บทที่ ๓ เจ็บเรื้อรัง

2279 คำ
ในเมื่อหักห้ามคนในเรือนไม่ให้ไปอ้อนวอนขอร้องคนผู้นั้นแล้ว ต่อให้อาการบวมช้ำของเข่าทั้งสองข้างรุนแรงเพียงใด เจียงซูเจินก็ไม่ปริปากร้องไห้ออกมาสักคำ ยามที่ชิงจือออกแรงกดสร้างความเจ็บร้าวไปทั้งขาทำเพียงกัดฟันทน ปล่อยให้ชิงจือนวดคลึงไปเรื่อยๆ ผ่านประคบเย็นในสองวันแรก หลังจากนั้นใช้ผ้าประคบร้อน คาดว่าอีกไม่ถึงครึ่งเดือนรอยช้ำพวกนี้คงหายไปกระมัง สามคืนแรกดูเหมือนอาการจะดีขึ้น ทว่าย่างเข้าคืนที่สี่อาการของสะใภ้รองกลับทรุดลง “เสี่ยวซือ หน้าผากคุณหนูร้อนยิ่งนัก เนื้อตัวสั่นไปหมด พวกเราจะทำยังไงดี” เสี่ยวซือเหลียวมองไปด้านนอก บริเวณรอบเรือนเก็บบุปผาเงียบสงัด มีแสงโคมที่จุดไว้ไม่กี่ดวงเท่านั้น แต่เรือนหลักหลายเรือนของจวนแม่ทัพยังจุดโคมส่องสว่างอยู่ “ยามซวีสองเค่อ ประตูใหญ่จวนแม่ทัพลงกลอนแล้ว ในเรือนของพวกเรายังพอมียาเหลืออยู่หรือไม่” “มีให้คุณหนูดื่มได้อีกเทียบเดียวเท่านั้น แต่ว่าพรุ่งนี้หากอาการป่วยยังไม่ทุเลา เกรงว่าคุณหนู...คงต้องลำบากยิ่งนัก” “คืนนี้ พวกเราต้องช่วยกันดูแลคุณหนูให้ดี เร็วเข้า! ไปหาสุรามา ได้ยินว่าสุราฤทธิ์แรงสามารถลดไข้ได้มิใช่หรือ” “จริงด้วย สุรา!” สีหน้าของชิงจือดีขึ้น แต่ฉับพลันกลับหมองเศร้าลง “แต่ว่า...สุราในเรือนเรามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คงไม่พอใช้เช็ดตัวให้คุณหนูหรอก” ชิงชิวมุ่นหัวคิ้ว เบิกตาโต ก่อนจะเอ่ยปากด้วยทีท่าฮึกเหิม “ข้ารู้จักคนในโรงบ่มสุรา ข้าจะไปหาเขา” เห็นชิงชิวเร่งฝีเท้าวิ่งออกจากเรือนไป เสี่ยวจือพลันตะโกนตามหลัง “เจ้าระวังตัวด้วย รีบไปรีบกลับ” ไหนเลยจะมีเสียงของอีกฝ่ายตอบกลับมา ชิงชิวจากไปด้วยความร้อนรน ชิวจือรีบไปหาสุราที่มีอยู่ในเรือนมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้สะใภ้รอง โดยไม่ลืมชะเง้อมองไปยังทิศทางหนึ่งอย่างมีความหวัง เห็นแก้มแดงจัด ความร้อนบนผิวแก้มไม่บรรเทาลงก็รีบยกยาต้มเข้ามาป้อนใส่ปาก หมดไปครึ่งถ้วยถึงได้เอ่ยด้วยเสียงหวาดหวั่น “ป่านนี้ชิงชิวยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าราบรื่นหรือไม่” เสี่ยวซือประคองร่างที่เจ็บของตนมานั่งข้างเตียงคุณหนู มือข้างหนึ่งคอยเช็ดเหงื่อให้ไม่ขาด “เชื่อใจชิงชิวเถิด อีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามต้องกลับมาแน่” ได้ยินแบบนี้ชิงจือได้แต่สงบใจ หวังว่าอีกฝ่ายคงกลับมาก่อนที่อาการของสะใภ้รองจะทรุดลง แต่พอมองเข่าบวมแดงของเสี่ยวซือแล้วก็ได้แต่คว้าผ้าร้อนมาประคบให้ “เจ้าเองก็ต้องรีบหายเจ็บไวๆ ถ้าเจ้าล้มไปอีกคนสะใภ้รองของเราต้องแย่แน่” “วางใจเถิด ข้าไม่ยอมล้มง่ายๆ หรอก” เสี่ยวซือกัดฟัน แววตาดูมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวยิ่งนัก ต่อให้สาวใช้อย่างตนต้องตายไปจริงๆ ก็ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตคุณหนูสิบสี่เอาไว้ให้ได้ ชิงจือไม่ทันสังเกตเห็นแววตาของเสี่ยวซือแม้แต่น้อย เพราะความสนใจทั้งหมดตกอยู่กับสะใภ้รองจนหมดสิ้น ดึกสงัดมากขึ้นทุกที เลยยามไฮ่สองเค่อแล้วแต่ชิงชิวยังไม่กลับมา สองสาวใช้พากันร้อนใจจนนั่งไม่ติด หากเสี่ยวซือยังเดินได้คล่องเหมือนเมื่อก่อนคงวิ่งออกจากเรือนไปนานแล้ว เวลาเดียวกันชิงชิวกำลังโล่งใจ เพราะหลังจากหว่านล้อมบ่าวเฝ้าประตูโรงบ่มจนเสียงแหบแห้ง ในที่สุดก็ได้สุรามาสองไห แต่วันนี้หูตาของคุณชายรองคงทำงานดีไปหน่อย ชิงชิวเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากโรงบ่มอีกฝ่ายพลันพุ่งไปยังเรือนพักหลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของจวนเสียแล้ว จะว่าไปที่นี่นับว่าใกล้ย่อมใกล้ นับว่าไกลย่อมไกล เพียงแต่สำหรับคนคุ้นชินเส้นทางใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็มาถึงห้องหนังสือชั้นในแล้ว เห็นคุณชายรองตวัดตามอง หลวนชุนรีบประสานมือรายงาน “คนของเรือนเก็บบุปผาป้วนเปี้ยนแถวโรงบ่มสุรา ในมือยังอุ้มสุราไปสองไห” คิ้วของลู่อี้เหิงไม่ขยับแม้แต่น้อย เป็นฉางปิงกับฉางไป๋ที่ลอบประสานสายตากัน “สุราของจวนแม่ทัพ เตรียมไว้ใช้ในกองทัพและให้เหล่าทหารในจวนดื่มสังสรรค์ เหตุใดสตรีเรือนนั้นถึงไม่รู้จักกฎระเบียบ” ในที่สุดก็ได้ยินเสียงของผู้เป็นนาย ฉางปิงพลันเอ่ยปาก “ทุกต้นเดือน มีการแจกจ่ายสุราให้กับเจ้านายทั้งหลายอยู่แล้ว บางทีสุราของเรือนเก็บบุปผาอาจไม่พอ” ไม่ได้ตั้งใจออกหน้าให้เพียงแต่ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็เป็นภรรยาเอกของคุณชายรอง จะดื่มสุราเพิ่มอีกเดือนละสามสี่ไหคงไม่เป็นไรกระมัง “คุณชายจะไปดูหรือไม่” ได้ยินคำถามนี้ จู่ๆ ฉางปิงพลันรู้สึกว่ารอบกายหนาวเยือกแปลกๆ แต่ถึงกระนั้นยังวางท่าทีนิ่งสงบรอรับคำสั่งเช่นเดิม “ส่งคนไปจับตาดูไว้ อย่าปล่อยให้สตรีผู้นั้นเมามายจนเกิดเรื่องขึ้น” สั่งฉางปิงแล้วถึงได้เหลียวมองอีกคนที่ยังปิดปาก “ฉางไป๋ อย่าให้เรื่องนี้ไปถึงหูท่านแม่เด็ดขาด” คนของคุณชายรองทั้งสามถึงกับแลกเปลี่ยนสายตากันทันที นับตั้งแต่รับคุณหนูสิบสี่ตระกูลเจียงเข้ามา คุณชายไม่ใช่ไร้ใจไร้รักหรอกหรือ ทำไมหนนี้ถึงลอบกางปีกปกป้องสตรีผู้นั้นได้เล่า แม้ในใจจะสงสัย แต่กลับไม่มีผู้ใดกล้าปริปากออกมาสักคำ ฉางปิงฉางไป๋ทำเพียงประสานมือแล้วเร่งฝีเท้าออกไปด้านนอก ทิ้งให้ภายในห้องหนังสือมีเพียงหลวนชุนคอยอารักขาคุณชายรองเพียงผู้เดียว แสงเทียนในห้องหนังสือวูบไหว สาดประกายสีส้มจางๆ งดงามราวกับภาพฝัน หลวนชุนเปลี่ยนเทียนที่ใกล้หมดไส้เป็นเล่มใหม่ ยามโฉ่วหนึ่งเค่อแล้วแต่แผ่นหลังของลู่อี้เหิงยังคงเหยียดตรง เบื้องหน้ามีภาพทุ่งหญ้าเขียวขจีที่ถูกย่ำด้วยกีบเท้าม้า ม้าศึกตัวนั้นย่ำโคลนย่ำใบหญ้าดูยิ่งใหญ่กำยำนัก ยังไม่ทันได้วางพู่กันด้านนอกพลันมีเสียงพูดคุยเบาๆ ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ของสาวใช้นางหนึ่ง หัวคิ้วขยับปรากฏความไม่ชอบใจอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเช่นนี้ทำเอาหลวนชุนต้องสูดลมหายใจลึกยาว “บ่าวจะไปดูเดี๋ยวนี้” “ลากตัวเข้ามา สาวใช้พวกนี้ไร้กฎระเบียบขึ้นทุกวัน” หลวนชุนลอบมองไปด้านนอก เห็นฉางปิงแง้มประตูถึงได้พยักหน้า พอเห็นคนก่อเรื่องหลวนชุนถึงกับเหลือบตามองผู้เป็นนายทันที ยังไม่ทันเอ่ยปากถามก็เห็นอีกฝ่ายโขกศีรษะตึงๆ “บ่าวขอร้องคุณชายรอง ได้โปรดช่วยคุณหนูสิบสี่ของบ่าวด้วยเถิด” แม้แต่คำเรียกขานเสี่ยวซือก็ยังหลงลืมที่จะเปลี่ยน หลวนชุนฟังแล้วถึงกับขมวดคิ้ว เอ่ยมาประโยคแรกสาวใช้ผู้นี้มิใช่กำลังเอาชีวิตของสะใภ้รองหรอกหรือ ทว่าหลังจากมองสีหน้าของผู้เป็นนายหลวนชุนถึงได้ลอบถอนใจอย่างโล่งอก ดูท่าไม่ใช่เพียงพวกเขาที่หลงลืมไปว่าในจวนแม่ทัพแห่งนี้มีสะใภ้รอง แม้กระทั่งตัวคุณชายรองก็อาจหลงลืมว่าตนมีฮูหยินเอกเช่นกัน “หลายชั่วยามมานี้คุณหนูจับไข้ ตัวร้อนดั่งไฟ บ่าวใช้สุราเช็ดหมดไปสองไหแต่อาการของคุณหนูไม่ดีขึ้นเลย บ่าวโขกศีรษะให้ท่านแล้ว คุณชายรองได้โปรดตามหมอมาดูอาการของคุณหนูด้วยเถิด” “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ คุณหนู...