บทที่ 10 ความจริงที่ปรากฏ
ศิษย์พี่รองของกุ้ยหลินมีรอยยิ้มงดงามยิ่งกว่าบุปผานานาบนเขาพันลี้ อีกทั้งยังเป็นคนโผงผางเลือดร้อน
หากคนที่หลี่ซุนจือบอกว่ากระทำการไม่สมควร ใจร้อน วู่วาม ไร้เหตุผลก็คงหมายถึงคนที่วางยาพิษเจ้าเคหาสน์หลี่กระมัง แต่ถ้าเจ้าเคหาสน์หลี่ไม่ยียวนศิษย์พี่รองก็คงเกิดการเข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้นกุ้ยหลินทำตาโตมองเย่าไป๋ มือเล็กยกขึ้นรั้งแขนเขาเบาๆ ด้วยการกระทำเคยชิน
“แย่แล้วล่ะ แม่นางผู้นั้นต้องเป็นศิษย์ในสำนักบุปผาหยกแน่ เย่าไป๋ ท่านช่วยนางได้หรือไม่”
เขาปรายตามองแขนที่ถูกนางรั้ง จากนั้นเลื่อนสายตามองหน้านางนิ่ง ใบหน้าปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
“ทำไมเจ้าถึงแน่ใจว่านางเป็นศิษย์ในสำนักบุปผาหยก อีกอย่างไยเจ้าถึงมาอ้อนวอนข้าให้ช่วยเหลือแม่นางผู้นั้นทั้งที่เจ้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง”
“ข้า...” นางก้มหน้างุดคล้ายละอายในความผิด ทั้งที่นางมิได้เป็นคนวางยาพิษเจ้าเคหาสน์หลี่ แต่พิษนั้นเป็นของนาง หากกล่าวกันตามจริง นางก็คงมีส่วนร่วมทางอ้อม เช่นนี้แล้วนางคงต้องสารภาพความจริงกับหลี่ซุนจือและเย่าไป๋ ทว่าการจะเปิดเผยข้อมูลเป็นสิ่งที่นางเลี่ยงมาตลอด แต่ถ้านางไม่อธิบายออกไปศิษย์พี่รองของนางก็จะตกอยู่ในอันตราย
หญิงสาวขบริมฝีปากครุ่นคิด
“เจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไยต้องขอร้องแทนแม่นางคนนั้นด้วย” ชายหนุ่มเอ่ยถามขึ้นอีกครั้ง คล้ายจงใจบีบให้นางสารภาพ
หลังจากใคร่ครวญกับตัวเองอยู่นาน กุ้ยหลินก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ข้า... เป็นคนปรุงพิษนั่นขึ้นเอง” พิษของนางไม่ใช่ว่าใครสามารถช่วงชิงไปได้ นอกจากนางจะเป็นคนมอบให้เองกับมือ และหากไม่ใช่ศิษย์ร่วมสำนัก นอกนั้นอย่าได้คิดหยิบยืมเชียว
ข้อนี้นางจึงแน่ใจว่าแม่นางผู้นั้นคือศิษย์ในสำนักบุปผาหยก...
กุ้ยหลินช้อนดวงตาสุกใสขึ้นมองใบหน้าเรียบเฉยอย่างเชื่องช้า เย่าไป๋มิได้พูดอะไรต่อ ได้แต่ยืนมองนางนิ่ง นางเริ่มนึกสงสัยว่าผู้ชายคนนี้อาจล่วงรู้เรื่องนี้อยู่ก่อนแล้วหรือไม่ แน่นอนว่านางย่อมเอ่ยถามตามใจคิด
“ท่านรู้อยู่แล้วหรือ” คนที่ได้ยินชื่อสำนักบุปผาหยกล้วนแต่มีทีท่าตกใจ หรือไม่ดวงตาก็จะวาวโรจน์ประหนึ่งนายพรานพบเหยื่อชั้นดี หากแต่เย่าไป๋ยืนนิ่งไม่ไหวติง ช่างผิดสังเกตโดยแท้
ฝ่ายตรงข้ามยังคงไม่ตอบคำถามนางทันที เขาหลุบตาลงช้าๆ
หญิงสาวรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วร่าง เพราะไม่รู้ว่าผู้ชายตรงหน้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ที่สำคัญท่าทางสงบเยือกเย็นของเขาในเวลานี้ไม่เหมือนกับเย่าไป๋ที่นางรู้จัก
กุ้ยหลินหรี่ตาลงกึ่งหนึ่ง จ้องมองบุรุษอย่างไม่เชื่อถือ
“ท่านเป็นใครกัน เย่าไป๋”
กู่เย่าไป๋ก้าวออกจากเงาไม้ช้าๆ ชายแขนเสื้อสีขาวไร้ลวดลายโบกสะบัดตามแรงลมเบาๆ นัยน์ตาสีดำสนิทลึกล้ำจับจ้องบนดวงหน้าเรียวเล็ก ทว่าคราวนี้นางมิได้ลุ่มหลงกับภาพตรงหน้า ตรงข้ามนางเริ่มหวาดกลัวคนผู้นี้แล้วด้วยซ้ำ
“กุ้ยหลิน เจ้านี่สมองช้าจริงนะ ข้ากู่เย่าไป๋เจ้าสำนักหมื่นพิษ”
นางนิ่งตะลึงงัน ถ้าตอนนี้นางขอดาบสั้นจากผู้ชายคนนี้มาปลิดชีพตนเองเพื่อหลีกหนีอาการเสียหน้า เขาจะยอมให้นางหรือไม่หนอ
ตลอดชีวิตนางรู้ตัวว่านางเป็นคนสมองช้า แต่ก็ไม่เคยคิดว่าจะช้ามากมายถึงเพียงนี้ เจ้าสำนักและศิษย์พี่เคยบอกนางอยู่หลายครั้งว่าคนสมองช้าไม่เหมาะกับการฝึกยุทธ์ ตอนนั้นนางมิได้คิดอะไร ดีเสียอีก นางจะได้มิต้องเจ็บตัว หากแต่ตอนนี้นางกลับคิดว่าตนเองคิดผิดถนัด นางเริ่มอยากฝึกยุทธ์แทนการร่ำเรียนวิชาพิษขึ้นมาบ้างแล้ว เผื่อว่านางจะสมองไวขึ้นมาบ้าง
หญิงสาวสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นค่อยๆ ย่อกายให้อีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล
“คารวะท่านเจ้าสำนักกู่”
ริมฝีปากบางเฉียบยกมุมขึ้นเล็กน้อย กู่เย่าไป๋ยิ้มให้นางอย่างลำพอง หนำซ้ำยังมีแววขบขันในนัยน์ตาคู่นั้น...
สงสัยนางจะพึ่งพาและเชื่อใจใครไม่ได้เลยจริงๆ
มือน้อยๆ กำถุงผ้าปักซึ่งบรรจุยาพิษนานาชนิด น้อยชนิดที่เป็นยารักษา นางรู้เรื่องเกี่ยวกับพิษ แต่มิได้สนใจเรื่องถอนพิษ
จะบอกว่านางร้ายกาจก็ได้ หากใครทำอะไรให้นางไม่พอใจแล้วล่ะก็ นางสามารถทิ้งพิษให้ผู้อื่นโดยมิไยดีเลยก็ได้... แน่นอนว่านางย่อมพูดเล่น ไม่รู้เป็นเพราะอะไร พอเอาเข้าจริงนางกลับรู้สึกระอายใจ หรือคนผู้นั้นคือเจ้าเคหาสน์หลี่ มิใช่คนชั่วช้าสามานย์อย่างคนที่ศิษย์พี่ในสำนักเคยพานพบ
ครั้งแรกที่นางได้ฟังศิษย์พี่เหลียนเหอเล่าเรื่องในยุทธภพว่าเคยถูกชาวยุทธ์จอมเจ้าชู้วางยาพิษรักเมามาย เพื่อให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก นางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแทนศิษย์พี่จึงยื่นยาพิษเกสาพิโรธ หนึ่งในพิษที่นางปรุงขึ้น พิษนี้ถือว่าร้ายแรงเป็นที่สุด ถึงคนผู้นั้นไม่ตาย แต่ก็ไม่สามารถออกมาเผชิญโลกภายนอกได้ เพราะทันทีที่ร่างต้องแสงอาทิตย์หรือจันทรา โลหิตจะหลั่งออกจากทวารทั้งเจ็ด
ศิษย์พี่เหลียนเหอวางยาคนชั่วช้าพรรค์นั้นก็สมควร แต่คนในยุทธภพส่วนหนึ่งถึงกลับล่ำลือว่าสำนักบุปผาหยกอยู่ฝ่ายธอธรรม กระทำการร้ายกาจ
กุ้ยหลินเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูห้อง นางใคร่ครวญอยู่นานก่อนจะเคาะประตูเรียกคนด้านใน
ไม่มีเสียงตอบรับจากด้านใน
จริงสินะ เจ้าเคหาสน์หลี่ถูกพิษร้อยบุปผาหลับใหลไปห้าวันเต็ม อีกอย่างดึกขนาดนี้แล้วใครเล่าจะอยู่เฝ้าเจ้าเคหาสน์หลี่
กุ้ยหลินใช้นิ้วน้อยๆ เคาะที่ขมับตนเองเป็นการตำหนิ จากนั้นผลักประตูแล้วเดินเข้าไป แสงจันทร์สาดส่องผ่านหน้าต่างไม้สลัก พอจะเห็นร่างผู้อาวุโสนอนนิ่งบนตั่งเตียงไม้รำไร
นางทรุดตัวลงบนเก้าอี้ข้างเตียง แล้วหยิบเม็ดยาชนิดหนึ่งขึ้นมาแบ่งออกเป็นสองส่วน จากนั้นป้อนใส่ปากเจ้าเคหาสน์หลี่ไปส่วนหนึ่ง
โชคดีที่พิษร้อยบุปผาเป็นพิษที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต แต่ก็สามารถทำให้หลับไปโดยไม่รู้ตัวและไม่ฟื้นตื่นขึ้นมาอีกเลยหากไม่รีบถอนพิษภายในเจ็ดวัน
พิษนี้แก้ได้ไม่ยาก แค่นางป้อนว่านวานรตื่นก็สามารถช่วยชีวิตเจ้าเคหาสน์หลี่ได้แล้ว
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ เสียงแผ่วเบาของเจ้าเคหาสน์หลี่ทำให้นางเบิกตากว้าง
“ท่านฟื้นแล้วหรือ”
ร่างที่อยู่บนเตียงเผยอเปลือกตาขึ้นช้าๆ จ้องมองนางด้วยแววตาประหลาดใจ
“ผู้น้อยกุ้ยหลิน เป็นคนช่วยชีวิตท่าน” นางปั้นหน้ายิ้ม แล้วถือโอกาสทวงบุญคุณ
เจ้าเคหาสน์หลี่หลับตาลง กล่าวด้วยเสียงแหบพร่าว่า “เจ้าคงเป็นศิษย์สำนักบุปผาหยกสินะ”
หญิงสาวนิ่งงงงัน สมแล้วที่เป็นเจ้าเคหาสน์ใหญ่ เพียงมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันทีว่านางเป็นใคร
“ผู้น้อย...”
