เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไปสี่วัน องค์หญิงเหม่ยหลี่ทรงพระอาการดีขึ้นตามลำดับ รอยแผลเป็นที่แขนและขาเลือนจางลง จากเดิมที่เป็นแผลพุพองหนักหน่วง ก็พลันแห้งสนิท แต่ยังคงเหลือร่องรอยบางตำแหน่งที่คงอยู่
“เจ้าคิดว่าข้า...จะกลับมาผิวพรรณงดงามเช่นเดิมหรือไม่” องค์หญิงเหม่ยหลี่เอ่ยถามเสวี่ยอี้ที่กำลังเตรียมยาสมุนไพรในถ้วยให้นาง หากแต่ยานี้เป็นยาที่อี้ฉางฝากมา หาใช่ยาสมุนไพรชนิดเดิมไม่
“หม่อมฉันเชื่อว่าผิวขององค์หญิงต้องกลับมาเหมือนเดิมเพคะ แต่จะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับร่างกายขององค์หญิงเช่นกันเพคะ” เสวี่ยอี้วินิจฉัยอาการตามความเป็นจริงมิได้บิดเบือนใดใด
“ข้าอาจมีรอยแผลติดตัวแบบนี้ตลอดไปหรือ...น่ารังเกียจยิ่งนัก หากข้ารู้ว่าผู้ใดมุ่งร้ายข้า ข้าจะให้ท่านพ่อฆ่ามันเสีย” องค์หญิงเหม่ยหลี่พูดด้วยน้ำเสียงและสายตาที่โกรธแค้นพลางกัดฟันกรอด
“หม่อมฉันจะรักษาองค์หญิงให้ดีที่สุด หลังจากนั้น คนชั่วต้องได้รับกรรมเพคะ” เสวี่ยอี้ฉายแววตามุ่งมั่นเปล่งประกาย
“ได้รับกรรม... เจ้าหมายความว่าอย่างไร” องค์หญิงเหม่ยหลี่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“รอองค์หญิงดีขึ้นกว่านี้ก่อนเพคะ...รอแค่เวลาเท่านั้น”
องค์หญิงเหม่ยหลี่ครุ่นคิดสักพักก็นึกได้โดยพลัน เสวี่ยอี้จะต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับคนร้ายแน่ๆ
“คุณหนูเสวี่ยอี้เจ้าคะ... เกิดเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ” เสียงร้องเรียกตื่นตระหนกดังขึ้นจากลั่วเหอ
“เกิดเรื่องอะไรกันลั่วเหอ” เสวี่ยอี้เอ่ยถามอย่างสงสัย
“คุณหนูออกมาคุยข้างนอกตำหนักได้หรือไม่เจ้าคะ”
เสวี่ยอี้พยักหน้าตกลง คงเป็นเรื่องที่มิอาจให้องค์หญิงรับรู้ได้ จึงหันไปหาองค์หญิงเหม่ยหลี่เพื่อเอ่ยคำลา
“เจ้าไปเถิด” มิทันได้กล่าวคำใดใด องค์หญิงเหม่ยหลี่ก็ชิงบอกเสียก่อน
“เช่นนั้น...เสวี่ยอี้ทูลลาเพคะ” เสวี่ยอี้โค้งคำนับและเดินออกจากตำหนักมายืนรอข้างนอกเพื่อพูดคุยเจรจากับลั่วเหอให้เสร็จสิ้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ลั่วเหอ...เหตุใดเจ้าถึงมีท่าทีลุกลี้ลุกลนเช่นนี้” เสวี่ยอี้เอ่ยถามอีกครั้ง
“ม่านกูกู เพคะ....นางกำนัลอาวุโสที่หลายคนเกรงขาม กุข่าวแพร่สะพัดว่าคุณหนูนำโรคร้ายจากองค์หญิงมาเผยแพร่ต่อผู้อื่น ตอนนี้หากเราเดินไปยังที่ใดในวัง ทุกคนล้วนชังเราเยี่ยงคนน่ารังเกียจเพคะ” ลั่วเหอแสดงอาการทุกข์ร้อนใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“นางผู้นั้นร้ายกาจยิ่งนัก...ข้าเชื่อท่านอ๋องแล้ว ว่าทำไมถึงตักเตือนข้านักว่าวังหลวงนั้นอันตราย” เสวี่ยอี้ถอนหายใจทอดยาว “เมื่อนางผู้นั้นอยากเล่นงานข้า...ข้าก็จะจัดชุดใหญ่ให้นางเสียหน่อย” เสวี่ยอี้แสยะยิ้มออกมาอย่างเปิดเผย
“ทำเช่นไรหรือเพคะ” ลั่วเหอเอ่ยถามด้วยท่าทางสงสัย
“เจ้าพาข้าไปหาม่านกูกูที แต่ก่อนไป...ข้าขอไปแต่งตัวที่เรือนพักเสียก่อน” เสวี่ยอี้เอ่ยสั่งการ
“เจ้าค่ะ”' ลั่วเหอตอบรับและพาเสวี่ยอี้ไปยังเรือนพักทันที
เมื่อถึงห้องแต่งตัว เสวี่ยอี้ใช้สีแดงอำพันจากเครื่องสำอางแต่งแต้มเป็นจุดเล็กๆทั่วแขนและขาแต่ถูกปกปิดไว้ด้วยอาภรณ์สีเทาหม่นมิดชิดก่อนออกไปหาม่านกูกูดั่งที่ตั้งใจ
