ตอนที่ 1
เสียงรองเท้าส้นสูงกระทบกับพื้น ดังกรึกกรักตามจังหวะการเดินของหญิงสาวร่างระหง เสียงที่ดังอยู่นั้นดังถี่กระชั้น เพราะสาวเจ้าเริ่มเดินเร็วขึ้น กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เพื่อให้ทันการประชุมที่จะเริ่มต้นภายในอีกห้านาทีข้างหน้า ซึ่งตัวเธอเองนั้น เป็นคนนัดหมายในเช้าของวันจันทร์ วันเริ่มงานของมนุษย์เงินเดือนทั้งหลายที่แสนจะน่าเบื่อหน่ายกับวันเริ่มต้นการทำงานของสัปดาห์
เสียงพูดคุยในห้องประชุมนั้น เป็นเสียงบ่นพึมพำเสียมากกว่า เพราะการนัดประชุมเป็นการนัดในตอนเช้าก่อนเวลาเข้างาน ซึ่งปกติจะเป็นเวลาเพื่อเตรียมตัวกับการทำงานที่กำลังจะเริ่มขึ้น หรือเป็นช่วงเวลาของการรับประทานอาหารเช้า ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจนักที่ส่วนใหญ่จะบ่นพึมพำกันไปต่างๆ นานา แต่บางคนก็เลือกที่จะนั่งเงียบๆ เสียมากกว่า ถึงบ่นไปก็ทำอะไรไม่ได้ในเมื่อเป็นคำสั่งของเจ้านาย แถมยังเป็นเจ้าของโรงแรมอีกเสียด้วย
เสียงเคาะประตูดังขึ้น หญิงสาวร่างระหงเปิดประตูเข้ามา ทำให้เสียงบ่นพึมพำเงียบลงในทันที มีเพียงรอยยิ้มให้กับสาวสวยที่กำลังเดินเข้ามา
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่นัดประชุมแต่เช้า และก่อนเวลาเข้างานปกติ”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพระพาย” เสียงของผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงของโรงแรมในฐานที่อาวุโสสุดในห้องประชุมพูดขึ้น
“ขอบคุณค่ะ”
พระพาย ชื่อของเธอนั้นเหมือนผู้ชายเสียมากกว่า เพราะหากคนไม่เคยรู้จักเธอมากก่อนและได้ยินพูดถึงเรื่องการทำงาน การบริหารโรงแรมใหญ่ยักษ์กลางเมืองเช่นนี้ ใครๆ คงคิดว่า เป็นชายหนุ่มที่ดูฉลาดแหลมคม แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้จักเธอในฐานะนักธุรกิจสาวที่ค่อนข้างจะชอบออกงานสังคม ซึ่งนั่น คือ ความคิดของคนทั่วๆ ไปที่ได้เห็นเธอตามสื่อต่างๆ ถือได้ว่าเป็นสาวเปรี้ยวคนหนึ่งในวงสังคมไฮโซก็ว่าได้
“คุณไต้ฝุ่น ลืมทานอาหารเช้านะคะ” เสียงของหญิงสาววัยกลางคนดังขึ้น ในขณะที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารเล่มสุดท้ายที่วางอยู่ตรงหน้า
“ไม่ได้ลืมค่ะ ว่าเดี๋ยวเซ็นเอกสารแฟ้มนี้เสร็จแล้ว จะทานค่ะ อย่าเพิ่งดุเลยนะคะ” พระพายพูดอ้อนหญิงวัยกลางคนที่ยิ้มๆ และ
ส่ายหน้ากับคนที่ขยันทำงานเสียจนบางทีไม่ทานอะไรเลยทั้งวันก็เคย
“ยังไม่ได้ดุอะไรเลย แต่อาหารเย็นชืดหมดแล้ว เดี๋ยวกุลให้คนเอาขึ้น มาให้ใหม่ดีกว่านะคะ” กุลธิดายกโทรศัพท์ขึ้นมา เพื่อจะโทรสั่งอาหาร แต่ก็ได้ รับการห้ามไว้ ด้วยการส่ายหน้าของคนที่กำลังจ้องมองมา
“ทานได้ค่ะ ฝุ่นไม่ได้เรื่องมากขนาดนั้นนะคะ เห็นเป็นเด็กเล็กๆ ตลอดเลย โตนานแล้วค่ะ คุณพระพี่เลี้ยง” พระพายหัวเราะคิกคักเดินไปกอดกุลธิดาที่โอบกอดตอบเอาไว้อย่างหลวมๆ
“ต้องให้เตือน แม้กระทั่งเรื่องทานอาหาร โตเสียที่ไหนกันคะ น่าตีไหมล่ะ ไม่สบายไปจะลำบาก ไม่มีใครขยันเหมือนคุณไต้ฝุ่นหรอกนะคะ”
“มีพี่กุลดูแลอยู่นี่ไงคะ จะกลัวอะไร ขอบคุณนะคะ ที่ดูแลมาอย่างดี เป็นทั้งพี่เลี้ยง ตอนนี้ยังมาเป็นคุณเลขาช่วยทำงานอีก” พระพายยิ้มๆ เดินไปทานอาหาร ซึ่งถูกจัดเตรียมไว้ให้ตั้งแต่สองชั่วโมงที่แล้ว แต่ก็ทานด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยคงเพราะด้วยความหิว
“อีกหน่อยมีครอบครัวแล้ว พี่คงตามไปดูแลไม่ไหว”
“ไปช่วยเลี้ยงหลานสิคะ พี่กุลจะทิ้งฝุ่นจริงๆ หรือ ถ้าเกิดแต่งงานมีครอบครัวไป” พระพายวางช้อนส้อม แล้วหันมาจ้องมองกุลธิดาที่ยิ้มจางๆ กับคนที่กำลังจ้องมองมา
“เลี้ยงเองดีกว่าค่ะ คุณไต้ฝุ่นดูแลลูกได้ดีแน่ กุลเชื่ออย่างนั้นนะคะ”
“ใจร้ายอ่ะ พี่กุล งอนแล้ว อิ่มแล้วค่ะ ไปเดินย่อยที่ชั้นล่างก่อนนะคะ เดี๋ยวกลับมางอแงใหม่” พระพายพูดจบ ก็วิ่งปรืดเป็นเด็กๆ ออกประตูไป แต่พอพ้นประตูห้องทำงาน ก็กลับเป็นนักธุรกิจสาวที่มีท่าทางสง่าดุจนางพญาหงส์ ในทันที กุลธิดานั่งยิ้มกับความน่ารักของคนที่เธอได้ดูแลมาตั้งแต่เด็ก
“หรือ กุลคิดผิดไปคะ” กุลธิดาอมยิ้ม เดินมาหยิบแฟ้มงานที่พระพายทำเสร็จเรียบร้อย รวบรวมและจัดวางให้เป็นระเบียบ เพื่อที่พนักงานจะได้ขึ้นมาหยิบไปจัดการสะสางต่อได้สะดวก
พระพายลงมาเดินสำรวจชั้นล่าง รวมถึงบริเวณโดยรอบของสระว่ายน้ำและสวนที่มีต้นไม้ร่มรื่นของโรงแรม เป็นช่วงเวลาที่ถือได้ว่า เป็นการพักผ่อนสมองช่วงหนึ่งของวันทำงาน ถึงแม้จะเป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว แต่ด้วยพื้นที่โดย รอบบริเวณนี้มีต้นไม้ยืนต้น และที่เพิ่งปลูกใหม่จำนวนไม่น้อย ทำให้สวนของโรงแรมแห่งนี้ร่มรื่นและมีลมพัดเย็นสบายตลอดวัน
“เออ เคยเจอเจ้าของโรงแรมบ้างยัง เห็นเขาว่ากันว่า ตัวจริงสวยมากนะ แก” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นบริเวณส่วนที่เป็นห้องน้ำหญิง
“เคยสิ หยิ่งจะตาย เคยไปทำข่าวที่งานก็เจอบ้าง ก็งั้นๆ นะ ไอ้เขาที่ว่ากันน่ะ เขาไหน เชื่อไม่ได้นะ ชั้นว่า” คนที่พูดหัวเราะคิกคัก ซึ่งเพื่อนก็ยิ้มๆ เพราะรู้ดีว่า ถ้าแม่คนนี้ไม่ชอบใครขึ้นมา ก็อย่าได้ไปพูดว่าดีอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะนางไม่เคยจะเชื่อคำพูดใคร นอกเสียจากว่า จะได้สัมผัสด้วยตัวเอง
“งั้นคงต้องปิดประเด็น แต่แกก็เกินไปนะ แค่เจอกัน ยังไม่รู้จัก ก็ไม่ชอบขี้หน้าแบบนี้ ไม่เห็นจะเคยเป็น แล้วทำไมกับคุณพระพายถึงได้พูดถึงเหมือนไม่อยากพบปะอะไรแบบนี้” เป็นคำถามด้วยความสงสัย เพราะน้อยคนนักที่จะได้รับการพูดถึงแบบไม่ค่อยชอบหน้าอย่างเช่นเจ้าของโรงแรมยักษ์ใหญ่แห่งนี้
“หูย อย่าไปพูดถึงเลยแก ออกงานไฮโซเชิดขนาดนั้น นักข่าวต๊อกต๋อยอย่างฉันน่ะ เขาไม่มองหรอก ไปหิวแล้ว อยากเลี้ยงข้าวเพื่อนก็ไวๆ หน่อย มีงานต่อ” เสียงหัวเราะของสองสาวดังขึ้น และกำลังเดินออกไป โดยไม่รู้เลยว่า คนที่เธอทั้งสองกำลังพูดถึงนั้น อยู่ในห้องน้ำอีกห้องหนึ่ง และได้ยินบทสนทนา ที่พาดพิงถึงอย่างชัดเจน พระพายส่ายหน้ากับสิ่งที่ได้ยิน แต่ไม่ได้นึกโกรธเคืองอะไร เพราะสองคนที่ว่านั้น ไม่ใช่คนรู้จัก หรืออาจจะแทบไม่เคยได้พูดคุยกัน แต่กลับมาคิดทบทวนดูว่า ตัวเองอาจจะเคยทำอะไรให้คนที่พูดถึงเธอนั้นไม่พอ ใจก็ได้ จนทำให้เกิดการพูดพาดพิงถึงไปในทางที่ฟังดูไม่ค่อยดีนัก
ห้องอาหารของโรงแรมมีแขกเข้ามาใช้บริการอยู่พอสมควร มีเสียงการสนทนาพูดคุยกันในหลายๆ เรื่อง พระพายเดินเข้าไปด้านใน พนักงานของโรงแรมทำเพียงแค่ยิ้มทักทาย เพราะได้รับการกำชับจากผู้บริหารว่า ไม่ต้องทัก ทายถึงขนาดต้องพนมมือไหว้ เพราะถ้าขืนเป็นอย่างนั้น มีหวังคงต้องรับไหว้กันทั้งวัน
“ทานกลางวัน หรือยังครับ” ผู้จัดการห้องอาหารของโรงแรมเดินมานั่งลงข้างๆ พระพายที่กำลังยิ้มให้
“เรียบร้อยค่ะ วันนี้แขกเยอะดีนะคะ” พระพายมองไปบริเวณรอบๆ พอ ดีสบตาเข้าผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไป ซึ่งกำลังส่งยิ้มมาให้อย่างเป็นมิตร พระพายยิ้มให้เช่นกัน แต่กับอีกคนที่กำลังหันมานั้น กับสายตาเรียบนิ่งมองมาเพียงเล็กน้อยและไม่มีรอยยิ้มสักนิด
“เสียมารยาทนะคะ คุณนักข่าวสาว เขายิ้มให้ จะยิ้มสักนิดก็ไม่มี”
“เขายิ้มให้แก ไม่ได้ยิ้มให้ชั้น แล้วทำไมชั้นต้องยิ้มตอบด้วยล่ะ” เสียงสนทนาของสองสาวโต๊ะข้างๆ ทำให้พระพายรีบหันกลับไปมองอีกครั้ง
“ยายตัวแสบ” พระพายรำพึงเบาๆ หลังจากที่ผู้จัดการห้องอาหารลุกไปเพื่อจัดเตรียมเครื่องดื่มมาให้
“กาแฟ ครับ”
“ขอบคุณค่ะ รบกวนเอากระดาษโน้ตฉบับนี้ฝากให้สองสาวโต๊ะข้างๆ ด้วยนะคะ ตอนทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ได้ค่ะ” พระพายยื่นกระดาษแผ่นเล็กๆ รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ซึ่งถูกพับครึ่งไว้ให้
“อ๋อ คุณพิมพ์พลอย มาทานอาหารที่นี่บ่อยๆ ครับ เป็นนักข่าวแล้วก็เป็นพิธีกรสาวค่อนข้างจะมีชื่อเสียงอยู่ครับ ผมคิดว่า คุณพระพาย รู้จักเสียอีก”
“ไม่รู้จักหรอกค่ะ อาจจะเคยเจอตามงาน แต่ไม่เคยคุยกัน”
“มาทำงานที่โรงแรมเราก็บ่อยนะครับ”
“ค่ะ อีกหน่อยคงได้รู้จัก ขอบคุณสำหรับกาแฟนะคะ” พระพายเหลือบไปมองผู้หญิงที่ชื่อ พิมพ์พลอยอีกครั้ง ก่อนที่จะออกจากห้องอาหารไป
“คุณพิมพ์พลอยคะ ท่าทางคุณจะไม่ชอบเขาเอามากๆ นะคะ เป็นบ้าอะไรของแก ถึงทำท่าทางจะไม่ยอมญาติดีกับเข้าเอาเลยนะเนี่ย น่าแปลก” ดาริกาพูดขึ้น ด้วยความไม่เข้าใจนัก เพราะปกติแล้ว พิมพ์พลอยไม่เคยที่จะแสดงออกว่าไม่ชอบใครมากมาย
ขนาดนี้
“ก็ไม่มีอะไร อิ่มแล้วล่ะ ไปฉันต้องไปทำงานต่อ แกล่ะดาว จะรอพี่ศศิทีนี่หรือจะไปที่ไหน” พิมพ์พลอยพูดตัดบท เพราะเริ่มรู้สึกเสียมารยาทกับการพูดถึงบุคคลที่สาม
“รอที่นี่ดีกว่า เดี๋ยวโทรศัพท์ไปบอก ฉันไม่ได้เอารถมา”
“เฮ้อ อยากได้อย่างพี่ศศิสักคน หาให้บ้างสิ” พิมพ์พลอยพูดแหย่เพื่อนที่กำลังทำท่าทางถลึงตาใส่
“หยุดคิด ห้ามยุ่งเลยนะ ตัดเพื่อนเลยนะ แก อยู่กับอีตาพี่โจอันหล่อเหลาของแก แต่งงานแต่งการมีลูกไปน่ะ ดีกว่า บ้าหรือเปล่า
มาพูดอยากได้แบบพี่ศศิ” ดาริกาหัวเราะออกมา กับรอยยิ้มกวนๆ ของเพื่อน
“หวงอะดิ ฝากบอกพี่ศศิด้วยนะ ว่าคิดถึงมากมายก่ายกอง ฝากกอดฝากจูบ ฝากลูบคลำด้วยนะ แก” พิมพ์พลอยหัวเราะกับใบหน้าบึ้งตึงนั้น
“ขอโทษครับ พอดีเมื่อสักครู่มีคนฝากข้อความไว้ให้ครับ” พนักงานบริการของโรงแรมยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับพิมพ์พลอยที่รับมาอย่าง งงๆ แต่คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องงาน จึงเปิดแผ่นกระดาษที่พับอยู่นั้นออกอ่าน
“รู้จักกันก่อนไหมคะ ค่อยไม่ชอบหน้ากัน ถ้าอยากรู้จักเชิญที่ห้องได้ค่ะ คุณคงรู้ว่าอยู่ห้องไหน ลงชื่อ พระพาย” ทั้งหมด คือ ข้อความในกระดาษแผ่นนั้น ดาริกาชะเง้อมอง และอ่านข้อความพร้อมด้วยรอยยิ้ม รู้สึกขำ ท่าทาง คุณพระพายก็คงไม่เบา ถ้าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพิมพ์พลอยคงสนุกแน่
“มีทิ้งสาสน์ท้ารบกันแบบนี้ ยอมได้ไง แต่ฝากไว้ก่อน เอาไว้เจอกันโอกาสเหมาะๆ นะคะ คุณพระเพลิง” ดาริกาหลุดขำออกมา เมื่อได้ยินเพื่อนรักของเธอ พูดชื่อของพระพาย เป็นพระเพลิง
“นี่ไงคะ คุณพิมพ์พลอย แบบพี่ศศิที่แกอยากได้ ตอนเจอพี่ศศิใหม่ๆ ก็แซ่บแบบนี้เลย ต่อล้อต่อเถียงกันไปมา จนตกหลุมรักมาถึงทุกวันนี้ ออกแนวตบจูบชอบไหม ฉันเชียร์เลยนะ” ดาริกาหัวเราะกับหน้ามุ่ยๆ ของเพื่อน
“เพื่อนฉัน แต่อยู่ข้างศัตรู ไปดีกว่า แกคอยดูนะ ฉันจะไม่ยอมญาติดีด้วยเลยให้ตายเถอะ”