม่เป็นไร อีกสามวันห้าวันค่อยส่งของที่ตระเตรียมไว้ให้พี่สะใภ้รองย่อมนับได้ว่าเขาให้หน้าพี่ชายรองและไม่ผิดต่อความตั้งใจของท่านแม่ อนาคตภายภาคหน้าเขายังสามารถนั่งอยู่บนหลังม้าได้เช่นเดิม วางแผนขบคิดรอบคอบแล้วถึงได้คว้าธนูออกไปฝึกปรืออยู่ลานด้านหน้า ทิ้งให้ในศาลามีเพียงพี่ชายใหญ่กับพี่ชายรองที่นั่งจิบน้ำชาชมใบไผ่ร่วงหล่นในช่วงฤดูร้อน “ได้ยินว่าหลายวันก่อน อาการเจ้ากำเริบ” ใต้ท้องนิ้วหัวแม่มือของลู่อี้เหิงลูบขอบถ้วยชาที่เย็นชืดของตน “ทำให้พี่ใหญ่ต้องเป็นกังวลแล้ว” “เจ้ายังจำสตรีผู้นั้นไม่ได้อีกหรือ” “นาง...เหมือนเด็กน้อยสิบกว่าปีเท่านั้น ตัวเล็กมาก ข้ามองหน้าได้ไม่ชัดนัก” “ชื่อก็ยังจำไม่ได้” ลู่อี้เหิงส่ายหน้า “หลายปีก่อนไม่รู้ว่าข้าเคยพบเด็กสาวต่างสกุลบ้างหรือไม่” ลู่เสียนหวังอยากตอบน้องชาย แต่ว่าตนกับบิดาล้วนประจำการอยู่ชายแดน ช่วงนั้นเป็นช่วงที่มารดาพาน้องรองและน้องสามกลับมาร่วมพิธีหลวงตามพระบัญชาของฮ่องเต้ อยู่เมืองหลวงได้เพียงครึ่งเดือนก็กลับชายแดน เรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องรองนั้นเขาไม่รู้เลยจริงๆ “ทางด้านท่านแม่...” “ข้าเคยถามแล้ว แต่ท่านแม่บอกว่าข้าไม่เคยพบเด็กสาวคนใด” “หรือคนที่เจ้าเห็นจะเป็นเพียงคนในภาพฝัน” คนเป็นน้องชายผุดรอยยิ้มบางเบาคล้ายกำลังเยาะหยันตนเอง “น่าประหลาดที่ความรู้สึกของข้าชัดเจนนัก” ยามได้ยินเสียงพูดคุยดังอยู่ไกลๆ คนเป็นพี่ใหญ่ก็อดเอ่ยปากไม่ได้ “น้องรอง...ไม่ว่าเด็กสาวคนนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ เจ้าอย่าลืมว่า...ข้างกายเจ้าตอนนี้มีสตรีที่แต่งเข้ามาตามธรรมเนียมภรรยาเอกอยู่คนหนึ่งแล้ว หากวันใดวันหนึ่งที่เจ้าพบเด็กสาวคนนั้น เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าจะทำเช่นไร” “พี่ใหญ่วางใจเถิด ข้ากับสกุลเจียงไม่เคยเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย” “หมายความว่า...เจ้าจะหย่าน้องสะใภ้หรือ” แม้แต่ ลู่เสียนหวังยังตกใจกับคำพูดตัวเอง กุนซือกองทัพมองซ้ายแลขวาด้วยท่าทางระมัดระวังยิ่ง “เจ้าเก็บงำความคิดนั้นไว้เถิด อย่าให้ท่านแม่กับน้องสะใภ้รู้เด็ดขาด” ลู่อี้เหิงไม่กล่าวสิ่งใด แต่น้ำชาที่เพิ่งยกขึ้นดื่มกลับไร้รสชาติจนกลืนไม่ลงเสียแล้ว ขณะที่ในศาลาพูดคุยกันอยู่นั้น ซางซีไห่อยากทุบขาของตนทิ้งยิ่งนัก พอได้ยินว่าสามีของตนมาอ่านตำรากินของว่างกับน้องชายทั้งสองอยู่ที่นี่ นางก็อยากพาเจียงซูเจินมาร่วมวงครึกครื้นด้วย แต่เพิ่งจะก้าวเข้ามาในป่าไผ่สิ่งที่ไม่ควรได้ยินก็ได้ยินเข้าเสียแล้ว เดิมทีมีหลายครั้งหลายหนที่คาดเดาเอาไว้ว่าสักวันหนึ่งเขาจะเขียนหนังสือหย่าให้ แต่พอได้ยินว่าเขาต้องการหย่าขาดกับตนจริงๆ เจียงซูเจินถึงได้รู้ว่าอะไรคือความสิ้นหวังอย่างแท้จริง นางหยุดเดิน แข้งขาคล้ายจะก้าวไปต่อไม่ไหว ทำได้เพียงยอบกายให้กับพี่สะใภ้ใหญ่ “ร่างกายของน้องสาวไม่เอาไหน คงไม่อาจร่วมชมป่าไผ่กับพี่สาวได้แล้ว” ซางซีไห่ฝืนยิ้ม สีหน้าดูเก้อกระดากเล็กน้อย “ข้าลืมไป น้องสาวเพิ่งหายป่วยควรนอนพักให้มากๆ” ว่าแล้วก็รีบส่งสายตาให้สาวใช้ที่เดินตามหลัง “พวกเจ้ารีบพาสะใภ้รองกลับเรือน ดูแลปรนนิบัติให้ดี” พวกเสียวซือรีบยอบกายรับ พอแตะตัวคุณหนูของตนได้ถึงรู้ว่าร่างกายคุณหนูเย็นชืดนัก เรี่ยวแรงในยามก้าวเดินไม่มีเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากไม่มีพวกนางละก็ป่านนี้คงล้มกองกับพื้นแล้ว “คุณหนู” ได้ยินเสียงสั่นเครือของสาวใช้ ไหนจะตาแดงๆ ที่ชิงชิวมองมา เจียงซูเจินฝืนยิ้มให้ “ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่เหนื่อยเท่านั้น” เสี่ยวซือกับชิงชิวมองหน้ากันอย่างรู้แก่ใจดีว่า ที่คุณหนูของตนไร้เรี่ยวแรงหาใช่เป็นเพราะร่างกายไม่สู้ดีอย่างเดียวไม่ แท้จริงแล้วเป็นเพราะได้ยินคุณชายใหญ่บอกว่าคุณชายรองอยากหย่าขาดกับคุณหนูต่างหาก
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม