ผู้กุมอำนาจในจวนแม่ทัพแสดงท่าทีแล้ว แน่นอนว่าย่อมสร้างคลื่นลูกใหญ่พัดกระหน่ำทุกผู้คนในจวน ยามนี้คุณชายใหญ่ ลู่เสียนหวังผู้เป็นกุนซือของกองทัพจึงทิ้งตำราในมือหันมาเท้าคางมองภรรยารักที่กำลังเดินไปเดินมาราวกับมดในกระทะร้อน
“ไห่เอ๋อนั่งก่อนเถิด”
“เป็นเพราะท่าน” ซางซีไห่ในวัยยี่สิบสองปีถลึงตาใส่คนเป็นสามี เห็นได้ว่านับตั้งแต่แต่งงานกัน สี่ห้าปีมานี้คุณชายใหญ่รักใคร่เอาใจสตรีหนึ่งเดียวที่อยู่เคียงข้างตนมากเพียงใด “ในวันแรกที่น้องสะใภ้รองเข้าจวนมา ข้าบอกแล้วว่าจะไปพบนางด้วยตัวเอง แต่ท่านบอกว่าอะไรนะ น้องรองไม่ชอบน้องสะใภ้ ท่านพ่อกับท่านแม่ก็ไม่เอ็นดู ไม่ให้ข้าไปยุ่งกับนาง แล้วอย่างไรเล่าวันนี้ท่านแม่เปลี่ยนใจแล้ว ข้าไปตอนนี้จะทันกาลหรือ”
“ในเมื่อท่านแม่ยอมรับน้องสะใภ้รองแล้ว พรุ่งนี้เจ้าก็ไปหานางเถิด”
“ท่านแม่กับน้องสะใภ้จะมองข้าไม่ดีหรือไม่”
“ไม่ดีอะไร ซีไห่ของข้าดีที่สุด แม้แต่น้องรองยังเคยเอ่ยปากว่าข้าได้ภรรยาดี” เห็นเขากล่าวชมโดยไม่ลืมให้หน้าน้องรองด้วยซางซีไห่ถึงกับถลึงตาใส่หนักกว่าเดิม “พวกท่านสามพี่น้องก็ดีแต่ร่วมมือกันรังแกหญิงสาวอย่างพวกเรา”
พอโดนภรรยารักโบ้ยความผิดให้ ลู่เสียนหวังถึงกับยกมือ “ข้อหานี้ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ เชิญไห่เอ๋อโยนความผิดนี้ให้น้องรองเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไห่เอ๋อของข้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าข้ารักเจ้า ถนอมเจ้ามากที่สุด”
เห็นสามีรู้จักเอาตัวรอด ซางซีไห่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สุดท้ายทำเพียงสั่งการสาวใช้คนสนิทให้ตระเตรียมของบำรุงร่างกาย เสื้อผ้า เครื่องประดับ พรุ่งนี้ยามซื่อตนจะไปเยี่ยมเยือนน้องสะใภ้รองด้วยตัวเอง
ขณะสะใภ้ใหญ่กำลังเตรียมพร้อม ทางด้านแม่สามีกำลังก้าวเท้าเข้าเรือนเก็บบุปผา นับตั้งแต่เจียงซูเจินเข้ามาพำนักที่นี่นางกับบรรดาลูกชายลูกสะใภ้ไม่เคยย่างเท้าเข้ามาเลยสักครั้ง ไม่คิดว่าทุกอย่างภายในเรือนจะเรียบง่ายแต่เป็นระเบียบเช่นนี้ มองดูเครื่องประดับ เครื่องเรือน โต๊ะ เก้าอี้แล้วแววตาของจั่วชางหรงแฝงแววพอใจถึงสามส่วน
ทว่ากลิ่นยาสมุนไพรที่โชยพัดมาจากเรือนนอนทำให้คนอายุไม่น้อยต้องบีบมือแม่นมฮั่ว กระทั่งเห็นร่างบอบบางที่นั่งเอนหลังพิงหมอนกำลังฝืนจิบยาด้วยสีหน้าซีดเซียวถึงได้เร่งมือเท้าเข้าไปหา
เสียงทำความเคารพดังเล็ดลอดเข้ามา ทำเอาเจียงซูเจินรีบร้อนลงจากเตียง แต่ติดที่ร่างกายไม่เอาไหนพอขยับก็เกือบล้มหัวคะมำลงมา โชคดีที่เรียวแขนถูกมืออบอุ่นข้างหนึ่งจับไว้ หนำซ้ำยังประคองนั่งบนเตียงด้วยสีหน้าอารี
คนผู้นี้มิใช่แม่สามีที่สั่งลงโทษให้คุกเข่าถึงหกชั่วยามหรอกหรือ ผ่านมาเพียงสิบกว่าวันเหตุใดถึงแสดงท่าทีใจดีมีเมตตากับนางเช่นนี้เล่า หรือว่าเรื่องที่ผ่านมาเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง
“ดูเด็กคนนี้สิ มองข้าจนโง่งมไปแล้ว” เห็นลูกตากลมโตมองตนราวกับไม่เคยเห็น จั่วซางหรงอดหยอกเย้าไม่ได้
เจียงซูเจินขยับกายอยากลงจากเตียงไปคุกเข่าโขกศีรษะให้ แต่ติดที่อีกฝ่ายกดร่างกายเอาไว้
“อย่าดื้อ เจ้าไม่สบายก็นั่งนิ่งๆ บนเตียงไปเถิด หาต้องมากธรรมเนียมไม่”
“คารวะท่านแม่”
“ในที่สุดก็ได้ยินเจ้าเรียกท่านแม่เสียที”
ผู้เป็นลูกสะใภ้ทำตาปริบๆ ในหัวกำลังคิดว่าที่ผ่านมาตนทำผิดไปหรือไม่ ต่อให้ลู่อี้เหิงสั่งการว่าห้ามออกจากเรือนไปวุ่นวายกับพ่อแม่สามี ทว่านางเป็นลูกสะใภ้ที่แต่งเข้ามาด้วยพิธีการฮูหยินเอกย่อมควรกระทำหน้าที่ของตนอย่าให้ขาดตกบกพร่อง ตอนนี้รู้สึกเสียใจจริงๆ
“เมื่อก่อน เรื่องราวในจวนของเราค่อนข้างวุ่นวาย เจินเอ๋ออย่าได้น้อยใจที่เราสองแม่ลูกเพิ่งได้พบหน้ากัน ภายภาคหน้าควรทำสิ่งใดก็ทำสิ่งนั้น ดีหรือไม่”
หมายความว่า...ยอมรับนางในฐานะลูกสะใภ้แล้ว แม่สามีกำลังบอกให้ไปยกน้ำชาคารวะเช้าเย็นใช่หรือไม่
ยังไม่ทันที่ความคิดของเจียงซูเจินจะตกตะกอน ในหูพลันได้ยินแต่เสียงหึ่งๆ
“แม่นมฮั่ว ส่งคนไปตามเหิงเอ๋อมา สั่งการลงไปด้วยว่าให้เก็บข้าวของย้ายกลับมาอยู่เรือนนี้กับเจินเอ๋อ เป็นสามีภรรยาแยกกันอยู่คนละเรือนเช่นนี้ใช้ได้ที่ไหน ต้องอยู่ด้วยกันสิถึงจะถูกต้องตามธรรมเนียม”
ไม่รู้ว่าแม่สามีไปกินอะไรผิดสำแดงมา ปล่อยปละละเลยเรื่องนางกับคุณชายรองแยกกันอยู่มาเกือบสองเดือน จู่ๆ วันนี้กลับต้องการให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
“ท่านแม่ร่างกายของข้ายังไม่หายดี เรื่องคุณชายรอง...”
ปากที่เพิ่งอ้ากว้างพูดออกมาได้ไม่กี่คำถูกทำให้หุบลงทันที “ร่างกายเจ้าไม่สบาย เหิงเอ๋อย่อมต้องอยู่ที่นี่ นับว่าถูกต้องแล้ว”
“แต่ว่า...”