สะใภ้รองถึงล้มป่วยได้เล่า” หลวนชุนเปลี่ยนคำเรียกแทบทันที “สะใภ้รอง...” เสี่ยวซือกำลังจะอ้าปากเล่า แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ของคุณหนูกับคุณชายรองแล้วกลับไม่กล้าเอ่ย “สองวันก่อนคุณหนูหกล้ม มีแผลเล็กน้อย เดิมทีคิดว่าคงไม่เป็นอะไร แต่วันนี้อาการกลับย่ำแย่ลง” “สะใภ้รองจับไข้เหตุใดไม่รีบมารายงานคุณชายรองเล่า” เสี่ยวซือกัดปากสั่นๆ ไว้แน่น ลูกตาดำสองข้างกลิ้งไปมาในดวงตา อยากจะโพล่งออกไปเหลือเกินว่าตนถูกคุณหนูหักห้ามเอาไว้ แต่พอรับรู้ว่าตั้งแต่เข้ามามีเพียงหลวนชุนที่เอ่ยปากถาม ส่วนคนที่ตนมาขอร้องกลับเอาแต่นิ่งเงียบจึงทำได้เพียงโขกศีรษะอีกครั้ง “คุณชายรองได้โปรดช่วยชีวิตคุณหนูด้วยเถิด” ลู่อี้เหิงมุ่นหัวคิ้ว ในหัวมีภาพสตรีงดงามในชุดสีแดงที่เย่อหยิ่งอวดดีในค่ำคืนนั้น สุดท้ายก็ได้แต่เหลือบมองฉางไป๋ที่เพิ่งก้าวเท้าเข้ามา พ้นจากเรือนหลังโอ่อ่ามาจนใกล้ถึงเรือนเก็บบุปผาแล้ว เสี่ยวซือที่ฝืนอาการเจ็บเข่าจนทนไม่ไหวก็ได้แต่ทิ้งตัวลงอย่างอ่อนแรง “เหตุใดคุณชายรองถึงไม่ส่งคนออกไปตามหมอเล่า ส่งฉางไป๋มากับบ่าวหญิงสูงวัยคนหนึ่งจะช่วยชีวิตคุณหนูได้ยังไง” พร่ำพูดออกมาพลางร้องไห้ไม่หยุด นางอยากเร่งฝีเท้าตามคนกลุ่มนั้นให้ทันแต่ขากลับไม่ได้ดั่งใจ หลวนชุนที่ตามมารีบประคองอีกฝ่ายขึ้น “เจ้าไม่รู้หรือว่าฉางไป๋เชี่ยวชาญวิชาแพทย์ ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนรับมือได้ทั้งนั้น คุณชายรองส่งหมอทหารมือดีที่สุดในกองทัพมารักษาคุณหนูของเจ้าเชียวนะ” “ฉางไป๋เป็นหมอจริงๆ หรือ” เสียวซือกลายเป็นสาวใช้โง่งมไปแล้ว เห็นท่าทางซื่อๆ กับดวงตาเบิกโตคล้ายไม่เชื่อของอีกฝ่ายแล้วหลวนชุนอมยิ้ม “เจ้าคอยดูเถิด ต่อให้พญายมต้องการชีวิตของสะใภ้รอง ฉางไป๋ผู้นั้นก็สามารถแย่งชิงมาจากมือพญายมได้” เสียวซือรู้สึกว่าคำกล่าวนี้เกินจริงไปหน่อยแต่ได้ยินแล้วกลับทำให้ขาแข้งมีแรง ดังนั้นจากที่คิดว่าตนอาจเดินไม่ถึงเรือนเก็บบุปผา แต่สุดท้ายก็สามารถตามทุกคนได้ทัน ยุ่งง่วนอยู่เกือบสองชั่วยามในที่สุดหลวนชุนกับฉางไป๋ก็กลับมา แน่นอนว่าสีหน้าของทั้งสองคนย่อมเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วว่าเหตุใดสะใภ้รองถึงเจ็บป่วยจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ทันทีที่ผู้เป็นนายมองมา สิ่งที่ต้องรายงานย่อมรายงานไปตามความจริง