ทั้งๆ ที่ลึกๆ ในใจของบรรดาสาวใช้ขั้นหนึ่งในเรือนเก็บบุปผาวาดหวังให้คุณชายรองมาเยี่ยมเยือนสะใภ้รองของตนสักครั้ง ทว่านับตั้งแต่ฉางไป๋กับหญิงสูงวัยแวะเวียนมารักษา ผ่านพ้นมาห้าวันความวาดหวังอยู่ลึกๆ กลับค่อยๆ เลือนหายไป เสี่ยวซือ ชิงชิว ชิงจือ ทำได้เพียงลอบมองสีหน้าที่ค่อยๆ ซับสีเลือดของคนบนเตียง ก้นบึ้งดวงตาของแต่ละคนแม้ยังหลงเหลือความเวทนาสงสารอยู่รางๆ แต่ทันทีที่แพขนตาโค้งงอนเปิดปรือขึ้น บรรดาสาวใช้พลันพร้อมใจกันยิ้มกว้างอย่างยินดี
“คุณหนู ในที่สุดท่านก็ฟื้นเสียที” ในยามสัมผัสฝ่ามือเย็นชืดของเจียงซูเจินมือของเสี่ยวซือสั่นเทายิ่งนัก
คนป่วยฝืนยิ้มบางๆ ให้ แม้อยากพูดสักคำแต่ไร้กำลังจะเอื้อนเอ่ย ทำได้เพียงบีบมือข้างนั้นของเสี่ยวซือไว้ คงเป็นเพราะตลอดเวลาที่หมดสตินางได้ยินเสียงอ้อนวอนต่อสวรรค์ของทุกคน พอฟื้นขึ้นมาดวงตาถึงได้บวมก่ำ
“คุณหนูอย่าร้องไห้ ไม่เป็นไรแล้ว ท่านหมอฉางบอกว่าท่านไม่เป็นไรแล้ว” ชิงชิวกับชิงจือละล่ำละลักบอกเสียงสั่น “ใช่เจ้าค่ะ ท่านหมอฉางบอกว่าอีกไม่นานคุณหนูก็แข็งแรงจนวิ่งได้”
ไม่ว่าคำพูดของฉางไป๋จะเป็นจริงหรือไม่ ในสายตาของบรรดาสาวใช้ล้วนเชื่ออย่างโง่งม ฉางไป๋สำหรับพวกนางนั้นกลายเป็นเทพเซียนไปแล้ว ผิดกับคุณชายรองที่ตกต่ำยิ่งนัก ถ้าหากไม่ติดว่าอีกฝ่ายมีฐานะสูงส่ง หนำซ้ำยังเป็นสามีของคุณหนูล่ะก็คงถูกสาวใช้เหล่านี้ด่าทอจนเสียผู้เสียคน
คนถูกก่นด่าลับหลังไหนเลยจะรับรู้แม้แต่น้อย ยามนี้มิใช่ยังเขียนภาพอยู่หรอกหรือ ผิดแต่หนนี้ไม่ใช่ภาพม้าศึกย่ำดินโคลน แต่เป็นทิวไผ่เขียวขจีที่บดบังเรือนพำนักหลังหนึ่งเอาไว้จนแทบมองไม่เห็น
หลวนชุนนิ่วหน้า ภาพนี้มิใช่ภาพที่พวกเขาเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรอกหรือ ครุ่นคิดพลางเหลียวมองไปยังเรือนเก็บบุปผา มองจากที่นี่เห็นเพียงป่าไผ่หนาทึบเท่านั้น ดูท่าคุณชายรองก็ไม่ได้ไร้ใจกับสะใภ้รองเสียทีเดียว
หลังสูดหายใจลึกรวบรวมความกล้าทีหนึ่ง น้ำเสียงราบเรียบพลันดังขึ้น “ฉางไป๋บอกว่าอาการของสะใภ้รองดีขึ้นแล้ว อีกสามถึงห้าวันคงสามารถลุกเดินได้ คุณชายรองจะไปดูหรือไม่”
มือที่จับพู่กันอยู่จู่ๆ ก็สั่นเทา น้ำหมึกสีดำหยดลงบนหน้ากระดาษเซวียนจื่อ บดบังยอดไผ่กอหนึ่ง พอมองสีหน้าผู้เป็นนายหลวนชุนถึงกับพุ่งเข้าหาพลางกัดฟันเรียกฉางไป๋ดังลั่น
อาการปวดศีรษะที่เป็นมานับสามปีของคุณชายรองกำเริบอีกแล้ว ครึ่งปีมานี้บรรเทาลงไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงได้กลับมาเป็นอีกครั้ง
“คุณชายรอง”
