“ก่อนกลับแวะกินข้าวก่อนไหม พี่อยากกินผัดผักบุ้งไฟแดงหน้าโรงเรียน แต่ไม่รู้ตอนนี้ลุงแกย้ายร้านไปรึยัง” ระหว่างเดินเอาไม้กวาดกับที่โกยขยะมาเก็บพี่ธนินก็พูดขึ้น ฉันนั่งคุยกับแม่ได้พักใหญ่ก็เลยชวนพี่เขากลับเพราะตอนนี้เริ่มมืดแล้ว อีกอย่างก็รู้สึกเกรงใจที่พี่เขาต้องมารอ
“ถ้าหมายถึงร้านลุงแก้วยังอยู่ที่เดิมค่ะ” แกเปิดร้านมามากกว่าห้าสิบปีแล้วตั้งแต่รุ่นปู่ย่า ฉันกับฝนพึ่งไปอุดหนุนมาเมื่อสัปดาห์ก่อน ได้ยินว่ากำลังจะส่งต่อให้ทายาทรุ่นต่อไปเพราะลุงแก้วอายุเยอะยืนนาน ๆ เริ่มไม่ไหว
“ดีเลย งั้นป่ะ” ว่าจบก็เดินนำโดยไม่รอให้ฉันตอบอะไร ทำได้แค่ถอนใจน้อย ๆ แล้วเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งข้างคนขับ
ระยะทางจากวัดกับร้านของลุงแก้วถือว่าไม่ไกลกันมากนัก ถ้ารถไม่ติดก็คงประมาณสิบห้านาทีถึง แต่แปลกที่ตอนนี้ฉันกลับนั่งอยู่บนรถกับพี่ธนินเกือบจะครึ่งชั่วโมงเข้าไปแล้ว ทั้งที่รถบนท้องถนนก็ไม่ได้เยอะแยะอะไร
“อึดอัดเหรอ” พี่ธนินถามขึ้นในจังหวะที่รถติดไฟแดง พี่เขามองมือที่ประสานบนหน้าตักก่อนจะเคลื่อนสายตาขึ้นมามองหน้ากัน
“เปล่าค่ะ” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธทั้งที่อาการก็แสดงชัดว่าอึดอัดอยู่ไม่น้อย
“พี่ขอโทษ พี่น่าจะถามความสมัครใจของหยีก่อน”
“พี่ธนิน หยีไม่ได้อึดอัดจริง ๆ นะ” เห็นสายตารู้สึกผิดที่มองมาแล้วอดไม่ได้ต้องยืนยันว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจ ฉันไม่อยากให้พี่ธนินคิดแบบนั้น
“ถ้าไม่ได้อึดอัดงั้นส่งมือมาให้พี่”
“คะ?”
“พี่จะได้แน่ใจว่าหยีจะไม่แกะเล็บตัวเองอีก” ฉันเป็นพวกเวลาประหม่าชอบแกะเล็บซึ่งพี่ธนินรู้เรื่องนี้ดี “หรือว่าหยีรังเกียจพี่”
“หยีเปล่า” ฉันจะรังเกียจพี่เขาได้ยังไง
“งั้นก็ส่งมือมาครับ” พี่ธนินยื่นมือมาหา ฉันชั่งใจพร้อมมองสัญญาณไฟที่อีกไม่กี่วินาทีจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
“เก่งมากครับ” สุดท้ายฉันก็ยอมส่งมือให้พี่ธนิน พี่เขายิ้มแล้วเอามือฉันวางบนตักเพื่อเข้าเกียร์ หลังจากนั้นถึงได้จับมือฉันอีกรอบแล้วประสาน
“พี่ธนิน...” ความรู้สึกร้อนวูบวาบทำให้ฉันต้องเอ่ยปากเรียกคนที่กำลังไล้ท้องนิ้วลงมาบนหลังมือ
“พี่ต้องใช้สมาธิในการขับรถครับ” ประโยคนั้นหมายความว่าฉันไม่ควรพูดอะไรในตอนนี้ แต่จะไม่ให้พูดได้ยังไงในเมื่อมือฉันอยู่ในอุ้งมือเขา!
กว่าจะหายใจได้โล่งปอดก็ตอนรถจอดหน้าร้านของลุงแก้ว ฉันรีบดึงมือกลับแล้วเปิดประตูลงจากรถทันทีเมื่อรถจอดได้สนิท
“หยีมาอุดหนุนลุงแก้วบ่อยไหม” ระหว่างนั่งรออาหารพี่ธนินก็ชวนคุย เห็นพี่เขาทำตัวปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นฉันเองก็ควรจะทำบ้าง
“เมื่อก่อนบ่อยค่ะ แต่พอเข้ามหา’ลัยก็มาบ้างไม่มาบ้าง” อย่างที่บอกว่าตอนนี้ฉันย้ายไปอยู่คอนโด การจะกลับมาทานข้าวร้านใกล้บ้านเลยไม่ค่อยมีโอกาส
“พี่คิดถึง” คำว่าคิดถึงมาพร้อมสายตาที่ไม่ยอมละออกจากใบหน้าฉัน พี่ธนินมองนิ่งราวกับกำลังสะกดจิต “คิดถึงจริง ๆ คิดถึงมาก” หลังจบประโยคนั้นก็ไม่มีคำพูดใดหลุดออกจากปากฉันและคนที่นั่งฝั่งตรงข้าม มีเพียงสายตาอันสั่นไหวที่กำลังใช้มองกันอยู่ตอนนี้
“หยีไม่คิดถึงเหรอเวลาที่ไม่ได้กินกับข้าวฝีมือแกนาน ๆ” ที่บอกว่าคิดถึงคือกับข้าวจริงใช่ไหม ทำไมฉันถึงรู้สึกว่าเรากำลังคุยกันเรื่องอื่น
“ท่านกรสวัสดีครับ ลมอะไรหอบมาครับเนี่ย เชิญด้านในเลยครับเชิญ” เสียงของลุงแก้วทำให้ทั้งฉันและพี่ธนินหันไปมอง ท่าทางกุลีกุจอทำให้สงสัยว่าใครกันถึงทำให้ลุงแก้วต้องละมือจากครัวมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ครับผมเดินไปเองได้”
“ไม่ได้หรอกครับ คนใหญ่คนโตอุตส่าห์มากินข้าวร้านเล็ก ๆ ของผมทั้งทีจะไม่ต้อนรับอย่างดีได้ยังไง” เสียงหัวเราะดังใกล้มาเรื่อย ๆ แล้วภาพที่เห็นต่อจากนั้นก็ทำให้ความอยากอาหารก่อนหน้านี้ของฉันแทบหมดลง เมื่อคนที่เดินตามการผายมือของลุงแก้วคือคนนั้น ‘คนที่เรียกตัวเองว่าพ่อ’
เราสบตากันแวบหนึ่ง เขามองฉันแล้วลากสายตามองพี่ธนินก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องรับรองซึ่งเป็นส่วนของห้องแอร์
“มีอะไรรึเปล่าหยี” พี่ธนินคงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติถึงได้ถาม พี่เขามองตามคนที่พึ่งเดินหายเข้าไปในห้องนั้นแล้วหันหน้ากลับมาหา “รู้จักเหรอ”
“เปล่าค่ะ” วันนี้ฉันพูดคำนี้กับพี่ธนินไปกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ “หยีแค่ไม่เคยเห็นลุงแก้วดูแลใครดีขนาดนี้”
“ดูจากท่าทางภูมิฐานขนาดนั้นก็น่าจะเป็นคนใหญ่คนโตอย่างที่ได้ยินนั่นแหละมั้ง” พี่ธนินวิเคราะห์ถูกแล้ว เขามีชื่อเสียงแล้วคนก็นับหน้าถือตา แต่ใครจะรู้ละว่าเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด
TANINN PART
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาได้เลยครับ” พอได้รับอนุญาตผมก็เปิดประตูห้องทำงานของคุณพ่อแล้วทรุดตัวนั่งลงตรงข้ามท่าน
“มีอะไรลูกชายถึงได้บุกมาหาพ่อถึงที่นี่” พ่อวางเอกสารในมือลง ท่านถอดแว่นแล้วเอนหลังกับพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีสบาย ๆ
“พ่อรู้จักคุณทีปกร อัคราเรศน์ไหมครับ” แค่ได้ยินชื่อที่ผมพูดพ่อก็ย่นคิ้ว ท่านกลับมานั่งหลังตรงประสานมือวางลงบนโต๊ะ
“รู้จักสิ ประธานบริษัทอสังหาฯเจ้าใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศทำไมพ่อจะไม่รู้จัก ว่าแต่เราเถอะถามทำไม”
“นินเจอท่านที่ร้านอาหารแถวโรงเรียนเก่า”
“แล้วยังไง”
“วันนั้นนินไปกับน้อง” พ่อเลิกคิ้วเหมือนกำลังสงสัยกับคำว่าน้องที่ผมบอก เพราะท่านรู้ดีว่าน้องที่ว่าไม่ได้หมายถึงธนน “พอน้องเห็นท่านเดินเข้าร้านน้องดูตกใจครับ ทีแรกนินก็ไม่ได้คิดอะไรแต่มันมีเรื่องแปลก”
“แปลกที่ว่าคือ...” พ่อเว้นวรรค
“ตอนนั้นนินรู้สึกได้ว่าท่านมองน้องแล้วก็มองนิน แถมลูกน้องที่เดินตามหลังยังค้อมหัวส่งให้ก่อนเดินไป พ่อว่าถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อนลูกน้องท่านจะค้อมหัวให้ไหม”
“ถ้าไม่มีความสำคัญก็ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอก” ใช่ไหม ผมก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน
“คุณทีปกรเขาไม่เคยมีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง” เหมือนพ่อจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรเลยพูดขึ้น
“พ่อแน่ใจเหรอครับ”
“พ่ออยู่วงการนี้มานานไม่เคยได้ยินว่าเขามีบ้านเล็กบ้านน้อย นินก็รู้ว่าเรื่องแบบนี้ถ้าทำจริงมันปิดกันไม่มิดหรอก”
“แล้วทำไม...”
“ไม่เชื่อในตัวน้องที่พาไปกินข้าวรึไง” พ่อถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม
“เปล่าหรอกครับ”
“ปากบอกเปล่าแต่คิ้วแทบจะผูกกันอยู่แล้ว” พ่อส่ายหน้าเมื่อผมปากอย่างใจอย่าง
“นินแค่สงสัย อยากรู้ว่าความจริงเป็นยังไง”
“แล้วอะไรที่ทำให้เราคิดว่าน้องของเราจะเป็นน้องของคุณทีปกรล่ะ”
“วันนั้นน้องบอกธนนว่าตัวเองมีคนดูแล” ถึงไอ้ฝุ่นจะบอกว่าไม่ใช่อย่างที่คิด แต่พอมาเจอเหตุการณ์อย่างเมื่อวานมันก็อดให้ผมคิดไม่ได้ อย่างที่เคยบอกว่าถ้าเป็นเรื่องจริงผมรับได้ขอแค่ให้มันจบไปแล้ว
“น้องคนนั้นรู้จักธนนด้วย?”
“ครับ เรียนคณะเดียวกัน”
“พ่อถามจริง ๆ นะน้องที่ว่านี่ใช่รักแรกไหม”
“ครับ ยาหยี” ไม่ต้องอธิบายเพิ่มพ่อก็เข้าใจว่าคนไหน เพราะตั้งแต่สี่ปีก่อนผมเล่าให้ท่านรวมถึงแม่ฟังหมดแล้ว
“เข้าใจแล้วว่าทำไมธนินถึงว้าวุ่นใจนัก แล้วพ่อช่วยอะไรเราได้บ้าง” พ่อยังเป็นคนที่เข้าใจผมเสมอ
“พ่อช่วยสืบเรื่องคุณทีปกรกับน้องให้นินหน่อยได้ไหมครับ” ผมอยากรู้ว่าสองคนนี้มีความเกี่ยวข้องกันบ้างไหม ถ้าไม่มีก็แล้วไป แต่ถ้ามีก็จะได้รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ
“ขอขนาดนี้ก็ต้องได้อยู่แล้วไหมคุณลูกชาย” ว่าจบพ่อก็กดโทรศัพท์หาเลขาอย่างคุณทรงศักดิ์ คนที่สามารถเนรมิตทุกอย่างที่ต้องการเอามาวางไว้ตรงหน้า
“ขอบคุณครับพ่อ” ยกมือไหว้ท่านอย่างขอบคุณ
“ไม่ต้องคิดมาก พ่อเชื่อว่าไม่ใช่อย่างที่นินคิดแน่นอน” ผมก็หวังให้มันเป็นแบบนั้น “ว่าแต่เดินหน้าง้อน้องถึงไหนแล้ว ปีนี้พ่อมีแววจะได้เห็นหน้าสะใภ้ใหญ่รึเปล่า”
“ถ้าเรื่องทุกอย่างเคลียร์ได้เห็นแน่นอนครับ”
“โอเค พ่อกับแม่จะได้เตรียมสินสอดรอ”
End part.