บทที่ 8 บุตรชายเจ้าแห่งตึก 2
หลี่ซุนจือหันกลับมาค้อมกาย
“ต้องขออภัยคุณชายและแม่นางอีกครั้ง คนพวกนี้คือศิษย์ของเคหาสน์ตระกูลหลี่ การเฝ้าระแวดระวังคนภายนอกจึงเป็นหน้าที่ของพวกเขา”
นางกะพริบตาปริบมองหลี่ซุนจือนิ่ง มีข้อหนึ่งที่นางต้องยอมรับ หลี่ซุนจือเป็นคนรักษามารยาทได้ดีตั้งแต่แรกเห็น ในขณะเดียวกันถึงคราวเอาจริงก็น่ากริ่งเกรงยิ่ง
หลังจากกุ้ยหลินและกู่เย่าไป๋ติดตามหลี่ซุนจือมาได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงเคหาสน์ขนาดใหญ่ เขาเดินนำอยู่ด้านหน้า ท่วงท่าองอาจสง่างาม
ทันทีที่หลี่ซุนจือกำลังก้าวเท้าผ่านธรณีประตู บ่าวไพร่ต่างพากันหยุดมือจากงานที่ทำ ไม่ว่าจะกำลังกวาดใบไม้บริเวณลานกว้างเอย หรือตัดแต่งกิ่งไม้ในสวนเอย ล้วนแล้วแต่ต้องรีบออกมาค้อมกายทำการต้อนรับชายหนุ่ม เห็นได้ชัดว่าฐานะของเขาไม่ธรรมดา ที่สำคัญพวกเขาล้วนแล้วแต่มีมารยาท!
หลี่ซุนจือยังคงเดินนำนางและเย่าไป๋เข้าไปด้านในต่อ พอมาหยุดอยู่ที่ห้องโถงชายหนุ่มไม่พูดพล่าม เดินนำเย่าไป๋เข้าไปห้องด้านใน โดยทิ้งนางให้นั่งรอด้านนอกเพียงลำพัง
ทันทีที่สะโพกนางแตะเก้าอี้ สาวใช้ก็ยกชาฤดูใบไม้ผลิเข้ามา กลิ่นหอมกรุ่นจากชาชั้นเลิศลอยเข้ามากระทบนาสิก แต่นางหาได้ใส่ใจไม่ ตลอดเวลาที่นางร่วมทางกับเย่าไป๋ นางรู้สึกว่าตนเองเริ่มไม่คุ้นชินกับการอยู่คนเดียว ตอนนี้เองนางเพิ่งตระหนักได้ว่าหากไม่มีเขา นางรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่งยวด
หญิงสาวชายตามองน้ำสีอำพันให้ถ้วยกระเบื้องเคลือบมันวาวแวบหนึ่ง ก่อนจะทอดสายตาละห้อยมองตามแผ่นหลังกว้างไม่คาดครา มือทั้งสองข้างถูเข้ากับกระโปรงผ้าไหมราวกับว่าจะช่วยลดอาการประหม่าได้กระนั้น
ตรงทางโค้งหลี่ซุนจือผายมือไปด้านหน้า หมายให้เย่าไป๋ก้าวตามติดเข้าไปด้านใน แต่คล้ายรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องมาทางตน ชายหนุ่มจึงชะงักฝีเท้าแล้วหันกลับมามองหญิงสาวนิ่ง
กุ้ยหลินกะพริบตาปริบๆ มองสายตาของอีกฝ่ายที่คล้ายกำลังส่งผ่านความรู้สึกบางอย่าง
ใช่นางตาฝาดหรือไม่ แววตาของเขามิได้เย็นชาแต่กลับลุ่มลึกคล้ายแฝงความห่วงใยอยู่หลายส่วน เพียงแค่นางเห็นแววตาคู่นั้น ไม่เพียงช่วยคลายความกังวลในจิตใจ แต่ส่งผลให้หัวใจเต้นระรัวอย่างไร้สาเหตุ
มือขาวเรียวที่ถูกับกระโปรงบัดนี้ยื่นมือออกไปหยิบจอกชาขึ้นมาจิบ ท้ายสุดชายหนุ่มถึงได้เดินตามหลังหลี่ซุนจือไป
ห้องนอนหลังกว้างถูกตกแต่งแบบเรียบง่ายทว่าอึมครึม มีเพียงตะเกียงหนึ่งเดียวที่ถูกจุด บนผนังด้านข้างแขวนไว้ด้วยภาพทิวทัศน์ แต่นั่นมิได้ช่วยลดบรรยากาศอันน่าอึดอัดลงได้
