“อ้าวน้องหยี”
“สวัสดีค่ะพี่แยม” ยกมือไหว้เจ้าของร้านอย่างกันเองแล้วก้มหน้ามองขนมที่โชว์อยู่ในตู้อย่างสนใจ
“วันนี้เหมือนเดิมไหม” เหมือนเดิมที่พี่แยมถามคือสตรอว์เบอร์รีนมสดปั่นกับเค้กกะทิสด
“วันนี้ขอเปลี่ยนเป็นเค้กส้มแล้วกันค่ะ น้องน่ากิน” ชี้มือไปยังเค้กชิ้นเล็กที่ถูกตกแต่งราวกับว่าเป็นผลส้มจริง ๆ
“โอเคจ้ะ หาที่นั่งเลยเดี๋ยวพี่ยกไปเสิร์ฟ”
“ขอบคุณค่ะ” ผละตัวออกจากเคาน์เตอร์แล้วเดินมายังโต๊ะด้านในสุด เป็นโต๊ะประจำที่ไม่ว่ามากี่ครั้งก็จะนั่งตรงมุมนี้
เมื่อก่อนฉันมาร้านนี้บ่อยมาก สัปดาห์ละสามถึงสี่ครั้งเห็นจะได้ แต่พอเข้ามหา’ลัยแล้วย้ายไปอยู่คอนโดก็ไม่ได้มาบ่อยเท่าไหร่ ถ้าไม่ใช่วันหยุดเหมือนวันนี้ก็คงไม่ได้แวะมาเลย
“มาแล้วจ้า” ขนมกับน้ำถูกวางลงบนโต๊ะ “เมื่อวานธนินแวะมาด้วยนะ เราสองคนเจอกันยัง” ชื่อของคนที่แนะนำร้านนี้ให้รู้จักถูกเอ่ยโดยพี่แยม
“ค่ะ” ตอบออกไปแค่สั้น ๆ พี่แยมเลยยกมือทำเป็นรูปตัวโอแล้วขอตัวออกไปรับลูกค้า ฉันหยิบส้อมคันเล็กขึ้นมาจิ้มเค้กตักเข้าปาก “อร่อย”
ร้านแยมมี่ที่มาจากชื่อเจ้าของร้านเป็นคาเฟเล็ก ๆ แถวบ้านของฉันเอง เป็นร้านลับที่คนนอกไม่ค่อยรู้จักนักหรือแม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามีอยู่แถวบ้าน ถ้าพี่ธนินไม่พามาตั้งแต่ตอนที่ยังคบกันฉันก็คงไม่ได้รู้จักร้านที่ทำขนมอร่อยขนาดนี้
พูดถึงพี่ธนินตั้งแต่วันรับน้องของคณะฉันก็ยังไม่ได้เจอพี่เขาอีก พี่ฝุ่นบอกว่าพี่ธนินย้ายกลับมาเรียนที่ไทยแล้วก็จะกลับมาอยู่แบบถาวร ไม่อยากยอมรับว่าตอนที่ได้ยินรู้สึกดีใจแปลก ๆ ทั้งที่เราไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วแต่ไม่รู้ทำไมฉันถึงได้รู้สึกแบบนี้
“ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ” เสียงทุ้มที่พึ่งได้ยินเมื่อไม่กี่วันก่อนแต่กลับคุ้นหูเอามาก ๆ ทำให้ฉันหลุดออกจากภวังค์แห่งความคิด เงยหน้ามองคนที่เอ่ยขอแล้วได้แต่เม้มปาก
“หรือหยีไม่สะดวก”
“เปล่าค่ะเปล่า พี่ธนินนั่งด้วยกันก็ได้ค่ะ”
“ขอบคุณครับ” ขอบคุณกันแล้วเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพื่อทรุดตัวลงนั่ง น้ำหอมกลิ่นอ่อน ๆ โชยมาแตะจมูกในยามที่อีกฝ่ายขยับตัว เป็นกลิ่นที่ให้ความรู้สึกลึกลับน่าค้นหา ซึ่งมันก็เหมาะกับหน้าตาหล่อเหลาชวนหลงใหลของเขาดี
“หยีมานานรึยัง” ระหว่างเราคงเงียบจนเกินไปคนมาใหม่ถึงได้หาเรื่องคุย
“ห้านาทีได้แล้วค่ะ” มีแค่การพยักหน้าตอบกลับมาเท่านั้น เห็นอย่างนั้นฉันก็ก้มหน้ากินเค้กต่อเพราะไม่รู้ว่าจะต้องพูดอะไร พออยู่ด้วยกันสองคนแบบนี้มันก็อึดอัดยังไงบอกไม่ถูก
“ไม่ได้มาตั้งหลายปีร้านนี้ยังเหมือนเดิมเลยเนอะ” พี่ธนินมองไปรอบร้านด้วยรอยยิ้มประดับหน้า “พี่เองก็เหมือนกัน”
จบประโยคนั้นสายตาที่เคยมองอย่างไร้จุดหมายก็หยุดลงที่ฉัน พี่ธนินมองเข้ามาในตาเหมือนต้องการจะสื่อสารบางอย่าง ฉันอยากเบือนหน้าแล้วหันมองไปทางอื่นแต่กลับทำไม่ได้เมื่อถูกตรึงเอาไว้ด้วยสายตาทรงเสน่ห์
“ขนมมาเสิร์ฟจ้า” แล้วก็เป็นพี่แยมที่มาช่วยฉันไว้ ลอบผ่อนลมหายใจแล้วยกมือทาบอกข้างซ้ายของตัวเอง
“พี่ดีใจนะที่ได้เห็นเราสองคนนั่งด้วยกันแบบนี้อีก คิดถึงสมัยก่อน หลังเลิกเรียนต้องได้เห็นสาวน้อยผมเปียกับพี่ชายตัวสูงมาสั่งขนมแล้วช่วยกันทำการบ้าน”
“ต่อไปนี้คงหายคิดถึงแล้วละครับ” พูดกับพี่แยมแต่สายตากลับเหลือบมองมาทางฉัน
“ยินดีต้อนรับลูกค้าเก่ากลับร้านนะคะ” ว่าจบพี่แยกก็เดินจากไปอีกครั้ง แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ความเงียบเข้าครอบงำระหว่างฉันกับพี่ธนิน
“เสร็จจากนี่หยีไปไหนต่อ” พี่ธนินถามกันด้วยท่าทีสบาย ๆ จะว่าไปตั้งแต่มาถึงพี่เขาก็ทำตัวปกติ มีแค่ฉันนี่แหละที่วางตัวไม่ถูก
“หยีจะแวะไปหาแม่ที่วัดค่ะ” ฉันจะเข้าไปคุยกับแม่อย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ไปกวาดบ้านให้ท่าน ซื้อดอกไม้ไปฝากแล้วก็เล่าสิ่งที่เจอตลอดสัปดาห์ให้ท่านฟัง
ในตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่ท่านมักถามฉันเสมอก่อนเข้านอนว่า ‘วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก มีอะไรมาเล่าให้แม่ฟังบ้างไหม’ พอได้ยินอย่างนั้นฉันก็จะเล่าทุกอย่างที่เจอมาให้ท่านฟัง แม่ตั้งใจฟังมาก ท่านเออออแล้วก็มีส่วนร่วมกับเรื่องที่ฉันเล่า ทำให้ฉันรู้สึกสนุก กล้าที่จะเล่าให้แม่ฟังแบบไม่เคยคิดปิดบัง แล้วฉันก็ทำอย่างนั้นมาตลอดตั้งแต่จำความได้จนกระทั่งกลายเป็นนิสัย ถึงตอนนี้แม่ไม่อยู่แล้วก็ตามแต่ฉันก็ยังหาเวลาว่างไปนั่งเล่าให้ท่านฟัง
“ถ้าพี่ขอไปเยี่ยมคุณน้าด้วยได้ไหม ล่าสุดที่ไปหาท่านคือก่อนจะบินไปเรียนต่อ พี่อยากไปสวัสดีแล้วก็บอกท่านว่าพี่กลับมาแล้ว”
“พี่ธนินเคยไปหาแม่หยีด้วยเหรอคะ” ค่อนข้างตกใจอยู่เหมือนกันที่รู้ว่าพี่ธนินเคยไปหาแม่ ถึงว่าทำไมมีช่อดอกไม้ช่อใหญ่วางหน้าอัฐิแม่หลังจากวันที่พี่ธนินบินไปเรียนต่อ ตอนนั้นฉันคิดว่าคนที่เรียกตัวเองว่าพ่อเป็นคนเอาไปวาง แต่พึ่งรู้ว่าไม่ใช่
“น้าหญิงเป็นผู้ใหญ่ที่พี่เคารพมากคนหนึ่ง พี่ไม่อยากจากไปโดยไม่ได้บอกลาท่านก็เลยถือวิสาสะไป หยีคงไม่ว่าใช่ไหม”
“ไม่ว่าค่ะ” ฉันจะกล้าว่าพี่ธนินได้ยังไง ซึ้งใจด้วยซ้ำที่แม้จะเลิกกันแล้วพี่เขาก็ยังนึกถึงแม่ฉันอยู่ จะว่าไปเมื่อก่อนเวลาพี่ธนินมาที่บ้านแม่ก็มักจะยิ้มกว้างให้เสมอ
“งั้นพี่ไปด้วยได้ใช่ไหม”
ฉันพยักหน้า “ค่ะ ไว้ไปด้วยกัน”
ใช้เวลาอยู่ในร้านพี่แยมต่ออีกประมาณยี่สิบนาที จากตอนแรกตั้งใจเรียกแท็กซี่ไปเองแต่พี่ธนินกลับไม่ยอม บอกว่าไปที่เดียวกันก็ต้องไปด้วยกัน ตื๊อและตื๊อจนในที่สุดฉันก็ทนไม่ไหวต้องขึ้นรถมากับเขา
“ร่มรื่นดีนะ” เวลาสี่โมงเย็นภายในวัดร่มรื่นอย่างที่พี่ธนินบอก ตอนนี้แดดอ่อนลงมากแถมยังมีลมเบา ๆ พัดมาให้พอได้ชื่นใจ
เดินมาถึงจุดที่เป็นบ้านใหม่ของแม่ก็พบกับช่อดอกทานตะวันที่ดูเหมือนจะพึ่งนำมาวางได้ไม่นาน
“วันนี้มีคนมาก่อนเราเหรอ”
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” คงเป็นเขาคนนั้นที่นาน ๆ ทีจะให้เลขาเอาดอกไม้ที่แม่ชอบมาวางให้
“คุณน้าสวัสดีครับ” ดีที่พี่ธนินไม่ถามต่อว่าดอกไม่ช่อนั้นเป็นของใคร พี่เขาเลือกปัดฝุ่นออกจากอัฐิแล้วจากนั้นก็นั่งคุกเข่าเอาดอกไม้ที่ซื้อมาวางให้แม่
“ผมกลับมาแล้วนะครับ อาจจะช้ากว่ากำหนดไปสักหน่อยแต่ผมก็กลับมาแล้ว” พี่ธนินพูดไปหัวเราะไปราวกับกำลังโต้ตอบกับแม่อยู่จริง ๆ “เรื่องที่น้าหญิงเคยขอไว้ผมยังไม่ลืมหรอกนะครับ ผมสัญญาว่าจะทำมันให้ดี ให้สมกับที่น้าหญิงไว้ใจผม”
เรื่องที่แม่ขอไว้อย่างนั้นเหรอ เรื่องอะไรนะที่แม่ถึงขนาดต้องขอร้องพี่ธนิน