วันนี้พี่รหัสปีสามนัดฉันกับน้องปีหนึ่งมาทานข้าวที่ร้านอาหารในโรงแรมระดับสี่ดาวที่อยู่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก
การเลี้ยงสายรหัสเป็นธรรมเนียมที่รุ่นพี่ปฏิบัติกับรุ่นน้องมานาน อย่างน้อยหนึ่งปีจะต้องพาไปเลี้ยงข้าว ชาบูหรือเลี้ยงเหล้าสักครั้ง และฉันก็คงจะทำแบบนั้นต่อๆ ไปกับรุ่นน้องที่จะเข้ามาเรียนที่นี่
“พี่ไม่เห็นเราหลายวัน ผอมลงหรือเปล่า”
‘พี่ตั้ว’ คือพี่รหัสปีสามของฉันที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตเดือนมหาวิทยาลัยเมื่อสามปีก่อน ตอนนี้ก็ยังหล่อเหมือนเดิม แถมยังมีแฟนเป็นดาวคณะบริหารรุ่นเดียวกับฉันด้วย
“สงสัยนอนดึกค่ะ” ฉันตอบแล้วยิ้มกว้างส่งไป คิดในใจว่าจะไม่ให้ผอมได้ยังไง เพราะไม่ใช่แค่นอนดึกแต่ยังนอนไม่หลับมาเป็นอาทิตย์แล้ว
“เราล่ะเป็นยังไงบ้าง” พี่ตั้วหันไปถามน้องปีหนึ่งที่นั่งข้างฉันต่อ น้องชื่อว่าเบลล์ เป็นผู้หญิงเรียบร้อยนิสัยดี น่ารัก ฉันเห็นครั้งแรกก็รักและเอ็นดูอย่างกับเป็นน้องแท้ๆ
“โอเคค่ะพี่ตั้ว แต่กิจกรรมเยอะมาก” เธอพูดแล้วหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันมายิ้มให้ฉัน
“ผ่านปีหนึ่งไปก็เป็นอิสระแล้ว เที่ยวทุกวันยังได้ ไม่เชื่อดูพี่ดรีมเป็นตัวอย่าง เที่ยวจนผู้ชายกลัวไม่กล้าจีบ”
“รู้ได้ยังไงว่าไม่มีใครจีบ ดรีมเลือกต่างหาก” ฉันเบะปากใส่พี่รหัสที่กำลังหัวเราะร้าย
“มีให้เลือกด้วยเหรอเรา” พี่ตั้วไม่พูดเปล่าแต่ยังทำหน้าเหมือนตกใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน สมแล้วที่เพิ่งไปเรียนการแสดงมา เพราะได้ยินข่าวว่าผู้ใหญ่กำลังปั้นให้เป็นนักแสดงวัยรุ่นพุ่งแรงอยู่
“ให้เขียนชื่อหนึ่งหน้ากระดาษยังไม่พอเลย” ฉันบอกแล้วขมวดคิ้วใส่คนร่างสูง ดูถูกกันนัก ไม่รู้เหรอว่าฉันก็มีผู้ชายมาขอเฟส ขอไลน์ตั้งเยอะแยะ
พูดแล้วจะหาว่าคุย ที่ฉันไม่สานต่อกับใครเพราะมัวจมปลักอยู่กับการชอบพี่คีตะต่างหาก
“โอเคพี่เชื่อก็ได้” พี่ตั้วเอ่ยแต่หัวเราะออกมา เบลล์ก็พายิ้มกริ่มไปด้วย ทำเอาฉันรู้สึกเหมือนตัวเองขี้โม้ไปเลย
“ถ้าไม่เห็นแก่กับข้าวในโรงแรมดรีมหนีกลับหอแล้วนะ” ฉันว่าแล้วยัดขาหมูเยอรมันชิ้นโตเข้าปาก ขณะเดียวกันนั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนที่รู้สึกคุ้นเหลือเกินกำลังเดินผ่านประตูบานใหญ่ไป แถมยังมีผู้หญิงอีกคนที่ฉันมั่นใจว่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเดินตาม
ไม่ผิดแน่ๆ ยังไงก็เป็นเขา…
“เดี๋ยวดรีมมานะพี่ตั้ว ไปเข้าห้องน้ำแป๊บ” ว่าแล้วฉันก็รีบลุกออกมา เดินไปตรงประตูทางออกของห้องอาหารและทางที่คิดว่าสองคนนั้นกำลังเดินไป จนกระทั่งเดินไปถึงมุมสุดของตึกที่ติดกับบันไดหนีไฟถึงได้เจอทั้งคู่
แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้ฉันต้องก้าวถอยหลังพร้อมกับหัวใจที่เต้นแรงมากจนเจ็บไปทั่วโพรงอก
ผู้ชายที่สวมเสื้อช็อปของคณะวิศวกรรมศาสตร์กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มกับผู้หญิงอีกคนที่ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตลอด ไม่ใช่พี่พิมพ์ใจที่คนลือว่าคบกันแต่เป็นพี่ฟ้า คนที่เรียบร้อยและนิสัยดีที่สุดในกลุ่ม
“พูดมาสิว่าเธอรู้สึกยังไง แล้วฉันจะยอมทำในสิ่งที่เธอขอ”
เพราะตรงนี้ไม่มีคนอยู่เลยทำให้ฉันได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดชัดเจน แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดนั้นคือภาพที่มันบาดตาและบาดลึกจนถึงหัวใจ ฉันไม่รู้หรอกว่าระหว่างฉันกับพี่ฟ้าใครคือคนที่โดนหลอก หรือมีแค่ฉันที่ไร้ตัวตนอยู่คนเดียว
แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนมันก็เจ็บปวดทั้งนั้น
เคร้ง!
เพราะฉันไม่ระวังถอยหลังชนกับแจกันใบใหญ่จนมันล้มลงกับพื้น ทำให้สองคนนั้นตกใจจนต้องหันมามอง ฉันรีบหันหลังกลับแล้ววิ่งออกมาด้วยหัวใจที่เต้นถี่รัว น้ำตาหยดหนึ่งร่วงแหมะลงมาจากขอบตาก่อนที่มันจะไหลตามกันออกมาเป็นทาง พร้อมๆ กับความรู้สึกเจ็บจี๊ดที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก
ฉันรีบหลบเข้าไปตรงทางเข้าห้องน้ำ ก่อนที่ใครจะมาเป็นสภาพของตัวเอง ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับตัวเองแบบไหนก่อนเพราะฉันไม่คิดว่าจะมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
ไม่รู้ว่าเมื่อกี้พวกเขาจะเห็นหรือเปล่า แต่ฉันไม่อยากให้เห็นเลย ไม่อยากให้ใครเห็นว่าฉันกำลังเจ็บปวด มันน่าสมเพชจะตายไป
“พี่ดรีม มาทำอะไรตรงนี้” เสียงของเบลล์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง น้องกำลังเดินออกมาจากห้องน้ำหญิงเอ่ยถามขึ้น “ร้องไห้ทำไมพี่”
ฉันรีบหลบหน้าน้องรหัสแล้วยกหลังมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มอย่างลวกๆ ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
“พี่ปวดท้องน่ะเบลล์” ฉันว่าแล้วก็หันไปหาน้องรหัส “เราออกมาตอนไหน”
“ก็พี่ดรีมทิ้งเบลล์นั่งกับพี่ตั้ว เบลล์ทำตัวไม่ถูกเลยขอตัวมาเข้าห้องน้ำด้วย” น้องบอกแล้วมุ่นคิ้วมองฉัน “พี่ดรีมไหวไหม ถ้าพี่ดรีมกับเบลล์ก็จะกลับนะ แต่ก็สงสารพี่ตั้วอุตส่าห์พาเราเลี้ยง”
“ไหว พี่ขอจัดการตัวเองแป๊บ” ฉันว่าแล้วก็เบี่ยงตัวเดินเข้ามาในห้องน้ำ ล้างหน้าล้างตาให้รู้สึกดีขึ้นแล้วจึงพาน้องกลับไปนั่งที่เดิม
เราใช้เวลาทานข้าวและคุยกันจนถึงสามทุ่มก็กลับ โดยมีพี่ตั้วอาสาไปส่งเราทั้งคู่ เขาแวะส่งเบลล์ที่อยู่หอหน้ามหา’ ลัยก่อนจะขับไปส่งฉันที่อยู่ฝั่งด้านหลังมหา’ลัย
“มีปัญหาอะไรก็คุยกับพี่ได้นะ” พี่ตั้วเอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ เพราะฉันมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนลืมที่จะคุยกับคนข้างๆ “ถ้าช่วยได้พี่พร้อมช่วย ถ้าช่วยอะไรไม่ได้พี่ก็จะเป็นที่ระบายให้”
ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นแต่มันอาจเป็นเพราะความทุกข์ใจที่แสดงออกมาทางสีหน้าของฉันตอนนี้ล่ะมั้ง
“ค่ะ”
“อกหักเหรอ” พี่ตั้วเอียงหน้ามาถามตอนที่รถกำลังติดสัญญาณไฟแดงยาวเหยียดหลายสิบคัน ทั้งที่ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสี่ทุ่มแล้ว
“เปล่าสักหน่อย ไม่มีแฟนจะอกหักได้ยังไง” ฉันตอบแล้วยิ้มออกมาเพื่อไม่ให้อีกคนกังวลใจ
“ที่พูดเมื่อกี้พี่ล้อเล่นนะ เราน่ารักจะตาย พี่แค่แหย่เล่น” เขาไม่พูดเปล่าแต่ยกมือหนาขึ้นมาวางบนศีรษะทุยก่อนจะขยี้ผมฉันจนยุ่งเหยิง “พี่รู้ว่ามีคนชอบเราเยอะด้วย”
“พูดจริงหรือเอาใจ” ฉันเหล่ตามองพี่ตั้วที่กลับคำพูดของตัวเอง เมื่อกี้ยังดูถูกฉันอยู่เลย เห็นฉันทำหน้าบูดคงคิดว่าโกรธเรื่องนี้แน่ๆ
“จริง คนชื่อก้องรัฐศาสตร์ที่เคยทักเราไปก็เพื่อนพี่ แต่มันบอกว่าเราไม่คุยด้วย” พี่ตั้วทำหน้าจริงจังเหมือนกลัวว่าฉันจะไม่เชื่อคำพูดของเขา
“หืม คนไหน” ฉันคิดทบทวนถึงคนที่พี่รหัสเอ่ยชื่อออกมา แต่ก็นึกไม่ออก
“ชื่อเฟสเป็นชื่อภาษาอังกฤษว่า…ไง”
“ออ…” พอเขาเอ่ยชื่อออกมาฉันถึงนึกได้ว่ามันคุ้นอยู่เหมือนกัน ผู้ชายคนนั้นเคยทักมาคุยด้วยจริงๆ แล้วฉันก็เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังไม่ได้ตอบแชทเขา มันน่าจะผ่านมาเดือนกว่าแล้วถ้าจำไม่ผิด
“มันบอกว่าเราขอตัวไปกินข้าว เดือนกว่าแล้วเรายังกินข้าวไม่อิ่มเลย” พี่ตั้วพูดจบเล่นเอาฉันหลุดหัวเราะออกมา ไม่รู้หรอกว่ารุ่นพี่คนนั้นพูดจริงไหม แต่ก็ทำฉันรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย
“กินอิ่มแล้วแต่ดรีมมัวดูซีรี่ย์จนลืมตอบ” ฉันตอบไปตามตรง ถึงแม้จะดูใจร้ายไปหน่อย แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อมันผ่านมาเดือนกว่าแล้วเขาก็คงคิดว่าฉันไม่สนใจจะคุยไปแล้ว และเห็นเป็นเรื่องตลกในชีวิต
“โหดร้ายเกินไปแล้ว”
“ฝากขอโทษพี่เขาด้วยนะคะ ฮ่าๆ ดรีมไม่ได้ตั้งใจ” ฉันหัวเราะและยิ้มกว้างทำให้พี่รหัสยิ้มตอบกลับมา
เราชวนกันคุยเรื่อยเปื่อยระหว่างที่รอรถติดอยู่นานจนกระทั่งเขาขับมาจอดหน้าหอ
“ถึงแล้ว ขอบคุณพี่ตั้วมากๆ ค่ะที่พาไปเลี้ยง โอกาสหน้าชวนอีกนะคะ” ฉันรีบยกมือไหวแล้วส่งยิ้มให้อีกทีแต่เขากลับส่ายหน้าไปมาใส่ฉัน
“กินเยอะแบบนี้ปีละครั้งพอ”
ฉันหัวเราะลั่นแล้วรีบลงจากรถ โบกมือให้เขาอีกทีก่อนจะเดินเข้าหอ ใจจริงยังไม่อยากกลับมาอยู่ห้องคนเดียวเลย กลัวจะต้องมานั่งคิดอะไรไม่เข้าท่า แต่เวลานี้ยัยธัญญ่าก็ดันไปเที่ยวกับเพื่อนในสาขาอีก จะหนีไปไหนได้ล่ะ
ฉันเดินไปคืนกุญแจสำรองให้กับพี่จูนเพราะไปปั๊มตัวใหม่มาแล้ว ก่อนจะขึ้นมาบนห้องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์แบบนี้มันต้องไปนั่งดื่มย้อมใจหรือเปล่านะ แต่เพื่อนดันไม่ว่างสักคน เพื่อนที่สนิทในคณะก็พากันกลับบ้านช่วงวันหยุดหมด
ฉันค่อยๆ เปิดประตูห้องของตัวเองที่จำได้ว่าปิดไฟทุกดวงแล้ว แต่เหตุการณ์มันเหมือนเมื่อคืนไม่มีผิดเพราะตอนนี้ไฟในห้องถูกใครบางคนเปิดจนสว่างทั่วทุกดวง และตอนนี้เขาคนนั้นกำลังนั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่บนเก้าอี้ทำงานของฉัน ก่อนจะพูดขึ้นเมื่อหันมาเจอประตูเปิดเข้าไป
“สี่ทุ่มห้านาที” เขามองนาฬิกาข้อมือของตัวเองที่ทิ้งไว้ในห้องของฉันเมื่ออาทิตย์ก่อน “แถมยังให้ผู้ชายมาส่ง”
ฉันพูดอะไรไม่ออก ภาพที่เขายืนจูบกับผู้หญิงคนอื่นฉายเข้ามาในหัวซ้ำไปซ้ำมา แต่ตอนนี้ชุดที่เขาใส่ไม่ใช่ชุดเดิม เสื้อเปลี่ยนจากเสื้อคณะเป็นเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีดำ ส่วนกางเกงนั้นฉันจำรายละเอียดไม่ได้
“เข้าห้องคนอื่นแบบนี้มันไม่มีมารยาทนะรู้ไหม”
ฉันรวบรวมความกล้าและความโกรธที่สะสมอยู่เต็มอกตอนที่เห็นเขาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้แล้วพูดออกไป
“เอากุญแจห้องคืนมา แล้วก็ออกไปให้พ้น ดรีมไม่ใช่ของเล่นให้พี่มาทำแบบนี้”
เขาไม่พูดแต่หันมาตวัดสายตามองฉันด้วยสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวนั่นแล้วเดินดุ่มๆ มาถีบประตูปิดเสียงดัง การกระทำที่รุนแรงของเขาทำเอาฉันตกใจจนต้องถอยหนีไปหนึ่งก้าว
ดวงตาคมมองฉันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ฝ่ามือหนากระชากข้อมือของฉันเข้าหาอย่างแรงจนเสียหลักเซเข้าไปกระแทกกับแผงอกกว้างของเขาก่อนจะถูกรวบเอวเอาไว้แน่น
“รู้ไหมว่าเธอกำลังสั่งใคร!”