“อืม... ไม่เป็นไรๆ ข้าเองก็ไม่เคยมีความแค้นต่อสำนักบุปผาหยก และเจ้าเองก็มิได้มีเจตนาปลิดชีวิตข้า ตอนนั้นข้าแค่ถูกพิษของเจ้าโดยบังเอิญ” ประโยชน์นั้นไม่เชิงเป็นคำอธิบาย แต่คล้ายกำลังปลอบขวัญเสียมากกว่า
กุ้ยหลินเอียงคอ ขมวดคิ้วน้อยๆ
“ท่านเจ้าเคหาสน์หลี่คงหมายถึงศิษย์พี่ของผู้น้อย”
“เจ้ารีบบอกให้ซุนจือปล่อยนางเถิด”
“ขอบคุณท่านเจ้าเคหาสน์หลี่ที่เมตตา แต่ผู้น้อยไม่รู้จักห้องของคุณชาย หลี่” นางรู้สึกตื้นตันยิ่งนัก มินึกว่าท่านผู้เฒ่าผู้นี้จะฉลาดหลักแหลมรู้เจตนาของนางทั้งที่ยังมิได้เอ่ยปาก เห็นทีว่านางจะต้องให้เจ้าเคหาสน์หลี่ชี้แนะบ้างเผื่อว่านางจะสมองไวขึ้น
เจ้าเคหาสน์หลี่ลืมตาขึ้นแล้วสอดสายตามองไปทางด้านหลัง “ซุนจือ เข้ามาเถิด”
นางหันหลังกลับไปมองทันทีที่สิ้นประโยค เห็นหลี่ซุนจือก้าวเข้ามาเนิบๆ แล้วหยุดอยู่ข้างกาย
“ผู้น้อยไม่ได้มีเจตนาจะแอบติดตามแม่นาง แต่ความปลอดภัยของเคหาสน์ตระกูลหลี่คือความรับผิดชอบของผู้น้อย” เขาพูดเนิบๆ ขณะที่ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มจางๆ
นางยิ้มน้อยๆ ก่อนพูดว่า “ในเมื่อคุณชายหลี่รู้จุดประสงค์ของข้าแล้ว ได้โปรดปล่อยศิษย์พี่ของข้าได้หรือไม่”
หลี่ซุนจือมองนางนิ่ง “แม่นางกุ้ยหลิน ท่านคิดที่จะบอกคุณชายเย่าไป๋หรือไม่”
กุ้ยหลินหลุบตาลงต่ำ ซุกซ่อนแววตาหม่นหมอง จากนั้นส่ายหน้าช้าๆ
“ไม่”
หลี่ซุนจือถอนหายใจยาวๆ อย่างอ่อนใจ ก่อนจะผายมือไปข้างหน้า “เช่นนั้นตามข้ามาทางนี้”
เพิ่งพาตัวเองนั้นดีที่สุดแล้ว คนหลอกลวงเช่นเขานางไม่ไว้ใจแล้วจริงๆ ถึงนางไม่บอกกู่เย่าไป๋ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะแอบติดตามนางอยู่ด้านหลังก็เป็นได้
บอกตามตรง เวลานี้นางไม่กล้าหันหลังกลับไปมองเบื้องหลังด้วยซ้ำ
กุ้ยหลินเดินตามหลี่ซุนจือจนมาถึงห้องใต้ดินของเคหาสน์ตระกูลหลี่ ห้องลับที่ชายหนุ่มพามามิอาจเรียกว่าคุก เพราะที่นี่ดูสะอาดสะอ้านเกินกว่าจะเป็นสถานที่กักขังนักโทษ น่าจะเรียกว่าห้องกักบริเวณถึงจะถูก
เพราะฉะนั้นนางถึงไม่เป็นกังวลว่าศิษย์พี่ของนางจะได้รับความไม่เป็นธรรม แต่คนที่นางเป็นห่วงเห็นที่จะเป็นหลี่ซุนจือเสียมากกว่า นางไม่อยากเห็นผลที่ตามมาหลังจากที่เขาปล่อยตัวศิษย์พี่เหมยฮัวแล้ว
กุ้ยหลินลอบทอดถอนใจ
“แม่นางกุ้ยหลิน ทางนี้” หลี่ซุนจือหยุดที่หน้าประตูห้องหนึ่ง เขาหยิบกุญแจขึ้นมาไข
ประตูถูกเปิดออก นางเห็นสตรีร่างแบบบางนั่งหลับตาทำสมาธิ มีผ้าห่มผืนหนานุ่มคลุมขาไว้ ชุดสีส้มขลิบแดงลวดลายโบตั๋นขับเน้นผิวสีน้ำผึ้งแลดูสุขภาพดีน่าหลงใหล เส้นผมดำขลับถูกมุ่นไว้เรียบง่าย
ถูกต้องแล้ว หญิงสาวผู้นี้คือศิษย์พี่รอง เหมยฮัว จะผิดไปจากเดิมก็คือข้างกายของนางไม่มีกระบี่หยก!