ณ โรงครัวตำหนักองค์หญิงเหม่ยหลี่
ห้องโถงเรือนไม้สูงโปร่ง กว้างขวาง ภายในเพรียบพร้อมด้วยอุปกรณ์เครื่องครัวมากมายตั้งวางเรียงรายอยู่เป็นสัดส่วน เหล่านางในชั้นผู้น้อยใหญ่ที่ถูกมอบหมายหน้าที่ให้จัดการดูแลส่วนในโรงครัวต่างก็พากันเดินขวักไขว่แลดูวุ่นวายเสียยิ่ง
เสวี่ยอี้ยกถ้วยสมุนไพรที่เป็นตัวต้นเหตุมาตรวจสอบยังโรงครัว
นางเทสมุนไพรลงไปต้มในหม้อดินจนน้ำปะทุเดือดขึ้นชั่วครู่ หลังจากนั้นก็นำลงจากเตาถ่านและเทลงถ้วยชามอีกครั้ง
ด้วยความคุ้นเคยกับกลิ่นสมุนไพรเป็นทุนเดิม เสวี่ยอี้จึงใช้วิธีพิสูจน์โดยการสูดดมกลิ่นเข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อยืนยันว่ามีกลิ่นของใบเลี่ยงในยาสมุนไพรต้มชนิดนี้จริงๆ
เสวี่ยอี้หลับตาพลันนึกย้อนไปตอนที่จัดสมุนไพรกับฮูหยินตระกูลซ่ง
ทุกครั้งเมื่อพบสมุนไพรหายากจากในป่า จะถูกนำมาจัดเรียงและบันทึกลงสมุดถึงสรรพคุณของสมุนไพรนั้นๆ อย่างละเอียด ใบเลี่ยงคือหนึ่งในนั้น
เมื่อจิตนึกหวนระลึกไปในอดีตชั่วครู่ เสวี่ยอี้ก็เบิกตากว้างขึ้น…
ไม่พลาดแน่ๆ กลิ่นนี้ ข้าเคยได้กลิ่นตั้งแต่เมื่อสมัยเมื่อยังเยาว์วัย น่าแปลกใจนัก ที่สมุนไพรหายากเช่นนี้ เหตุใดถึงมีผู้รู้และนำมาใช้การในทางที่ผิดได้ ผู้นี้ต้องมีความรู้เรื่องสมุนไพรเป็นแน่
แมลงจากป่าดงดิบที่มิอาจพบได้ในสวนของวังหลวงและยาสมุนไพรผสมใบเลี่ยงที่ทำให้เกิดแผลบวมช้ำแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย ผนวกกับการกุข่าวทำลายชื่อเสียงขององค์หญิงนั้น คงมิใช่เรื่องบังเอิญ
“ผู้ประสงค์ร้ายนั้นเป็นใครกัน" เสวี่ยพรึมพรำกับตนเองเบาๆ
เสวี่ยอี้พบว่านางในคนที่นำเอายาสมุนไพรมาถวายองค์หญิงเป็นคนเดิมๆ ซ้ำๆ นามว่า ไป่เทียน
เสวี่ยอี้ให้ลั่วเหอสืบดูจากเหล่านางในคนอื่นๆ จนได้ความว่า ไป่เทียน เป็นสาวรับใช้นางในธรรมดาที่ได้รับคำสั่งจากกูกูมาอีกที
กูกูผู้นั้นนามว่า เสี่ยวกูกู ซึ่งเป็นผู้ดูแลพระนางจิงหนานโดยตรง
“นางมาแล้ว” เสวี่ยอี้พร่ำบอกกับตนในใจเมื่อเห็นไป่เทียนเดินเข้ามาในโรงครัวและรีบวิ่งหาที่ซ่อนทันที
ไป่เทียนเดินเข้ามาปรุงยาสมุนไพรเฉกเช่นทุกเช้า ครานี้เสวี่ยอี้สามารถเห็นกิริยาของไป่เทียนได้อย่างใกล้ชิด
ท่าทางของนางช่างชอบกลนัก นางสอดส่องสายตาลอกแลกไปมาประหนึ่งว่ากำลังมีความกังวลอะไรบางอย่างอยู่ จากนั้นก็รีบตั้งหม้อเปิดไฟต้มยาสมุนไพรโดยมิรั้งรอ นางแกะห่อสมุนไพรแห้งออกแล้วเทลงในหม้อต้มอย่างระมัดระวัง
เสวี่ยอี้สังเกตุเห็นว่าในนั้นมิได้มีใบเลี่ยงเลยนี่...
ไป่เทียนใช้ช้อนคนยาต้มอย่างช้าๆ แล้วคว้าซองใสซองหนึ่งที่บรรจุใบเลี่ยงไว้ประมาณ 5-6 ใบ เทลงไปในหม้อต้มเสมือนว่าเป็นแค่สมุนไพรชนิดหนึ่งที่หาได้เป็นอันตรายไม่
.
.
.
นางนี่เอง...
.
.
.
เมื่อแน่ใจแล้ว เสวี่ยอี้จึงพรวดลุกออกจากที่ซ่อน แล้วเดินไปแย่งช้อนที่ไป่เทียนกำลังคนยาอยู่เขวี้ยงทิ้งไปอย่างสุดแรง
“ท่านเป็นใคร....เหตุใดถึงทำเช่นนี้ คิดจะกดขี่ข้าหรือ” ไป่เทียนผู้มิรู้ประสีประสา ว่าเสวี่ยอี้เป็นผู้ถูกส่งมารักษาองค์หญิง คิดว่าคงเป็นหัวหน้าฝ่ายใดสักคนในวัง จึงโพล่งพูดจาโผงผางออกไป
“เจ้าน่ะคือใคร กล้าดีอย่างไร ถึงกล้าทำร้ายองค์หญิง” เสวี่ยอี้เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมด้วยท่าทางและหน้าตาเรียบเฉย
“ข้า... ข้า... ไม่ได้ทำสิ่งใด” ไป่เทียนแสดงสีหน้าตกใจ พูดจาติดขัด
“ไม่ได้ทำสิ่งใดงั้นหรือ...แล้วใบเลี่ยงนี่ล่ะ เจ้ารู้จักได้อย่างไร บอกมาว่าเจ้าเป็นใคร” เสวี่ยอี้พยายามเค้นถาม
“ขะ... ข้าแค่ใส่สมุนไพรตามที่กูกูสั่งเจ้าค่ะ” ไป่เทียนเอ่ยพลางก้มตาก้มตา
“งั้นหรือ... เจ้ากำลังลอบทำร้ายองค์หญิง เจ้ารู้หรือไม่”
“ทำร้ายหรือเจ้าคะ...ข้ามิรู้จริงๆ เจ้าค่ะ” ไป่เทียนเริ่มแสดงอาการลุกลี้ลุกลน เกรงกลัวอย่างเห็นได้ชัด
แค่รับคำสั่งจากกูกูหรือ ....
“ข้าจะส่งตัวเจ้าไปที่ศาล เจ้าไม่รอดขังคุกแน่หรือเจ้าจะสารภาพกับข้าเสียแต่ตอนนี้”
“อย่านะเจ้าคะ” ไป่เทียนคุกเข่าอ้อนวอนเสวี่ยอี้ พลางเอ่ยต่อ “ข้าเป็นแค่คนรับใช้ มาจากแคว้นหย่ง นี่คือใบรับรองของข้า ข้ามีครอบครัวที่ต้องดูแล หากรู้ว่าจะเกิดเรื่องรุนแรงเพียงนี้ ข้าจะไม่เอาตัวเองมาเสี่ยงแน่นอนเจ้าค่ะ”
เสวี่ยอี้รับใบรับรองจากไป่เทียนมาเปิดดู ก่อนที่จะกวาดสายตามองอย่างช้าๆ
ใบนี้รับรองว่านางอยู่แคว้นหย่งจริงๆ แคว้นนี้อยู่ติดชายทะเลที่ซึ่งห่างไกลมาก มิได้มีป่าดงดิบใดใด หากไม่ใช่นาง ก็คงเป็นเจ้านายของนางเสียแน่
“ข้าจะไม่เอาความเจ้า แต่วันพรุ่งเจ้าต้องไปแจ้งเสี่ยวกูกูว่าองค์หญิงไม่ต้องการยาสมุนไพรอีกแล้ว...เข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าออกไปได้แล้ว”
“เจ้าค่ะ” ไป่เทียนตอบรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและรีบเดินออกไปจากโรงครัวทันที
รุ่งเช้าของอีกวัน เสวี่ยอี้ตัดสินใจเข้าพบฮ่องเต้ที่พระราชตำหนักหลวงเพื่อแจ้งให้ทราบถึงพระอาการขององค์หญิง
กงกงเดินเข้าไปแจ้งฮ่องเต้ทันทีเห็นเสวี่ยอี้
“ฝ่าบาทอนุญาตให้แม่นางเข้าเฝ้าได้” กงกงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเบาพลางพยักหน้าขึ้นลง หลังจากออกมาจากห้องทรงงานของฝ่าบาท
“ขอบคุณกงกง” เสวี่ยอี้เอ่ย
เสวี่ยอี้ย่างเท้าเข้าไปที่ห้องทรงงานของฝ่าบาทด้วยความสำรวม
“ถวายบังคมฝ่าบาท” เสวี่ยอี้ถวายบังคมด้วยท้วงท่านอบน้อม
“เอาเถอะๆ ลุกขึ้นได้ อย่าได้มากความเลย เจ้ามีเรื่องอันใดหรือ”
“เสวี่ยอี้มาทูลฝ่าบาทว่า องค์หญิงทรงพระอาการดีขึ้นแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นหรือ... เจ้ารักษานางจนหายหรือ”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็ไม่เชิงเพคะ หม่อมฉันนำเอาวิธีรักษาจากตระกูลมาใช้รักษาองค์หญิง มิได้อุปโลกน์วิธีรักษาขึ้นมาเองเพคะ”
“ดี! ข้าขอบใจเจ้ามาก' ฮ่องเต้แย้มสรวลออกมาเสียงดังอย่างมีความสุขล้น 'นางคือบุตรีที่ข้ารักยิ่ง เอาล่ะ...วันนี้ยามสายข้าจะไปดูนางเสียหน่อย”
“เพคะ...เช่นนั้นกระหม่อมทูลลา” เสวี่ยอี้ก้มน้อมคำนับฮ่องเต้ และเดินออกไปจากห้องส่วนพระองค์อย่างช้าๆ