“เสื้อครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะหยีไม่หนาว” โบกมือปฏิเสธเสื้อแขนยาวที่พี่ธนินยื่นให้
“พี่ก็ไม่ได้ให้หยีใส่กันหนาว” ถ้าไม่ให้ใส่กันหนาวแล้วจะยื่นเสื้อแขนยาวมาให้กันทำไม “พี่ว่าเสื้อที่หยีใส่ตอนนี้มันตัวเล็ก” ก้มมองเสื้อยืดที่ใส่แล้วก็ได้แต่ย่นคิ้ว
“หยีว่ามันก็ไม่ได้ตัวเล็กนะคะ” จริงอยู่ที่มันเป็นเสื้อเข้ารูป แต่อย่างนั้นมันก็พอดีตัวไม่ได้ถึงกับรัดติ้ว มองออกไปนอกรถยังเห็นคนอื่นใส่แบบนี้กันเยอะแยะ
“ถ้าหยีไม่อยากใส่งั้นเรานั่งคุยกันในรถก็ได้ครับ ดีเหมือนกันพี่ชอบความเป็นส่วนตัว” ว่าจบก็โยนเสื้อที่ยื่นให้ฉันแต่ฉันไม่รับไว้เบาะหลังราวกับมันเป็นแค่เศษผ้า
“พี่ธนินกำลังประชดหยีเหรอคะ?”
“เปล่านิครับ”
“ถ้าไม่ได้ประชดแล้วทำไมต้องโยนเสื้อทิ้งด้วยละค่ะ”
“ในเมื่อไม่มีคนต้องการทิ้งไปก็ถูกแล้วนิครับ”
“พี่ธนิน!” ฉันขึ้นเสียงใส่อย่างเหลืออด เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันทำนิสัยไม่ดีใส่พี่เขาแบบนี้ถ้าไม่นับรวมตอนขอเลิก
“พี่ไม่ชอบให้ผู้ชายคนอื่นมองหยี รู้ไหมตอนที่อยู่สนามบอลพวกมันมองหยีด้วยสายตาแบบไหน”
“หยีไม่รู้หรอกค่ะ หยีรู้แค่ว่าพี่ธนินไม่มีอื้ออออ” คำว่าไม่มีสิทธิ์กลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่ออีกคนพุ่งเข้ามาปิดปากฉันด้วยปากเขา
“พี่ไม่อยากได้ยินคำว่าไม่มีสิทธิ์” นานนับนาทีกว่าคนที่ช่วงชิงลมหายใจจะถอนริมฝีปากออก
“แต่เราเลิกกันแล้ว พี่ธนินไม่ควรทำแบบนี้” และฉันก็ไม่ควรนั่งนิ่ง ๆ ให้เขาได้บดจูบจนพอใจ
“พี่บอกตั้งแต่วันนั้นแล้วไงว่ายังไงก็ไม่เลิก ถึงตอนนี้พี่จะไม่ใช่แฟนหยี แต่หยียังเป็นแฟนของพี่”
“พี่ธนิน...” ไม่รู้ต้องพูดอะไรนอกจากเรียกชื่อคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอันสั่นพร่า พี่ธนินไล้มือลงบนแก้ม สัมผัสนั้นทำให้รู้ว่าเขาหวงแหนฉันมากแค่ไหน
“วันแรกพี่รักหยียังไงจนถึงวันนี้ก็ไม่เปลี่ยน แล้วพี่เชื่อว่าหยีเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ไม่อย่างนั้นหยีคงไม่โสดมาตลอดทั้งที่เราเลิกกันมาสี่ปี”
“หยี หยีไม่ได้...” สมองสั่งให้ปฏิเสธแต่หัวใจกลับไม่ยอมทำตาม คำว่า ‘ไม่รัก’ ไม่สามารถหลุดออกจากปากของฉันได้เมื่อความรู้สึกมันสวนทาง
“ปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหม เห็นไหมว่าหยียังรักพี่”
“พี่ธนินอย่า” เบี่ยงหน้าหลบเมื่ออีกคนจะกดจูบลงมาอีก ทำให้ตอนนี้ใบหน้าหล่อซุกซบอยู่กับซอกคอฉัน
“พี่คิดถึงหยีมากเลยรู้ไหม พี่อยากเห็นหน้า อยากกอด อยากพาหยีไปกินของอร่อย ได้เดินจูงมือพาไปเที่ยว พี่อยากทำทุกอย่างกับหยีเหมือนตอนที่เราสองคนยังคบกัน” พี่ธนินกอดฉันเอาไว้แน่นจนรับรู้ได้ถึงอาการตัวสั่นจากพี่เขา “ถ้าหยีไม่ได้บอกเลิกพี่เพราะไม่รัก งั้นเรากลับมาคบกันได้ไหม”
“พี่ธนินคือหยี...” ฉันจะพูดได้ยังไงว่าไม่ใช่เพราะรักหรือไม่รัก แต่มันเป็นเพราะเรื่องอื่น เรื่องอื่นที่ฉันไม่อยากให้ใครมารับรู้
“ไม่ว่าหยีกำลังกังวลเรื่องอะไรพี่อยากให้หยีรู้ว่าพี่รอได้ รอจนกว่าหยีจะพร้อมเปิดใจจริง ๆ พี่รอมาสี่ปีแค่นี้พี่ทนไหว ขอแค่หยีสัญญาว่าจะให้โอกาสพี่ก็พอ”
“หยีไม่อยากให้พี่ธนินรอ” ฉันไม่อยากให้คนดี ๆ อย่างพี่ธนินต้องมาจมปลักอยู่กับคนอย่างฉัน คนที่วางอดีตและความกังวลลงไม่ได้ไม่มีทางที่จะมีความสุขได้หรอก
“แต่พี่อยากรอ พี่จะรอจนกว่าหยีพร้อมแล้วเล่าทุกอย่างให้พี่ฟัง” สายตาแน่วแน่ทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะปริปาก ทำได้เพียงหลับตาลงช้า ๆ ในขณะที่พี่ธนินเคลื่อนหน้าเข้ามาหา ริมฝีปากของเราสองคนแตะกันอีกครั้ง สัมผัสนุ่มหยุ่นที่ได้รับทำให้ใจฉันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งจังหวะเนิบนาบแปรเปลี่ยนเป็นเร่าร้อนฉันก็แทบจะดิ้นตาย ทั้งหายใจไม่ทันแล้วก็รู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว
“เราไปต่อที่อื่นไหม” เสียงแหบพร่าเอ่ยชิดริมฝีปากในขณะที่ดวงตาทรงเสน่ห์ยังมองฉันไม่ยอมละ
“พี่ธนิน!” ตีแขนที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามอย่างเต็มแรงจนอีกฝ่ายร้องโอดโอย
“พี่หมายถึงไปกินข้าว หยีคิดอะไรเนี่ย” อายจนอยากแทรกแผ่นดินหนีเมื่อพี่ธนินมองมาด้วยสายตารู้ทัน “หรือหยีอยากจะไปต่อที่อื่นที่ไม่ใช่ร้านข้าว ก็ได้นะพี่ไม่ติด โอ๊ย ๆ พอแล้วครับพอแล้ว” อยากล้อกันไม่หยุดนักมันก็ต้องโดนบิดให้ตัวเขียว
“สรุปไปไหนครับ ระหว่าง...”
“ยังไม่หยุดอีก!” ขึงตาใส่อย่างเอาเรื่อง แต่แทนที่คนถูกดุจะกลัวกลับเอาแต่หัวเราะ
“แมวน้อยของพี่ขู่ทีก็น่ากลัวเหมือนกันแฮะ”
“ฮื่ออออ” มุ้ยหน้าเมื่อโดนมือใหญ่บีบแก้มอย่างมันเขี้ยว ไม่แค่นั้นก่อนออกรถคนชอบฉวยโอกาสยังยื่นหน้ามาหอมกันอีกฟอดใหญ่
“มีอะไรที่อยากกินเป็นพิเศษไหม”
ฉันส่ายหน้า “แล้วแต่พี่ธนินเลย”
“งั้นก๋วยเตี๋ยวไหม พี่จำได้ว่าเมื่อก่อนหยีกินแทบทุกวัน” เมื่อก่อนฉันชอบก๋วยเตี๋ยวมากจริง ๆ ชอบจนถึงขั้นที่สามารถกินได้ทุกวันโดยไม่เคยรู้สึกเบื่อ
“ก๋วยเตี๋ยวก็ได้ค่ะ”
“ร้านหน้าคอนโดหยีนะ พี่ว่าร้านนั้นอร่อย”
“พี่ธนินรู้จักคอนโดหยีด้วยเหรอคะ” ที่ถามอย่างนั้นเพราะฉันกับฝนไม่ได้อยู่คอนโดเดียวกับพี่ฝุ่น เราอยู่ถัดมาอีกหลายซอยเพราะตอนนั้นคอนโดพี่ฝุ่นไม่มีห้องว่างเลย
“ไม่มีอะไรเกี่ยวกับหยีที่พี่ไม่รู้ครับ”
“เกลือเป็นหนอนสินะคะ” ไม่ต้องสืบก็รู้ว่าใครกันที่เอาเรื่องของฉันไปเล่าให้พี่ธนินฟัง ก็คงมีพี่ฝุ่นคนเดียวนั่นแหละที่แพร่งพราย
“ไอ้ฝุ่นมันสงสารพี่ครับก็เลยคอยเล่าเรื่องหยีให้พี่ฟังตลอด”
“รวมถึงสี่ปีที่ผ่านมาด้วยเหรอคะ”
พี่ธนินพยักหน้า “ตอนยังเรียนต่างประเทศเวลากลับไทยพี่ชอบขับรถแล้วไปนั่งมองบ้านหยี นั่งมองเป็นชั่วโมงแต่ไม่กล้าเข้าไปเจอ”
“พี่ธนิน”
“พี่กลัวว่าหยีจะยังโกรธ กลัวว่าถ้าไปเจอเร็วเกินไปหยีจะไม่อยากคุยกับพี่ ซึ่งพี่ไม่อยากให้มันเป็นแบบนั้น แค่วันที่หยีหันหลังให้พี่ก็แทบจะรับมันไม่ไหว”
“หยีขอโทษนะคะ ธนนเล่าให้ฟังว่าเป็นเพราะหยีพี่ธนินเกือบต้องไปพบจิตแพทย์”
“ครับ แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดหยีทั้งหมดหรอก เป็นเพราะพี่เองต่างหากที่จัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ตอนนั้นพี่ยังไม่โตพอเลยไม่รู้ว่าต้องรับมือกับความเจ็บปวดยังไง ต้องทำแบบไหนถึงจะไม่เจ็บมาก พี่พยายามทำใจ พยายามเข้าใจว่าหยีคงมีเหตุผลแต่มันก็ไม่ง่ายเลย”
ในตอนนั้นฉันก็คงไม่ต่างจากพี่ธนิน ความเจ็บปวดของแม่ถูกถ่ายโอนมายังฉันที่อายุเพียงสิบสี่ปี ฉันยังเด็กและไม่ทันคิดว่าการกระทำของตัวเองจะทำให้พี่ธนินต้องเจ็บปวด ตอนนั้นฉันคิดแค่ว่าทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองรู้สึกดีเพื่อที่ใจฉันจะได้เจ็บปวด
ฉันเคยคิดนะว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ฉันจะไม่บอกเลิกพี่ธนินทั้งอย่างนั้น ฉันจะอธิบายให้พี่เขาเข้าใจว่าทำไมฉันถึงต้องบอกเลิกแล้วเราก็จะจบกันด้วยดี มันอาจจะเจ็บ แต่คงไม่เจ็บเท่าตอนนั้น
“หยีขอโทษนะคะพี่ธนิน ขอโทษจริง ๆ”
“ไม่ต้องขอโทษแล้ว” พี่ธนินยื่นมือมาลูบหัว “ถ้ารู้สึกผิดก็แค่กลับมารักพี่เหมือนเดิม หรือจะมากกว่าเดิมก็ได้ครับพี่ไม่ติด”