“ไปตามเหิงเอ๋อมา”
จั่วซางหรงไม่ปล่อยให้ลูกสะใภ้หาคำใดมาทัดทาน นางพยักหน้าให้ฮั่วจู ส่งคนข้างกายของตนไปด้วยตัวเองเช่นนี้ต่อให้ ลู่อี้เหิงมีสิบชีวิตย่อมไม่อาจหนีพ้น
อยู่กำชับลูกสะใภ้ให้ดูแลร่างกายดีๆ อีกหลายประโยคก็ยกขบวนกันจากไป ทิ้งให้เจียงซูเจินได้แต่ทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก ตอนนี้นางกลายเป็นสตรีโง่งมจริงๆ แล้ว เพราะเพิ่งตื่นตระหนกกับการมาเยี่ยมเยือนพูดจาเป็นห่วงเป็นใย ยังไม่ทันตั้งสติก็ได้ยินแม่สามีสั่งการให้บุตรชายผู้ไม่เคยแยแสนางผู้นั้นย้ายกลับมาพำนักที่นี่
เป้าหมายคงมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือต้องการให้นางกับคุณชายรองใช้ชีวิตคู่กันดีๆ อย่าให้กระทบกับชื่อเสียงอันดีงามของจวนแม่ทัพ
ทว่า...นางกับลู่อี้เหิงผู้นั้นจะใช้ชีวิตด้วยกันได้อย่างไร ในเมื่อ...เขาลืมเลือนนางไปแล้ว
สตรีที่ด้อยค่าในสายตาเขา ต่อให้เหน็ดเหนื่อยลุกขึ้นมาเอาอกเอาใจทำหน้าที่ภรรยาอย่างมานะบากบั่น มันจะมีประโยชน์อันใดในเมื่อสุดท้ายเขาก็ไม่รักอยู่ดี
ยาที่เพิ่งฝืนกลืนลงคอไปก่อนหน้า ทำให้เปลือกตาคู่งามค่อยๆ ปิดลงอย่างอ่อนล้า แต่เพิ่งเอนกายหลับไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอก
เห็นคุณหนูเบิกตาแดงๆ มองด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เสี่ยวซือ รีบหยิบผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ “เสียงด้านนอก ดังจนทำให้คุณหนูตื่นเสียแล้ว บ่าวจะออกไปบอกให้พวกเขาเบาเสียงลง”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ”
เสี่ยวซือกุมมือข้างหนึ่งไว้ “เพราะฮูหยินใหญ่สั่งการ ต่อให้เป็นคุณชายรองก็ไม่กล้าขัด ตอนนี้เหล่าบ่าวชายหญิงกำลังช่วยกันขนย้ายข้าวของบางส่วนกลับมา แม้กระทั่งตำราในห้องหนังสือที่เรือนหลังโน้นล้วนถูกย้ายกลับมาที่นี่หมด ดูท่านับจากคืนนี้ไปคุณชายรองคงต้องพำนักอยู่ที่นี่ร่วมกับคุณหนูแล้ว”
“ที่นี่หรือ” มองห้องหับที่ตนยึดครองมาเกือบสองเดือนด้วยสายตาเจ็บปวด ยิ่งเห็นหีบเสื้อผ้าของใช้ของคนผู้นั้นริมฝีปากเล็กๆ ถึงกับเม้มเป็นเส้นตรง นางยังนึกภาพการอยู่ร่วมกันอย่างปรองดองไม่ออกเลย
สีหน้าที่แฝงแววเจ็บปวดของคุณหนูทำให้เสี่ยวซือได้แต่เรียกเสียงสั่นเครือ “คุณหนู”
“ข้าไม่เป็นไร เสี่ยวซือของข้าอย่าคิดมากเลย”
แม้อายุยังน้อย แต่เสี่ยวซือก็รู้ว่าการต้องอยู่กับคนที่ตัวเองรัก แต่เขาไม่รักไม่เคยใส่ใจคงเจ็บปวดยิ่งนัก คุณหนูเพิ่งอาการดีขึ้น ถ้าหากคุณชายรองมาอยู่ที่นี่จะไม่ทำให้คุณหนูของนางตายทั้งเป็นหรอกหรือ
“เจ้ามีอะไรทำก็ไปทำเถิด ข้าล้าแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูนอนพักให้มากๆ นะเจ้าคะ บ่าวจะออกไปบอกให้ด้านนอกเบามือเบาเท้าลงสักหน่อย”
“ปล่อยพวกเขาทำงานไปเถอะ ข้าดื่มยาแล้วคงหลับสนิท ไม่ตื่นง่ายๆ หรอก”
เสี่ยวซือเม้มปาก เห็นคุณหนูของตนยืนกรานก็ได้แต่ถอยออกมาเงียบๆ
แต่ถึงกระนั้นพอออกจากห้องชั้นในก็ยังไม่ลืมกำชับชิงชิวกับชิงจือให้จับตาดูคนอื่นดีๆ อย่าปล่อยให้ใครส่งเสียงดังรบกวนคุณหนูเด็ดขาด
อาจเป็นเพราะทุกคนในเรือนเก็บบุปผาจงรักภักดีต่อสะใภ้รอง เห็นสะใภ้รองล้มป่วยจึงพากันระมัดระวังรอบคอบเป็นเท่าตัวใช่หรือไม่ เพราะแต่ละคนแม้จะมีงานที่ต้องจัดการเต็มไม้เต็มมือ แต่กลับกระทำการได้อย่างเบาเสียงยิ่ง
เจียงซูเจินตื่นขึ้นมาในช่วงยามเว่ยพลันเห็นว่าข้าวของเครื่องใช้ของคุณชายรองถูกจัดเรียงไว้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่ตัวของเขาที่ยังไม่เหยียบเข้ามาในเรือนหลังนี้
พอคุณหนูกลอกตาไปมา เสียวซือพลันรายงานเสียงเบา “นับตั้งแต่มาถึง คุณชายรองก็เอาแต่อยู่ห้องปีกตะวันออก เพราะคุณหนูไม่ได้ใช้งานที่นั่นจึงกลายเป็นห้องหนังสือไปแล้ว”
ปีกตะวันออกของเรือนเก็บบุปผามีตำราเรียงรายอยู่มากมาย บางครั้งยังไปหัดเขียนอักษรวาดภาพอยู่ที่นั่น บัดนี้เจ้าของเดิมขนของย้ายกลับมาย่อมไม่สามารถพูดอะไร
“ที่นั่นเดิมทีก็เป็นห้องหนังสือ คุณชายรองใช้งานนับว่าถูกต้อง”
“ถ้าคุณหนูอยากเขียนอักษร บ่าวจะไปขนกระดาษกับพู่กันมาไว้ที่นี่ดีหรือไม่”
“ช่างเถอะ หนึ่งถึงสองเดือนนี้เกรงว่าข้าคงไม่มีแก่ใจจะเขียนอักษรหรอก พวกเราอย่าไปรบกวนคุณชายรองจะดีกว่า” พอพูดประโยคนี้ออกมา เจียงซูเจินพลันกัดฟันสั่งการอย่างใจกล้า “เจ้าไปเรียกหลวนชุนมาหาข้าที”
“หลวนชุน” คิ้วของเสี่ยวซือขมวดมุ่น สายตาที่มองสีหน้าด้านข้างของสะใภ้รองค่อนข้างหวาดหวั่นเล็กน้อย เรียกหลวนชุนมาครั้งนี้เกรงว่าคุณหนูจะก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้วกระมัง
และสิ่งที่เสี่ยวซือหวาดหวั่นก็เกิดขึ้น เพราะทันทีที่หลวนชุนเข้ามาสะใภ้รองพูดด้วยเสียงอ่อนล้าราวกับคนเกือบสิ้นลม
“หลวนชุน เจ้าบอกคุณชายรองด้วยว่าห้องนี้กลิ่นยารักษาโรคของข้ารุนแรงนัก เกรงจะรบกวนทำให้คุณชายรองหายใจไม่ค่อยสะดวก ครึ่งเดือนนี้ให้คุณชายรองนอนที่ห้องหนังสือเถิด”
ในหัวของหลวนชุนมีแต่เสียงดังหึ่งๆ สะใภ้รองคนนี้ใจกล้าบ้าบิ่นจนเกินไปแล้ว ไม่อยากให้คุณชายรองร่วมห้องถึงกับกล้าบอกว่าโรคของตนรุนแรง ถ้าเขาไปรายงานเช่นนี้จะไม่โดนถลกหนังหัวหรอกหรือ ในเมื่อฉางไป๋พูดอยู่ทุกวันว่าอีกสามวันห้าวันสะใภ้รองก็ออกไปเดินเหินเหมือนคนอื่นได้แล้ว
กลิ่นยาแรงอะไร สูดหายใจตั้งหลายทียังไม่ได้กลิ่นอะไรรบกวนแม้แต่น้อย สะใภ้รองนี่ช่างไม่กลัวฟ้าดินเลย
ไม่หวาดหวั่นต่อคุณชายรองก็แล้วไปเถิด แม้กระทั่งคำสั่งแม่สามียังกล้าขัด
เลื่อมใส...ข้าหลวนชุนเลื่อมใสสะใภ้รองยิ่งนัก
คงเป็นเพราะความเลื่อมใสนี้ถึงทำให้หลวนชุนกล้าเอ่ยปากรายงานลู่อี้เหิงตามที่สะใภ้รองสั่ง แน่นอนว่าสีหน้าของคนฟังทำเอาคนใกล้ชิดอย่างหลวนชุนถึงกับถอยห่างออกไปไกลถึงสามจั้ง แม้กระทั่งฉางปิงกับฉางไป๋ยังพากันอันตรธานหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา