หลังจากผ่านพ้นการประชุมไตรมาสแรกของบริษัทไปได้สิบนาที โดยมีบอสใหญ่แห่งพนาวัณกรุ๊ป ลุกขึ้นยืนเพื่อเป็นการให้เกียรติแก่พนักงานทุกคนในห้องประชุมใหญ่...
ธีรวัณ ขันติราช ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งบิ๊กบอสใหญ่สุดของ พณาวัณกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทส่งออกเนื้อสัตว์รายสำคัญของประเทศ เขาจัดเป็นชายหนุ่มคลื่นลูกใหม่อีกคนที่กำลังถูกจับตามองในแวดวงสังคมด้านธุรกิจส่งออกเนื้อสัตว์ อาจด้วยพื้นฐานทางด้านครอบครัวบวกกับลักษณะนิสัยส่วนตัวเป็นคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อกับทุกคนรอบกายโดยไม่คิดแบ่งชนชั้นวรรณะ สูง หรือ ต่ำ ธีรวันจึงเป็นขวัญใจของมหาชนได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาลูกน้องของตัวเองในบริษัท ธีรวันถูกยกย่องให้เป็นเจ้านายดีเด่นเลยก็ว่าได้
เขาเป็นชายหนุ่มอารมณ์ดี มักมีข้อคิดในการใช้ชีวิตยอดเยี่ยมมาคอยสอนลูกน้องของตนอยู่บ่อยครั้ง และหนึ่งในนั้นก็คือมนต์รสาเอง
ธีรวันยังมองทุกอย่างรอบกายไปในทิศทางบวกมากกว่าในแง่ลบ จึงส่งผลให้เขาประสบความสำเร็จในด้านธุรกิจตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีดีด้วยซ้ำ และนี่ก็เป็นอีกครั้งในรอบหลายปี ที่ทำให้เขาต้องลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มขอบคุณ เป็นการให้เกียรติพนักงานของเขาทุกคนในห้องประชุม
ชายหนุ่มลุกขึ้นกล่าวคำขอบคุณแก่พนักงานทุกคน ซึ่งได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานเพื่อบริษัทกันอย่างเต็มที่มาโดยตลอด ใบหน้าขาวสะอาดเพราะมีเชื้อสายจีนผสมอยู่ครึ่งตัวระบายยิ้มสดใสแจกไปทั่วทั้งห้องประชุม บริษัทของเขาจะไม่ได้ผลกำไรที่เกินเป้าหมายเลย ถ้าหากเขาไม่ได้พนักงานเหล่านี้ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยฝ่าฟันอุปสรรคที่มีเข้ามาทดสอบกันอยู่เรื่อยๆ เมื่อทุกฝ่ายต่างทำงานร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว ความสำเร็จจึงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เมื่อครึ่งปีนี้บริษัทของเขาทำกำไรได้เกินเป้าที่ตั้งเอาไว้มากพอสมควร และแน่นอน ทุกแรงกายแรงใจในที่นี้ ทุกคนต่างได้รับผลตอบแทนกันคุ้มค่าเหนื่อย จนต้องยิ้มแก้มปริกันท้วนทั่วกันไปเลยนั่นเอง...
“ยิ้มจนเหงือกแห้งแล้วแก หุบๆบ้างก็ได้นะ หรือกลัวใครเขาไม่รู้ว่าแกมันขี้งกจนเกลือยังเรียกพี่...” มาร์เก็ตติ้งสาวสวยประจำบริษัท ยกข้อซอกกระทุ้งแขนเพื่อนสนิทเพื่อหยอกเย้า อารมณ์ทุกคนในห้องนี้ไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่นักหรอก ต่างปลาบปลื้มใจกับผลตอบแทนซึ่งกำลังจะได้รับสิ้นเดือนนี้กันท้วนหน้า
“หรือแกไม่ดีใจกับโบนัสก้อนแรกที่จะได้รับล่ะยายขจี ได้กระเป๋าแบรนด์เนมของชอบแกหลายใบเลยนะนั่นน่ะ...”
คนถูกกล่าวหาว่าเค็มย้อนถาม รอยยิ้มบนใบหน้าขาวลออแต่ดูซีดหน่อยๆยังไม่จางหายไปไหน แม้ว่าเมื่อคืนเธอจะผ่านเรื่องราวเลวร้ายที่สุดในชีวิตมาก็ตาม แต่ทว่าเธอจะไม่ยอมให้ความเลวร้ายที่ถูกคนไร้หัวใจยัดเหยียดให้นั้นมาทำลายชีวิตอันสุขสงบของเธอลงได้ ถ้าเขาต้องการเห็นเธอทุกข์ใจกับเรื่องชั่วๆของเขา บอกเอาไว้เลยว่าเขาจะต้องพบกับความผิดหวังอย่างแน่นอน
เมื่อเช้าตอนเธอตื่นขึ้นมาอาการปวดเมื่อยไปทั้งตัวยังคงเล่นงานเธอจนต้องค่อยๆขยับเดินช้าๆเพื่อทำธุระส่วนตัว มันรู้สึกคั่นเนื้อคั่นตัว หนักศีรษะจนต้องหายาลดไข้กินดักรออาการเอาไว้ก่อน ดีที่วันนี้ได้ขจีขับรถไปรับถึงหน้าปากซอย อาการดั่งกล่าวเลยไม่หนักหนาอะไรมาก กะว่าหลังเสร็จจากการประชุมเมื่อไหร่ เธอค่อยหายาลดไขกินเพิ่มอีกสักชุด อีกเดี๋ยวคงหายเป็นปกติดี
“ดีใจสิย่ะ ใครบ้างจะไม่ดีใจก็ฉันจะได้กระเป๋าแบรนด์เนมใบใหม่รุ่นล้าสุดเอามาเปลี่ยนใบเก่าใบนี้ซะที ดูสิฉันใช้จนสีมันซีดไปหมดแล้วเนี่ยแกก็เห็น...”
ขจียื่นปากกระซิบข้างหูตอบเพื่อนก่อนจะตบลงบนกระเป๋าข้างๆตัวเองยืนยันให้เพื่อนดู แต่ยังไม่วายเงยหน้าเก๋ขึ้นไปทางเจ้านายหนุ่ม เพื่อส่งสายตาหวานเยิ้มเกินพอดีให้กับเจ้านายหนุ่มสุดหล่อ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ทั้งหล่อทั้งใจดี ขจีอยากได้ อยากได้ เฮ้อ!แต่ติดตรงที่บอสสุดหล่อของเธอดันมีหวานใจเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วน่ะสิ สาวๆบริษัทนี้จึงต้องรับประทานแห้วกันเป็นทิวแถวไปโดยปริยาย
“น้อยๆหน่อยเถอะแม่ขจีสีฉูดฉาด นั่นมันเจ้านายของพวกเราทุกคนย่ะ เป็นของส่วนรวม แกจะมาทำท่าเคลิ้มฝันเอาไปเป็นของตัวเองคนเดียวไม่ได้ ที่สำคัญ ฉันจะฟ้องคุณฝนทิพย์ว่าแกจ้องจะงาบกินเจ้านายตาเป็นมัน...”
“ตบปากเดี๋ยวนี้เลยรสา แหม่...นิดๆหน่อยน่า คิดว่าขำๆก็แล้วกันเน่อะ... ” ขจียักคิ้วให้เพื่อนพร้อมกับยิ้มเต็มหน้า เพราะต่างรู้กันดีคุณฝนทิพย์คนรักของเจ้านายทั้งสวยทั้งเก่งขนาดไหน
“ว่าแต่แกเหอะ อาการไข้เป็นไงบ้าง มันหายดีแล้วหรือยัง ถ้ายังหลังเลิกประชุมแกก็ลาบอสกลับบ้านเลยสิ งานช่วงบ่ายไม่มีอะไรแล้วนี่นา”
“มันก็ดีๆหายๆ แต่ช่างเถอะ ฉันยังไม่อยากกลับบ้านตอนนี้ คืนนี้ฉันขอไปนอนค้างคอนโดกับแกดีกว่า ฉันเหงาวะ...” มนต์รสาถอนใจอย่างเซ็งๆ เธอไม่ได้เหงาแต่เธอกลัวกลับไปเจอกับอิศรามากกว่า
เธอพยายามไม่จดจำเรื่องอัปยศอดสูใจเมื่อคืนให้รกสมองจนพลอยทำให้ใจเกิดเป็นทุกข์ตามไปด้วย ถึงเธอจะไม่ใช่ผู้หญิงหัวสมัยใหม่จ๋าไอ้ประเภทวันไนท์สแตนด์ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว สิ่งเดียวที่เธอต้องทำ และต้องทำให้ได้ นั่นก็คือทำใจแล้วยอมรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกอย่างในตัวเธอตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วก็จริง แต่คุณค่าในความเป็นคนของเธอมันยังอยู่คงเดิมไม่ได้ลดหายไปไหนเสียหน่อย
เธอก็เหมือนกับหญิงสาวทั่วๆไป อยากจะมีช่วงเวลาสวยงามกับชายหนุ่มที่ตนเองรักแล้วเขาก็รักเรา ได้ใช้ชีวิตร่วมกันเป็นครอบครัวอบอุ่นมีอนาคตสดใสร่วมกัน แต่จะให้เธอทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อผู้ชายคนนั้นมันไม่มีอยู่จริง เธอสูญเสียของสิ่งสวยงามให้กับผู้ชายที่ไม่รู้จักคุณค่า แล้วจะให้เธอไปร้องแรกแหกกระเชอให้เขามารับผิดชอบ เธอคนหนึ่งที่ไม่คิดจะทำ เพราะรู้มันเป็นไปไม่ได้ อิศราถือตัวมากขนาดไหนเธอรู้จักเขาดี ถึงได้แต่คอยวิ่งหนีเขาทุกครั้งมาโดยตลอดแบบนี้ไง
อีกอย่างนี่คือโลกของเธอ จะสุขหรือทุกข์เธอขอเป็นคนเลือกมันด้วยตัวเองจะดีกว่า กับการที่คนสองคนไม่ได้มีความรักให้กันและกันเป็นพื้นฐาน ถึงเธอไปเรียกร้องให้เขามารับผิดชอบแล้วสุดท้ายได้อยู่กินกันเป็นครอบครัวได้ เชื่อเถอะ...ว่าต่างคนต่างก็ไม่มีความสุขอยู่ดี ตอนนี้เธอมีความสุขกับงานกับความเป็นอยู่ในชีวิตที่ดีมากพออยู่แล้ว เรื่องอะไรที่เธอจะต้องไปคว้าเอาความทุกข์มาใส่หัวตัวเอง ถ้าจะใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่าไม่เสียชาติเกิด มันต้องรู้จักใช้อย่างไรแล้วทำให้ตัวเองพบกับความสุขมากกว่าความทุกข์ มันเป็นคำสอนคำหนึ่งที่คุณย่าเธอได้สอนเธอเอาไว้นั่นเอง...
“ได้สิเพื่อนรัก...งั้นเย็นนี้หลังเลิกงานเราไปหาของอร่อยๆในห้างกินกันดีกว่า ถือเป็นการเลี้ยงฉลองโบนัสสิ้นเดือนนี้ไง เดี๋ยวฉันเลี้ยงแกเองก็ได้...” ขจีเสนอความคิดขึ้นอย่างใจปล้ำ
“เยี่ยม...เย็นนี้เจอกันแก” พอได้ยินคำว่าเลี้ยง มนต์รสาฉีกยิ้มกว้าง อาการตัวรุมๆเพราะพิษไข้นั้นหายดีเป็นปลิดทิ้ง เพียงแค่คำว่าเดี๋ยวฉันเลี้ยงเองของเพื่อนสาว เรื่องของฟรีมนต์รสาไม่เคยปฏิเสธอยู่แล้ว
“อะไรกันแกสองคน สรุปจะไม่มีใครเห็นหัวเพื่อนคนนี้เลยใช่ไหมฮะ...”
ปกรณ์หนุ่มหน้าใสแต่จิตใจอ่อนหวานมุ้งมิ้ง เดินหน้ามุ่ยมาหยุดยืนตรงหน้าเพื่อนสาวทั้งสองคนแล้วยกมือขึ้นเท้าสะเอว ส่งค้อนตาหลับตาเหลือกไปให้ เขาแค่มาสายกว่าแม่สองคนนี้ไปนิดเดียว จนต้องระเห็จไปนั่งตรงเก้าอี้ด้านหลัง ดีนะที่เดินมาทันได้ยินแม่สองคนนี้กำลังนัดแนะชวนกันออกไปหาของอร่อยหลังเลิกงานกินกัน โดยไม่ยอมชวนตัวเองสักคำเดียว
“ว่าไงยะตอบมา...แกสองคนไม่คิดจะชวนฉันไปด้วยหรือไง อีชะนีใจดำ” ปกรณ์ชี้นิ้วมาทางสองเพื่อนสาว
“ก็จะชวนอยู่นี่ไง แล้วใครใช้ให้แกมาสายจนต้องระเห็จตัวเองไปนั่งเก้าอี้ตรงฝั่งนั้นกันล่ะ...” ขจีย้อนให้ยิ้มๆ
“เออ...ก็มัวแต่ล่ำลาเด็กนานไปหน่อยนึงเอง ใครจะไปตรัสรู้ว่ารถไฟฟ้ามันจะดันมาขัดข้องเอาอีวันนี้ แต่ก็ชดเชยด้วยข่าวดีๆกับเงินก้อนหนาขึ้น มันก็โอเคนะ...” ชายหนุ่มหน้าใสสไตล์หนุ่มเกาหลียกไหลขึ้นเก๋ไก๋
“ว่าแต่แกเลี้ยงจริงๆนะยายจี...” ปกรณ์เท้าแขนจ้องหน้าเพื่อนสาวผู้บ้าคลั่งของแบรน์เนมเป็นชีวิตจิตใจเพื่อขอคำยืนยัน
“ก็เออนะสิ หรือแกเปลี่ยนใจอยากจะเลี้ยงแทนพวกฉันแทน ฉันโอเคนะ สปอยเพื่อนสุดๆนั่นเป็นนิสัยประจำของฉันแกอยู่แล้วอย่าลืมสิ”
“อีบ้า...โนจ้ะ แกเลี้ยงน่ะดีแล้ว จริงไหมรสา ว่าแต่ทำไมวันนี้หน้าแกดูหน้าซีดๆจังอ่ะ ไม่สบายเป็นอะไรหรือเปล่า” ชายหนุ่มหน้าใสตำแหน่งไอทีของบริษัทเปลี่ยนทิศทางชะโงกหน้าเข้าไปสำรวจใกล้ชิดคนหน้าซีดอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้
ชายหนุ่มยกมือขึ้นแตะหน้าผากเพื่อนเพื่อวัดอุณหภูมิ...
“ตัวอุ่นๆนะเนี่ยแก...”
“เป็นไข้นิดหน่อยเอง แต่ก็ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้วแหละ ฉันว่าพวกเราออกไปทำงานกันก่อนดีกว่า แล้วเย็นนี้ค่อยนัดเจอกันที่เดิม ส่วนจะไปกินอะไรเอาไว้ค่อยว่ากันอีกที” มนต์รสาเป็นคนพูดตัดบท เมื่อเห็นเหล่าบรรดาเพื่อนคนอื่นๆเริ่มทยอยกันออกจากห้องประชุมกันไปบ้างแล้ว
“อืม...ตกลงตามนี้...” ปกรณ์พยักหน้าเมื่อเห็นเพื่อนสาวไม่ได้เป็นอะไรมากอย่างที่เพื่อนบอก
“รสา...ออกไปแล้วก็อย่าลืมกินยาลดไข้อีกสักชุดล่ะ ไข้จะได้ไม่ขึ้นอีก...พวกฉันห่วงแกนะโว้ย”
ขจีลุกขึ้นก่อนเป็นคนแรกพรางเดินเข้าไปตบบ่าเพื่อนสาวด้วยความห่วงใย เธอกับมนต์รสา คบกันมาตั้งแต่เรียนมหาลัยปีหนึ่งด้วยกัน จวบจนกระทั่งปัจจุบันก็ยังทำงานที่เดียวกันอีก ความรักความผูกพันจึงมีให้กันยิ่งกว่าซี้ย่ำปึ๊ก ส่วนปกรณ์มารู้จักกันทีหลัง แต่ความสนิทสนมนั้นไม่ต้องพูดถึงแทบจะกินนอนไปไหนไปกันตลอดเวลาก็ว่าได้...
“ค่า...ไปกันเถอะพวกเรา...” มนต์รสาขานรับเสียงยานคานควงแขนทั้งปกรณ์และขจีพากันเดินออกไปจากห้องประชุม
นี่ไงความสุขของเธอ มีงานดี เพื่อนร่วมงานดี ไหนจะหาสุขได้เท่านี้อีกแล้ว...
************************