ลู่อี้เหิงทิ้งกายบนตั่งตัวใหญ่ มือข้างหนึ่งกุมศีรษะของตน หลังผ่อนลมหายใจเข้าออกอาการปวดจนหัวแทบระเบิดพลันลดลง
“ไม่เป็นไร อย่าทำให้คนในเรือนตกใจ”
“คุณชาย...คุณชายจำบ่าวได้หรือไม่ จดจำทุกคนได้หรือไม่”
เห็นคุณชายรองพยักหน้า หลวนชุนถึงกับพรูลมหายใจอย่างโล่งอก เพราะจำได้ว่าเมื่อครั้งที่คุณชายปวดหัวครั้งแรกนั้นไม่สามารถจดจำทุกคนได้ แต่พอรักษาตัวมาระยะหนึ่งความทรงจำทั้งหมดถึงได้คืนกลับมา ยกเว้นเพียงแค่...คุณชายมักเอ่ยถึงสตรีผู้หนึ่งที่จดจำใบหน้าและท่าทางได้ไม่ชัดนัก หนำซ้ำพวกเขาที่อยู่ข้างกายคุณชายกลับไม่เคยรู้เลยว่าสตรีผู้นั้นมีจริงหรือไม่ หากมีจริงไม่รู้ว่านางอยู่หนใด นางยังจดจำคุณชายรองของเขาได้บ้างหรือไม่ ทว่าพอนึกถึงสะใภ้รองที่อยู่อีกเรือนแล้ว หยวนชุนคิดว่าเป็นแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อให้สตรีงดงามผู้นั้นมีอยู่จริง ชั่วชีวิตนี้นางกับคุณชายรองย่อมไร้วาสนา
ยกเว้น...คุณชายรองจะหย่าสะใภ้รอง แล้วแต่งกับหญิงสาวที่อยู่ในห้วงคำนึง
แต่ว่า...เรื่องหย่ากับสะใภ้รองนี้เกรงว่าคงไม่ง่ายดายนัก ในเมื่อสะใภ้รองคือคนที่ท่านแม่ทัพกับฮูหยินรับเข้าจวนมา
อีกอย่าง...เรื่องหย่าขาดกับสกุลเจียงนี้ มากน้อยเพียงใดคนนั่งบัลลังก์ย่อมไม่ขาดการเคลื่อนไหว
เรือนหลักของจวนแม่ทัพ เรือนทัพเมฆา
เรือนทัพเมฆาตั้งโดดเด่นอยู่กลางจวนแม่ทัพ ผ่านเรือนหน้าที่จัดไว้รับแขกและลานฝึกฝนฝีมือตามประสาคนในกองทัพนั้น เดินอีกไม่ถึงครึ่งเค่อก็จะเห็นเรือนหลังใหญ่ ปกติภายในเรือนแห่งนี้เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง บ่าวรับใช้ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนกระทำสิ่งใดด้วยความรอบคอบระมัดระวัง เพราะผู้ดูแลเรือนอย่างแม่นมฮั่วมีฝีมือฉกาจยิ่ง
ทว่าวันนี้กลับเห็นแม่นมที่สุขุมใจเย็นมีฝีเท้าที่รีบร้อนกว่าเดิม พอเข้าไปในเรือนชั้นในได้ก็เข้าไปพูดอยู่ข้างกายฮูหยินแม่ทัพทันที
หลังจากได้ยินสิ่งที่แม่นมฮั่วเอ่ยบอก สีหน้าของจั่วชางหรงไม่ดีนัก ถึงกระนั้นก็ยังฝืนสูดหายใจข่มความกังวลเอาไว้ “เหิงเอ๋อเป็นยังไงบ้าง”
“ยังจดจำทุกคนในเรือนได้ และไม่ได้กล่าวถึงสตรีผู้นั้น พักนี้แม้ว่าสะใภ้รองจะล้มป่วย คุณชายก็ยังไม่ก้าวเข้าใกล้เรือนเก็บบุปผาแม้แต่ก้าวเดียว”
“ข้าไม่คิดว่านางจะอ่อนแอเพียงนั้น”
“ตระกูลเจียงเป็นตระกูลบัณฑิต สะใภ้รองไหนเลยจะทนรับความลำบากได้ ครั้งนี้สามารถเอาชีวิตรอดมาได้นับว่าโชคดี”