ทว่าเรื่องนี้ต่อให้เป็นคุณชายรองก็ไม่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้ “รักษานางให้ดี อย่าให้ทิ้งโรคเรื้อรังไว้” ฉางไป๋เอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจ “หากได้ตรวจดูอาการตั้งแต่วันแรก ร่างกายของสะใภ้รองคงไม่ย่ำแย่ถึงขั้นนี้ โรคของสะใภ้รองเกรงว่าต้องใช้เวลารักษาไปอีกระยะหนึ่ง และยังต้องใช้ยาบำรุงไปอีกสี่ห้าปี” “สี่ห้าปีก็รักษาไปเถิด ถึงอย่างไรข้าก็ทำให้นางได้แค่นี้” พอนึกถึงเสียงกรีดร้องของสะใภ้รองที่เล็ดลอดออกมาจากเรือนชั้นใน แม้อีกฝ่ายพยายามข่มความเจ็บแล้วแต่ตนเฝ้าประตูอยู่ก็ยังได้ยินชัดเจน หลวนชุนจึงอดเอ่ยปากไม่ได้ “คุณชายรองไปดูสะใภ้รองสักหน่อยเถิด ถึงอย่างไรสะใภ้รองก็...ก็เป็นภรรยาท่าน” พูดออกมาแล้วรีบเบี่ยงตัวหลบหลังฉางไป๋ทันที พวกเขาจำได้แม่นยำว่า ในคืนแต่งงานนั้นคุณชายรองสั่งห้ามไม่ให้คนในเรือนนี้พูดถึงสตรีจากสกุลเจียง ทว่าเวลานี้สะใภ้รองเกือบตายคุณชายรองไปดูสักหน่อยก็คงช่วยให้สายตาของสาวใช้ในเรือนเก็บบุปผามองพวกเขาอย่างต้อนรับขับสู้บ้าง มิใช่อย่างวันนี้แต่ละคนทำท่าราวกับแม่ไก่กำลังออกไข่อย่างไรอย่างนั้น หากไม่ติดว่าฉางไป๋กำลังช่วยรักษาอาการสะใภ้รองละก็ อย่าว่าแต่ประตูชั้นในเลย แม้กระทั่งประตูชั้นนอกพวกเขายังผ่านเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ คิดแล้วความสงสัยหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจ คุณชายรองไม่ได้ไปเหยียบที่นั่นแค่เดือนกว่าๆ ไม่รู้ว่าสะใภ้รองกระทำการใดถึงสามารถทำให้สาวใช้พวกนั้นหลงลืมไปว่าประมุขที่แท้จริงของ เรือนเก็บบุปผาคือคุณชายรอง หาใช่สะใภ้รองผู้ไม่เคยได้รับการยอมรับ ไม่ใช่สิ ถึงอย่างไรคุณหนูสิบสี่ตระกูลเจียงก็ขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวเข้ามาในฐานะภรรยาเอก ท่านแม่ทัพใหญ่กับฮูหยินใหญ่แม้ไม่แสดงออกแต่คนในจวนยศชั้นน้อยใหญ่ล้วนไม่เคยหลงลืมว่าสกุลลู่ยังมีสะใภ้รองที่ไม่ต้องออกจากเรือนไปปรนนิบัติพ่อแม่สามี นางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่ง บางทีคุณชายรองเองอาจไม่เคยลืมเลือนภรรยาเอกผู้นี้เลยสักครั้งก็เป็นได้ มิได้มีเพียงหลวนชุนที่คิดได้ ฉางปิงกับฉางไป๋ลอบสบตากัน แต่ละคนคล้ายมั่นใจในความคิดของตน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม