“พอจะไปจริงๆแม่กลับทำใจไม่ได้ซะงั้น” คนเป็นแม่พูดขึ้นทันทีเพราะตอนนี้ทั้งครอบครัวของเทียร์อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อมาส่งเทียร์ขึ้นเครื่องไปเรียนต่อที่ประเทศอิตาลี
“น้องเทียร์จะโทรหาแม่บ่อยๆ จะไม่ทำให้เป็นห่วงเลยโอเคไหมคะ” เทียร์พูดขึ้นพร้อมสวมกอดคนเป็นแม่ไว้ ยิ่งเห็นคุณแม่ร้องไห้เธอก็รู้สึกเศร้าตามไปด้วย
“อย่าร้องไห้ให้ลูกสิ เดี๋ยวลูกก็คิดมาก” คุณพ่อพูดขึ้นพร้อมโอบกอดคุณแม่ไว้เช่นกันเพราะหากเป็นแบบนี้เขาคิดว่าลูกสาวคนเล็กคงคิดมากแน่ๆ
“แม่จะไม่ร้อง แม่แค่กลัวคิดถึงน้องเทียร์” คนเป็นแม่พูดขึ้นอีกครั้งเพราะอิตาลีมันไกลมาก ลูกสาวคนเล็กคงไม่ได้กลับบ้านมาทุกเสาร์อาทิตย์อีกแล้ว
“น้องเทียร์สัญญาจะกลับมาทุกปิดเทอม” เพราะใช่ว่าจะมีแค่ครอบครัวที่คิดถึงเทียร์แต่เทียร์เองก็คิดถึงครอบครัวของเธอเหมือนกัน
“คุณพ่อกับคุณแม่ดูแลตัวเองด้วยนะ เทียร์ก็จะดูแลตัวเองเหมือนกัน” เทียร์พูดขึ้นพร้อมกับยิ้มกว้าง ตอนนี้ในใจของเทียร์แทบจะร้องไห้อยู่แล้วแต่เธอต้องกลั้นมันเอาไว้
“ดูแลตัวเองให้ดีนะน้องเทียร์ ขาดเหลืออะไรก็รีบโทรมาบอก” เทียร์พยักหน้ารัวๆกับคำพูดของคุณพ่อก่อนที่เธอจะเดินตรงมายังพี่ชายทั้งสองคนพร้อมกับคนรักของพี่ชาย
“พี่ทรอสก็ต้องดูแลตัวเองนะ ดูแลพี่ตะวันด้วยและที่สำคัญต้องดูแลพ่อกับแม่ด้วย” เทียร์พูดขึ้นพร้อมสวมกอดพี่ชายคนโตของตัวเอง
“น้องเทียร์ก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ ไปอยู่ไกลบ้านจะทำอะไรก็คิดดีๆ” ทรอสพูดขึ้นเพราะเขาเป็นห่วงน้องสาวไม่น้อยเลย โชคดีหน่อยที่น้องเทียร์ไม่ใช่เด็กซื่อบื้อหรือตามคนไม่ทัน อย่างน้อยตรงนี้ก็พอหายห่วงได้บ้าง
“น้องเทียร์รู้แล้วหน่า พี่เทรย์ยืนอยู่ทำไมมากอดกันสิ” เทียร์กวักมือเรียกพี่ชายคนรองให้เข้ามากอด
“ไม่อยากให้ไปเลยน้องเทียร์” เทรย์พูดขึ้นเพราะปกติแล้วน้องสาวไม่เคยไปที่ไหนไกลแบบนี้ จากนี้ไปกลับบ้านมาเขาก็คงไม่ได้เจอเด็กดื้อแบบน้องเทียร์บ่อยๆ
“ฝากน้องรดาดูแลพี่เทรย์ด้วยนะแล้วเราก็ดูแลตัวเองดีๆนะน้องรดา” เทียร์พูดขึ้นเพราะถ้าบอกให้พี่ชายคนรองอย่างเทรย์ดูแลตัวเองคงไม่เวิร์ค สู้บอกกับน้องรดาที่เป็นคนรักยังจะดีกว่า
“ห่วงตัวเองด้วยนะน้องเทียร์ ไม่ใช่ห่วงแค่คนอื่น” เพราะนิสัยของน้องเทียร์เป็นยังไงทุกคนรู้ดี ขนาดจะไปอยู่แล้วยังไม่วายบอกให้ทุกคนดูแลตัวเอง
“น้องเทียร์จะดูแลตัวเองอย่างดี มากอดกันเร็วทุกคน พ่อกับแม่มาเร็ว พี่ตะวันน้องรดาก็มาด้วย”
แน่นอนว่าตอนนี้ทุกคนกำลังกอดกันโดยมีเทียร์อยู่ตรงกลางเพราะทุกอย่างต้องทำเวลา เทียร์ต้องรีบไปรวมตัวกับเพื่อนๆที่ได้ทุนรอบเดียวกันเพื่อเตรียมขึ้นเครื่อง
“น้องเทียร์ต้องไปแล้วนะทุกคน” เทียร์พูดขึ้นอีกครั้งพร้อมโบกมือลาเพราะตอนนี้มันถึงเวลาที่เธอต้องขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นไปชั้นบนแล้ว
“โชคดีนะน้องเทียร์” แน่นอนว่าทุกคนพูดขึ้นมาเป็นประโยคเดียวกัน เทียร์ที่กำลังอยู่บนบันไดเลื่อนหันหน้ามองลงมาก็ได้แต่กลั้นน้ำตาเอาไว้เพราะไม่อยากให้ทุกคนในครอบครัวเป็นห่วง
“น้องเทียร์รักทุกคนน้า” ไม่ลืมที่ตะโกนขึ้นเพื่อบอกรักส่งท้ายทุกคนก่อนที่เทียร์จะเดินเข้ามาด้านในที่มีทุกคนรออยู่แล้ว
“สวัสดีเธอชื่อเทียร์ใช่ไหม” แน่นอนคนที่เข้ามาทักเทียร์ก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ได้ทุนและร่วมเดินทางไปกับเทียร์ในครั้งนี้
“เราเทียร์แล้วเธอล่ะ” เทียร์ตอบกลับไปอย่างเป็นมิตร
“เราชื่อโบว์ ยินดีที่ได้รู้จักนะ” โบว์ตอบกลับมาทันทีและที่เข้ามาทักนั่นเพราะว่าในนักเรียนทุนแลกเปลี่ยนรอบนี้มีแค่เทียร์กับโบว์เท่านั้นที่ได้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
“ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกันนะ เราอายุสิบเก้า โบว์อายุเท่าไหร่” เทียร์ถามขึ้นทันทีเพราะถ้าหากแก่กว่าหรือเป็นรุ่นน้อง เทียร์ก็จะได้เรียกใช้สรรพนามให้ถูกต้อง
“อายุเท่ากัน ที่เราเข้ามาทักเทียร์เพราะเรารู้มาจากคนดูแลว่าเรากับเทียร์ได้ไปมหาวิทยาลัยเดียวกัน” โบว์พูดขึ้นอีกครั้งเพราะการมีเพื่อนคนไทยที่รู้จักไปด้วยกันมันดี
“ดีใจจัง เราก็คิดว่าต้องไปคนเดียวเพราะเรามาแบบไม่มีเพื่อนเลย” เทียร์ตอบกลับไปตามตรง
“เราเหมือนกัน ถ้าไม่ว่าอะไรเป็นเพื่อนกันไหม” แน่นอนว่าเทียร์พยักหน้ารัวๆเพราะผู้หญิงตรงหน้าก็ดูไม่มีพิษไม่มีภัยอะไร อีกทั้งยังน่ารักอีกด้วย
“ว่าแต่ไปที่นู้นโบว์ติดคณะอะไรหรอ” ในใจของเทียร์ก็ได้แต่ภาวนาขอให้เป็นคณะเดียวกันเพราะการมีเพื่อนไปเรียนด้วยกันมันดีแต่ถึงไม่เป็นอย่างที่คิดแต่อยู่มหาลัยเดียวกันก็อุ่นใจแล้ว
“เราเลือกบริหารแล้วเทียร์ล่ะ”
“บริหารเหมือนกัน”
“ดีใจจังอย่างน้อยก็มีเทียร์อยู่คณะเดียวกัน” เพราะโบว์เองก็คิดไม่ต่างจากเทียร์และการที่มันเป็นแบบนี้ถือว่าดีมากๆเพราะการไปอยู่ต่างแดนมีเพื่อนเรียนด้วยกันมาจากที่เดียวกันคงไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว
“เราภาวนาให้โบว์อยู่คณะเดียวกันเพราะมีอะไรจะได้คุยกันง่ายๆ” เทียร์พูดขึ้นทันที
กลับกลายเป็นว่าตลอดการเดินทางในช่วงชั่วโมงแรกๆ เทียร์กับโบว์ก็คุยกันตลอดเรียกว่าสนิทกันไปในโดยปริยาย
หลังจากการเดินทางสิบห้าชั่วโมง
มิลาน ประเทศอิตาลี
“เด็กๆรอกระเป๋ากันตรงนี้ ส่วนเรื่องเอกสารพี่จะไปจัดการให้” ผู้ดูแลและทีมงานผู้จัดการทุนพูดขึ้นทันทีก่อนจะไปทำเรื่องเอกสารของนักเรียนทุนแลกเปลี่ยน
“กระเป๋าของเทียร์กี่ใบ เราขนมาสามใบของมาเยอะมาก” โบว์พูดขึ้นทันทีเพราะเธอมาอยู่ที่นี่สี่ปี เธอแทบจะเก็บของทุกอย่างที่บ้านมาก็ว่าได้
“เราก็เอามาสามใบ ของเยอะไม่ต่างกัน” เทียร์ตอบกลับไปและกระเป๋าสามใบของเทียร์ก็เป็นขนาดใบที่ใหญ่ที่สุดเรียกว่าเอามาหมดทั้งบ้านเหมือนกัน
“ฮ่าๆ ของแบบนี้แสดงว่าชอบแต่งตัว”
“แน่นอนว่ามันเป็นแบบนั้น” เทียร์พูดขึ้นเพราะเรื่องการแต่งตัวมันสุดๆ
หลังจากที่คุยกันบนเครื่องก็ดูเหมือนเทียร์กับโบว์ก็เคมีเข้ากันมากๆ เรียกว่าไลฟ์สไตล์ต่างๆก็ตรงกัน จากนี้เทียร์คงไม่ได้มีแค่เพื่อนเรียนอย่างเดียวแต่มีเพื่อนเที่ยวอีกด้วย
“เหมือนจะต้องรออีกนาน เราฝากกระเป๋าไว้กับโบว์หน่อยนะ เราจะไปเข้าห้องน้ำ” เทียร์พูดขึ้นทันทีเพราะตอนนี้เธออยากเข้าห้องน้ำมากๆ
“โอเค รีบมานะเทียร์” หลังจากตกลงกับโบว์ได้แล้ว เทียร์ก็เดินตรงมายังห้องน้ำกว่าจะหาเจอก็แทบแย่เพราะสนามบินที่นี่คนเยอะมากเพราะสนามบินนี้ยังเป็นสนามบินนานาชาติและสนามบินหลักของเมืองมิลานอีกด้วย
“ให้ตายเถอะคนเยอะชะมัด” เทียร์บ่นขึ้นเบาๆเพราะตอนนี้คนในห้องน้ำเยอะมาก เธอทนไม่ไหวแน่ๆเทียร์เลยได้แต่เดินออกมาเพื่อหาห้องน้ำตรงอื่น
ตุบ !
แต่แล้วเทียร์ก็ชนเข้ากับใครคนหนึ่งจนร่างกายเล็กของเธอล้มลงกับพื้น
“ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” แน่นอนว่าเทียร์ไม่ใช่นางเอกหรืออะไรที่ต้องรอให้ใครมาพยุงเพราะก่อนที่ผู้ชายคนที่เทียร์เดินชนจะเข้ามาพยุง เทียร์ก็รีบดีดตัวลุกขึ้นถึงแม้จะรู้สึกเจ็บก้นหน่อยๆก็เถอะ
แต่แล้วเทียร์ก็แทบจะชะงักไปอีกครั้งเมื่อเทียร์เห็นใบหน้าของผู้ชายที่เธอเดินชน เขาคนนี้คือผู้ชายที่เทียร์อ่านเจอในหนังสือ ในรูปว่าหล่อแล้วแต่ตัวจริงของเขากลับหล่อยิ่งกว่า
“มีอะไรหรือเปล่าครับดอน” แต่ไม่ทันที่ผู้ชายคนนี้ที่มีชื่อว่ามาร์เซียโน่จะได้พูดอะไร ชายแปลกหน้าก็รีบเข้ามาถามด้วยอารมณ์คล้ายๆกับการเป็นห่วง
“ไม่มีอะไรแค่อุบัติเหตุ” มาร์เซียโน่ตอบบอดี้การ์ด ใช่ คงเป็นบอดี้การ์ดแน่ๆเพราะมาร์เซียโน่คนนี้เป็นถึงนักธุรกิจแถวหน้าของอิตาลี อีกทั้งยังมีอิทธิพลมากมายคงไม่แปลกที่จะมีบอดี้การ์ดคอยตามดูแล
“เธอไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
“มะ…ไม่เป็นอะไรค่ะ ขอโทษอีกครั้งนะคะ” เทียร์พูดขึ้นทันทีพร้อมยกมือไหว้ด้วยความเคยชิน ถึงปากจะพูดภาษาอิตาลีออกไปแต่การกระทำกลับยกมือไหว้
แน่นอนว่ามาร์เซียโน่ไม่แปลกใจกับการกระทำเหล่านี้เพราะดูก็รู้ว่าเด็กผู้หญิงตรงหน้าไม่ใช่คนอิตาลี หน้าตาโซนเอเชียแบบนี้ตอนแรกก็เดาไม่ออกแต่เมื่อเห็นการไหว้ก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นคนไทย
“งั้นขอตัวก่อน” แต่มาร์เซียโน่ก็คือมาร์เซียโน่ ตอนนี้เขามีหลายอย่างที่ต้องจัดการไม่มีเวลาว่างมาคุยอะไรกับเด็กผู้หญิงคนนี้มากนัก
“แต่ถ้าเจ็บตรงไหนหรือเป็นอะไรมาก อยากได้ค่ารักษาพยาบาลก็ติดต่อมาตามนามบัตร” มาร์เซียโน่พูดขึ้นก่อนที่บอดี้การ์ดของเขาจะส่งนามบัตรให้กับเทียร์
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้เจ็บอะไร” เทียร์ตอบกลับไปเพราะเธอไม่ได้เจ็บอะไรเลย
“เข้าใจคำว่าถ้าไหม” เทียร์ถึงกับกลืนน้ำลายลงคอเมื่อได้ยินมาร์เซียโน่พูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่เทียร์จะรีบรับนามบัตรจากบอดี้การ์ดของมาร์เซียโน่พร้อมกับพวกเขาที่กำลังเดินออกไป
“เย็นชาชะมัด” หลังจากมาร์เซียโน่เดินออกไปเทียร์ก็บ่นขึ้นกับตัวเอง
มาร์เซียโน่เป็นคนพูดน้อย มีบุคลิกนิ่งๆ ออกแนวเย็นชาและใบหน้าก็นิ่งตลอดเวลาแทบจะไม่ยิ้มเลยด้วยซ้ำต่างกับในหนังสือที่เทียร์เคยอ่านมาเพราะในหนังสือมันบอกว่า…
มาร์เซียโน่เป็นมิตรกับทุกคน ใบหน้าหล่อราวกับพระเจ้าแทบจะยิ้มตลอดเวลาเพราะเป็นนักธุรกิจต้องคุยกับคนเยอะ เรื่องการเข้าสังคมดีเป็นที่หนึ่ง
“ไม่จริงเลยสักนิด หนังสือบ้าบออะไรโกหกทั้งเพ”
❤️
ฮ่าๆ ตรงกันข้าม