ฮูหยินท่านแม่ทัพทอดถอนใจ “คืนแต่งงาน ข้านึกว่า เหิงเอ๋อจะจำได้เสียอีก แต่น่าแปลกที่นางไม่เอ่ยปากว่าตนคือคนที่เหิงเอ๋อเคยให้คำมั่นสัญญาในอดีต”
“คงเป็นเพราะคืนนั้น คุณชายรองไม่อยู่ร่วมหอกับสะใภ้รองกระมัง”
“ฮั่วจู เจ้าว่า...ข้ากับท่านแม่ทัพคิดถูกหรือไม่”
“ท่านแม่ทัพกับฮูหยิน ยินยอมให้คุณชายรองกับสะใภ้รองผูกวาสนากันนับว่าได้ช่วยทั้งสองคนสมปรารถนา ภายภาคหน้าไม่ว่าทั้งคู่จะจดจำกันได้หรือไม่นั้น ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตาเถิด”
จั่วซางหรงพยักหน้า ส่วนลึกในแววตาคล้ายอยากแก้ไขในสิ่งผิดพลาดที่ตนลงมือทำไป
“ในเมื่อนางสามารถฝืนชะตาเอาชีวิตรอดมาได้ ข้าก็จะช่วยให้นางสมหวัง ได้อยู่กับคนที่นางรักจริงๆ ทำเช่นนี้คงชดเชยได้บ้างกระมัง”
“ฮูหยินลงโทษสะใภ้รอง เป็นการรักษาเกียรติของจวนแม่ทัพ เหตุใดต้องกล่าวหนักเพียงนั้น”
“แต่ข้ากับเจ้าและท่านแม่ทัพก็รู้มิใช่หรือ ว่าบุรุษที่นางปักใจรักนั้นคือเหิงเอ๋อของเรา ข้าลงโทษนางส่วนหนึ่งก็หวังว่าเหิงเอ๋อจะไปหานางบ้างสักครั้ง แต่ผ่านมาหลายวัน เหิงเอ๋อยังคงไร้ไมตรีเช่นเดิม”
“เป็นเพราะคุณชายรองจดจำคุณหนูรองไม่ได้ต่างหาก ถ้าจดจำได้มีหรือที่ชะตาของสะใภ้รองจะเป็นเช่นนี้”
จั่วซางหรงไม่กล่าววาจาใด แต่ในความคิดกลับมีแผนการหนึ่งผุดขึ้นมา “ข้าจะไปเยี่ยมดูอาการลูกสะใภ้สักหน่อย แม่นมว่าดีหรือไม่”
ริมฝีปากที่มีร่องรอยเหี่ยวย่นของแม่นมฮั่วถึงกับโค้งขึ้น ดูท่าวันข้างหน้าจวนแม่ทัพคงครึกครื้นผิดจากเดิม ไม่รู้ว่าการไปเรือนเก็บบุปผาของฮูหยินใหญ่ในครั้งนี้จะสร้างคลื่นใดถาโถมทุกผู้คนในจวนแม่ทัพบ้าง
แน่นอนว่าผู้ที่รู้ตัวเป็นคนแรกย่อมไม่พ้นคนหูตากว้างไกล ผู้เชี่ยวชาญม้าศึกที่คล่องแคล่วว่องไวเป็นลำดับหนึ่งของจวนแม่ทัพ
คงเป็นเพราะเบื่อหน่ายไม่ได้ออกไปรบทัพจับศึก ต้องจมปลักอดอู้อยู่จวนแม่ทัพมาเกือบหนึ่ง พอมีเรื่องให้สนใจ คุณชายสามลู่จิ้นเหอจึงออกอาการกระตือรือร้นอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านแม่ไปเยี่ยมพี่สะใภ้รองหรือ”
คุณชายสามสกุลลู่เบิกตาดำเข้มมองสาวใช้วัยสิบสี่สิบห้าที่ยอบกายรายงานอยู่ด้านข้าง “พี่สะใภ้รองที่เข้าจวนมาเกือบสองเดือนแล้วไม่ได้รับการเหลียวแลผู้นั้น วันนี้เหตุใดจู่ๆ ท่านแม่ถึงได้สนใจขึ้นมาได้เล่า”
“ได้ยินว่าสะใภ้รองล้มป่วยเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้ ข้าจำได้ว่าพี่สะใภ้รองป่วยมาจะครึ่งเดือนแล้ว แต่ครึ่งเดือนมานี้มิใช่ว่าไม่มีคนสนใจหรอกหรือ พี่รองของข้ายังไม่แลแม้แต่หางตา”
“แต่วันนี้ฮูหยินใหญ่สนใจแล้ว คุณชายสามจะไม่...”