ลั่วเหอนำทางเสวี่ยอี้ไปยังห้องปักเย็บทางทิศตะวันออกของวังหลวง
“ท่านนั้นหรือคือม่านกูกู”เสวี่ยชี้นิ้วไปยังห้องปักเย็บที่มีสตรีนางหนึ่งยืนอยู่
“ใช่เจ้าค่ะ...นางกำลังสอนนางกำนัลใหม่ปักเย็บผ้าเจ้าค่ะ” ลั่วเหอเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ตัวข้าไม่ค่อยออกไปไหน นอกจากที่เรือนพักกับตำหนักองค์หญิงเท่านั้น ข้ามิสนใจคำนินทาใดใด แต่นางผู้นี้ต้องรับผิดชอบกับผลของการกระทำอันเลวร้ายนี้” เสวี่ยอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบและมิรั้งรอที่จะเดินเข้าไปหาม่านกูกูที่ห้องปักเย็บผ้าทันที เหล่านางกำนัลเมื่อเห็นเสวี่ยอี้เข้ามาให้ห้อง ต่างก็พากันตกตะลึงงัน มองมาที่เสวี่ยอี้เป็นตาเดียวกัน ม่านกูกูผู้ซึ่งกำลังยืนหันหลังอยู่นั้น เมื่อเริ่มเห็นอาการแปลกๆของเหล่านางกำนัลจึงหันไปมองตาม
“นาง...อีนางโรคร้าย” ม่านกูกูอ้าปากร้องตะโกนด้วยความตกใจ
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นโรคร้ายหรือ” เสวี่ยอี้จ้องมองด้วยแววตาแสร้งใสซื่อพลางค่อยๆเขยิบตัวก้าวเท้าเข้าใกล้ม่านกูกูในระยะประชิด
“เจ้าออกไปนะ...เจ้าตัวน่ารังเกียจ” ม่านกูกูร้องโวกเวกโวยวายพลางใช้มือปัดป้องไปมา
“ข้าถามว่า... ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นโรคร้าย” เสวี่ยอี้กระแทกเสียงถามดังขึ้น
“เจ้าติดโรคจากองค์หญิงมา...มีผู้ใดมิรู้บ้าง” ม่านกูกูเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
"เช่นนั้น...ข้าคงต้องขอบใจเจ้า ที่เผยแพร่ข่าวโรคร้ายของข้าให้ผู้อื่นได้รับรู้
เจ้าดูนี่สิ...ข้ามีรอยแดงช้ำไปหมดทั้งตัว
โอ้ยตรงนี้ก็คัน...ตรงนั้นก็คันไปหมด
เจ้าดูรอยนี่สิ....ข้าทรมาณเหลือเกิน"
เสวี่ยอี้แสร้งเปิดแขนและขาที่แต้มรอยแดงเอาไว้ แล้วใช้มือเกาพลางร้องเสียงดังโอดโอย
ม่านกูกูเมื่อเห็นดังนั้น ก็ตกใจเบิกตากว้างโดยพลัน 'เจ้า...เจ้าเป็นจริงๆหรือ'
“ก็ใช่น่ะสิ...และท่าน...” เสวี่ยอี้อ้าแขนกว้างตะครุบตัวกอดม่านกูกูสักพักและถอนออกอย่างรวดเร็ว
“เจ้า...เจ้าทำอะไรน่ะ” ม่านกูกูร้องตะโกนถามด้วยความหวาดกลัว
“ข้ามิได้ทำสิ่งใดสักนิด...เพียงแค่ท่าน...ต้องป่วยเหมือนข้า....ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสวี่ยอี้พูดด้วยน้ำเสียงลากยาว สายตาลอกแลกไปมา ส่งเสียงหัวเราะร่าดังลั่น
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ...ไม่นะ...ข้าต้องไม่ป่วยเหมือนเจ้า” ม่านกูกูเนื้อตัวสั่นเทา
“เจ้าติดโรคร้ายจากข้าแน่...แค่สัมผัสกันก็ติดกันแล้ว...เจ้ามิรู้หรือ” เสวี่ยอี้ยกมุมปากขึ้นยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ไม่!!!!!!!!!!!” ม่านกูกูกรีดร้องด้วยความเสียใจ
“แล้วพวกเจ้า !!! ...ระวังตัวเสียเถิด กูกูนางนี้ ติดโรคร้ายจากข้าเสียแล้ว ฮ่า ฮ่า ฮ่า” เสวี่ยอี้หันไปพูดกับเหล่ากำนัลใหม่ด้วยน้ำเสียงและท่าทีดั่งคนเสียสติ
หลังจากนั้น เสวี่ยอี้ก็หันหลังเดินออกมาด้วยความสะใจในเบื้องลึก “ต่อไปนี้...นางผู้นี้จะต้องเป็นผู้รับรู้ถึงการโดนรังเกียจ นี่คือบทลงโทษของการกุข่าวยุยงทำให้ผู้อื่นเสียหาย” เสวี่ยอี้กล่าวทิ้งท้ายก่อนเดินกลับไปยังเรือนพักของตนต่อไป