“ท่านผู้นี้คือ...” กู่เย่าไป๋เอ่ยถามหลี่ซุนจือ หลังจากกวาดตามองผู้อาวุโสท่านหนึ่ง เส้นผมขาวโพลนเต็มศีรษะ ใบหน้าซีดเผือด ริมฝีปากเขียวคล้ำ ซึ่งนอนบนตั่งเตียงไม้ยาว บนโต๊ะด้านข้างมีถ้วยยากลิ่นฉุนถ้วยหนึ่ง
“ท่านผู้นี้คือหนึ่งในสี่เจ้าแห่งตึกแห่งจงหยวน หรือก็คือบิดาของผู้น้อยเอง ท่านได้รับพิษจากสำนักหมื่นพิษ” คำพูดของหลี่ซุนจือแฝงความนัย และแน่นอนกู่เย่าไป๋ผู้มีสมองอันปราดเปรื่องย่อมรู้
เขาทรุดตัวนั่งลงเก้าอี้ด้านข้าง เอื้อมมือออกไปตรวจชีพจรของเจ้าเคหาสน์ผู้เฒ่าอย่างละเอียด
หลี่ซุนจือเหลือบมองกู่เย่าไป เขาพิจารณาลักษณะท่าทางและอาภรณ์สีขาวทั่วร่าง จากนั้นโพล่งขึ้นว่า “คุณชาย ท่านคงเป็นกู่เย่าไป๋เจ้าสำนักหมื่นพิษ?”
“คุณชายหลี่สายตาเฉียบคม” กู่เย่าไป๋ปล่อยมือจากข้อมือของเจ้าเคหาสน์ผู้เฒ่า “พิษที่เจ้าเคหาสน์ได้รับ ไม่ใช่พิษของสำนักหมื่นพิษ แต่เป็นพิษจากเขาพันลี้”
“เช่นนั้นคุณชายหมายถึง... บิดาของผู้น้อยได้รับพิษจากสำนักบุปผาหยก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบมิได้แฝงความแค้นเคืองและยิ่งมิได้ตื่นตระหนก
“มิได้ เขาพันลี้ล้วนมีพืชสมุนไพรนานาชนิด อีกทั้งภูเขาล้วนกว้างใหญ่ไพศาล คนนอกคนในล้วนขึ้นเขาเก็บสมุนไพรจากที่นั่น...” เย่าไป๋ลุกขึ้นล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมือ “ใช่ว่าข้าปกป้องฝู้กุ้ยเซียน แต่เท่าที่ทราบสำนักบุปผาหยกมิได้มีเรื่องบาดหมางกับเจ้าเคหาสน์หลี่แล้วไยต้องคิดทำร้าย ยังมีอีก ฝู้กุ้ยเซียนแม้ไร้น้ำใจในบางเรื่อง ทว่านางมิเคยลงมือทำสิ่งใดโดยไร้สาเหตุ ข้อนี้ข้าคิดว่าท่านเองก็น่าจะรู้”
หลี่ซุนจือมองอีกฝ่ายเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขามิได้มีท่าทีเคลือบแคลงสงสัยในคำพูดของกู่เย่าไป๋แต่อย่างใด ที่น่าแปลกใจสุดคือ เขาสงบนิ่งราวกับรับรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการสื่อความหมายเป็นอย่างดี
“ท่านเจ้าเคหาสน์หลับไปนานเท่าไรแล้ว” กู่เย่าไป๋เอ่ยถามท่ามกลางความเงียบ
“ห้าวัน...” พูดถึงตรงนี้หลี่ซุนจือมีความสงสัยบางอย่างจึงกล่าวต่อไปว่า “ผู้น้อยต้องขออภัยที่เข้าใจสำนักหมื่นพิษผิดมาโดยตลอด แต่เมื่อห้าวันก่อน... ก่อนที่บิดาของผู้น้อยได้รับพิษชนิดนี้มีแม่นางผู้หนึ่งเดินทางมายังจงหยวน ถึงนางมิได้บอกจุดประสงค์ แต่นางเป็นคนนอกดูน่าสงสัยยิ่ง นางใช้พิษเล่นงานเจ้า เคหาสน์ตระกูลเหอ ตระกูลเฉิ่น และตระกูลตระหลี่ บิดาของผู้น้อย ถ้าหากคืนนั้นผู้น้อยจับตัวนางไม่ได้ ตระกูลกงซุนเองก็คงย่ำแย่”
“ในความคิดของท่าน คงหมายความว่านางเป็นคนนอกหมายเล่นงานตระกูลใหญ่ในจงหยวน”
หลี่ซุนจือพยักหน้า ไม่ปิดบังความคิดของตน “คงต้องรบกวนคุณชายไปดูแม่นางน้อยผู้นั้นแล้ว ไม่แน่ว่านางอาจเป็นศิษย์สำนักใดสำนักหนึ่งที่ท่านพอรู้จัก”
แม้ตระกูลเหอและตระกูลเฉิ่นมิได้ยึดหลักคุณธรรมสักเท่าไร แต่ก็มิได้ถึงกับเลวร้ายจนขนาดที่แม่นางผู้นั้นจ้องคร่าชีวิต ที่เขายกหน้าที่นี้ให้กู่เย่าไป๋มิใช่เพราะตนเองขี้ขลาด แต่ในฐานะผู้นำเคหาสน์ใหญ่อย่างตระกูลหลี่ซึ่งวางตัวเป็นกลาง ยึดคติไม่ใช้กำลังเพื่อรักษาความสงบสุขของคนในเคหาสน์ แน่นอนว่าถ้าหากเขาลงโทษนางแล้วมีการแก้แค้นเกิดขึ้นในภายหลัง เขาเองก็ไม่อยากนั่งนับการสูญเสียของศิษย์ร่วมสำนัก
กู่เย่าไป๋ตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า “คุณชายหลี่ต้องการลงโทษนางนั่นเป็นเรื่องเห็นสมควร นางทำผิดโดยไม่แยกแยะ ได้รับบทเรียนก็สมควรแล้ว”
คำพูดของกู่เย่าไป๋มีเจตนาให้หลี่ซุนจือสั่งสอนแม่นางผู้นั้น เพื่อให้นางได้รับโทษจากผลของการกระทำ...
หลี่ซุนจือมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความเลื่อมใส จากนั้นกล่าวช้าชัดว่า
“สมแล้วที่ท่านเป็นถึงเจ้าสำนักใหญ่แห่งเขาหมื่นพิษ”
การรอคอยนานๆ ยังผลให้ความกระวนกระวายค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในจิตใจทีละน้อย ภายในห้องโถงหญิงสาวยังคงนั่งหลังตรงแน่ว ดวงตากลมโตคอยชำเลืองมองตรงมุมทางเดินซึ่งก่อนหน้านั้นเย่าไป๋และหลี่ซุนจือเลี้ยวเข้าไป
ต่อเมื่อเห็นคนทั้งคู่เดินมาแต่ไกล เรียวนิ้วทั้งสิบที่ขยุ้มกระโปรงค่อยคลายออก
กุ้ยหลินชะเง้อชะแง้คอมองคนทั้งสอง แม้คนทั้งคู่จะรูปร่างน่าตาหล่อเหลา แต่ลักษณะท่าทางกลับแตกต่างกันสิ้นเชิง คนหนึ่งงดงามดุจหยกน้ำดี ส่วนคนหนึ่งดูองอาจสมกับเป็นชาวยุทธ์
นางรอให้ชายหนุ่มมายืนอยู่ข้างๆ แล้วค่อยลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณคุณชายและแม่นางที่ยอมสละเวลามากับเรา ด้านนอกฟ้าเริ่มมืดแล้ว ถ้าหากท่านทั้งสองไม่รังเกียจโปรดรับการต้อนรับจากตระกูลหลี่ พักอยู่ที่นี่สักคืนแล้วค่อยออกเดินทางเป็นไร” หลี่ซุนจือเอ่ยเชื้อเชิญ
กุ้ยหลินตาเป็นประกายวาวโรจน์ มองใบหน้าเรียบเฉยของกู่เย่าไป๋เปี่ยมความคาดหวัง และหันไปมองหลี่ซุนจือเป็นการขอบคุณล่วงหน้า
สวรรค์ คืนนี้นางมิต้องพักแรมที่โรงเตี๊ยมแล้ว...
แต่เพราะอีกฝ่ายยังเงียบอยู่ นางจึงนิ่งรอ ดวงตากลมโตกะพริบถี่คล้ายเป็นการอ้อนวอนโดยไม่ต้องใช้คำพูด
กู่เย่าไป๋มองดวงตากลมๆ สุกใสของนางแวบหนึ่ง ดั่งเข้าใจเจตนา หากเขาบอกว่า ‘ไม่’ ผู้หญิงคนนี้คงได้ร้องโอดครวญออกมาดังๆ เป็นแน่ อีกอย่างไม่รู้เมื่อไรกันที่เขารู้สึกว่าตนตัดใจทำร้ายความรู้สึกของนางไม่ลง
แววตาเย็นชาของเขาอ่อนโยนลงกว่าครึ่ง ก่อนเอ่ยตอบหลี่ซุนจือไปว่า “เช่นนั้นคืนนี้พวกเราต้องรบกวนคุณชายหลี่แล้ว”