เห็นแววตาเจ้าเล่ห์ของสาวใช้ตัวน้อย ใบหน้าหล่อเหลาพลันระบายยิ้มกว้าง “ส่งยาบำรุงกับของสวยๆ งามๆ ไปสักกล่องหนึ่ง ส่วนเรื่องพบหน้าเอาไว้ก่อนเถิด ข้าต้องรอดูท่าทีของพี่รองเสียก่อน”
“คุณชายสามฉลาดนัก ประจบทั้งพี่สะใภ้รองที่อาจมีหรือไม่มีอำนาจในอนาคต แถมยังไม่ลืมแสดงท่าทีอยู่ข้างคุณชายรองอีกด้วย”
“ข้ามีพี่ชายรองอยู่คนเดียว”
ยักคิ้วให้ทีหนึ่งแล้วทำสีหน้าจริงจัง “เจ้าไปสืบดูหน่อย พี่รองของข้าไปหาพี่สะใภ้รองหรือไม่ ถ้าไปละก็เจ้าต้องรีบกลับมาบอกข้าเร็วๆ”
“รุ่นหงทราบแล้ว คุณชายสามวางใจเถิด หากมีเรื่องสนุก รุ่นหงย่อมไม่ยอมให้คุณชายพลาด”
“รุ่นหงดีกับข้าที่สุด”
เห็นคุณชายสามของตนยิ้มทั้งหูทั้งตาให้กับสาวใช้คนสนิทแล้ว คนยืนเป็นตอไม้มาหลายชั่วยามได้แต่ลอบส่ายหัวในใจ ส่วนคนสัมผัสความรู้สึกได้เฉียบไวนั้นถึงกับโพล่งออกมาทันที “ถงหลิน เหตุใดเจ้าไม่พูดออกมาเล่า เจ้าทำแบบนี้ไม่รู้หรือว่ามันชวนให้ข้าอยากฆ่าเจ้า”
ถงหลินถอนใจ “คุณชายสามไม่กลัวคุณชายรองจะเอาเรื่องหรอกหรือ”
“พี่รองของข้าหมกตัวอยู่ในเรือนผุๆ นั่นมานานเกินไปแล้ว ถ้าหากออกมาจับหอกจับดาบสักหน่อยนับว่าเป็นเรื่องดี”
“คุณชายสามระวังเถิด ปลายหอกปลายดาบอาจจะพุ่งมาหาคุณชายก็เป็นได้”
“อย่ากังวลไปเลย” ลู่จิ้นเหอตบบ่าข้างหนึ่งของถงหลิน “พี่ชายรองขี่ม้าสู้ข้าไม่ได้หรอก”
ถงหลินยิ้มพยักหน้า จะว่าไปแล้วคนที่สามารถหนีพ้นเงื้อมมือของคุณชายรองได้ คุณชายสามของเขานับว่าเป็นคนแรกกระมัง ขนาดเหล่าแม่ทัพนายกองที่เชี่ยวชาญการศึก เมื่ออยู่บนหลังม้ายังไม่อาจเอาชนะคุณชายสามได้เลยสักครั้ง แน่นอนขอเพียงอยู่บนหลังม้าคุณชายสามย่อมเป็นที่หนึ่ง แต่อย่าถามเรื่องตกจากหลังม้าเลย หนึ่งปีก่อนเพลี่ยงพล้ำให้กับกลยุทธ์ของคุณชายใหญ่...คุณชายสามยังถูกลงโทษคัดตำราอยู่ในกระโจมตั้งหนึ่งร้อยจบ นึกถึงท่าทางอเนจอนาถยามจับพู่กันคัดตัวอักษรแล้วมุมปากของถงหลินโค้งมากกว่าเดิม
แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเวลานี้คุณชายสามของตนอยู่ในจวนแม่ทัพ ถ้าหากถูกคุณชายรองเอาเรื่องขึ้นมาจะหลบหนีทันได้จริงๆ น่ะหรือ