ผ้าม่านถูกปลดลงจนกระทั่งถึงพื้นของห้องแต่งตัว ร่างกายเปียกชื้นสั่นสะท้านด้วยความเย็นแทรกซึมเข้าสู่กาย
ชากาหนึ่งถูกตั้งไว้บนโต๊ะ แทนที่จะได้กลับเข้าตำหนักหนิวกุ้ยเฟย แต่ผินอินกลับถูกรัชทายาทพาตัวมาที่ตำหนักของเขา
ถุงหอมสกิลคนรู้ใจยิ่งส่งกลิ่น เปล่งแสงเรืองรองทุกครั้งยามที่ชายหนุ่มอยู่ใกล้
“เจ้าคงยังไม่หายหนาวดีนะ ดื่มชาสักถ้วยอบอุ่นร่างกายหน่อย”
“หม่อมฉันต้องรีบกลับตำหนักหนิวกุ้ยเฟย”
“เจ้าเป็นคนของตำหนักนั้นแล้วหรือ”
“เปล่าเพคะ แค่ผ่านการคัดเลือกเมื่อวาน ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน”
“แต่ที่เอวของเจ้าข้าเห็นป้ายเข้าออกวัง แปลว่าเจ้าต้องเก่งกาจ จนถึงขนาดวังหลังมอบป้ายให้”
‘โธ่! บางครั้งในอาเขต เรื่องบางเรื่องไม่สมเหตุสมผลก็มี นอกจากจะไม่มีดียังอาจพาปัญหามาให้อีก’
อยู่มานานขึ้น ผินอินจึงเริ่มรู้ว่า อย่างน้อยที่สุดการทำให้กลมกลืนไม่เด่นสะดุดตาเกินไป ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
“ข้าจะให้คนไปส่งเจ้า แต่ก่อนไป... เราสองคนมาแลกกลอนไว้อ่านสักคนละบทดีหรือไม่”
“แลกกลอน หม่อมฉันมิได้แต่งกลอนเก่งขนาดนั้นเพคะ” ผินอินลอบมองบน เขาคิดอย่างไรที่ให้เธอมาแต่งกลอน
พลันเหนือศีรษะของผินอินปรากฏกล่องของขวัญสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ขึ้น เสียงดนตรีคล้ายกล่องดนตรีดังขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว รอบด้านถูกหยุดลงราวกับเวลาหยุดเดิน
ผินอินแหงนหน้าขึ้นมองกล่องของขวัญ จ้องจนกระทั่งตุ๊กตาหน้าจีนกระโดดออกมาด้วยรูปร่างเล็กกระจิ๋ว
[ มาสเตอร์ มาสเตอร์ ]
“เฮ้อ... โผล่ออกมาแต่ละครั้ง มาก็ให้มันไม่ต้องลุ้นนัก... จะได้ไหม”
[ สวัสดี มาสเตอร์ สวัสดี มาสเตอร์ ]
“อะไรกัน เวลาอยู่กับรัชทายาทจะเป็นดันเจี้ยนพิเศษงั้นหรอกเหรอ?”
[ ถูกต้องแล้วค่ะ ปิ๊งป่อง... ปิ๊งป่อง... ]
“แล้วแต่งกลอนคราวนี้ ข้าได้ประโยชน์อะไรบ้าง ขอแบบสกิลที่ไม่กำหนดได้ไหม แบบที่ใช้แบบอัลลิมิเตทมีหรือเปล่า”
[ เนื่องจากคะแนนคนรู้ใจ แถบแรกของท่านผู้เข้าแข่งขัน สามารถเก็บได้ครบก่อนเวลาที่กำหนด เมื่อเกิดดันเจี้ยนพิเศษเพื่อสะสมแต้มต่อ เอาไว้ใช้ในกรณีพิเศษ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องขึ้นอยู่กับกติกาของผู้ควบคุม ]
“งั้นก็เริ่มเลย อย่าชักช้า”
[ กติกาด่านนี้มีอยู่ว่า ต้องแต่งกลอนให้ระดับความชื่นชอบเพิ่มมากกว่าสิบคะแนน ]
“ถ้าต่ำกว่าจะเป็นยังไงล่ะ”
[ หากคะแนนต่ำกว่าที่กำหนด เท่ากับสเตจพิเศษนี้จะไม่มีความหมาย ]
“เสียโอกาสเปล่า... ว่างั้นเถอะ ชิ... พูดไปพูดมา เจ้าก็ต้องบังคับข้าให้เล่นอยู่ดี”
[ มาสเตอร์ เมื่อครบกำหนด คะแนนจากสเตจคนรู้ใจจะสามารถเปลี่ยนเป็นแต้มเพื่อแลกกุญแจมหาสนุกได้ ]
“เอาไว้ทำอะไรเหรอ กุญแจมหาสนุกเนี่ย”
[ สเตจพิเศษเพื่อแลกคะแนน กุญแจแต่ละดอก สามารถเปิดไปยังดันเจี้ยนเพื่อเล่นเกมสะสมคะแนน ]
ถ้ามีดันเจี้ยนพิเศษสะสมคะแนน ก็แปลว่า มีทางให้สะสมคะแนนเพื่อเป็นหนทาง
ผินอินรู้สึกคล้ายเห็นแสงสว่างแห่งความหวัง
“งั้นก็แปลว่า ถ้าเก็บคะแนนจากด่านคนรู้ใจได้มากพอ เพื่อแลกเป็นกุญแจ เมื่อเข้าไปเล่นเกมเก็บคะแนนก็สามารถใช้เป็นคะแนนจริงงั้นสินะ”
[ ปิ๊งป่อง... ปิ๊งป่อง... ถูกต้องแล้วค่ะ ]
“ดีล่ะ ถ้าอย่างนั้นรันสเตจได้เลย”
เสียงดนตรีบรรเลง
ผินอินเริ่มเห็นภาพรอบกายขยับวนไปเรื่อย ๆ ทุกอย่างคล้ายอยู่ในสนามแม่เหล็กสีชมพู
บางทีก็แอบถอนใจว่า แม้จะเป็นสเตจพิเศษ แต่ทำไมมันต้องหวานแหววเสียขนาดนั้น
[ Special Stage Ready. Go… ]
ผินอินกลับกลายลงมาอยู่ในพื้นที่เป็นสี่เหลี่ยมตารางหมากรุก พื้นทุกช่องเป็นสีสลับวิ่งวนไปมา ก่อนจะหยุดเมื่อคล้ายพื้นที่ถูกเตรียมเพื่อเริ่มเกม
ตัวละครลับเปิดเผย เป็นตุ๊กตาหน้าตาคล้ายรัชทายาท
“โอ้... แบบนี้เลยเหรอ จากที่ต้องแต่งกลอนกับรัชทายาทที่เป็นมนุษย์ ถึงต้องมาแต่งกับตัวละครที่เป็นโรบอทแทนอย่างนั้นหรือ แต่หล่อน้อยไปกว่าตัวจริงนะ”
[ Start ]
[ เมื่อยามหวนนางแอ่นจร เร่รัก ด้วยรัก จึงจากจร มิจร เร่รัก ]
“นางแอ่นจร โรยลา เหินลา รักหน่ายจร”
ปิ๊งป่อง... ปิ๊งป่อง...
บวกหนึ่งแต้ม
“ชิชะ... เล่นกับใครไม่เล่น ฉันเอกแปลเชียวนะจะบอกให้”
เสียงโปรแกรมรันคำถามขึ้นใหม่
ผินอินลุ้นจนตัวโก่ง เพราะแม้จะบอกว่า ตนเองเก่งเรื่องแปลภาษา แต่การแต่งกลอนต้องอาศัยความชำนาญส่วนตัว
หากเจอเนื้อหาที่ซับซ้อนมากขึ้น การแต่งเพื่อให้สอดคล้องทั้งความหมาย และจังหวะจะยากตามไปด้วย
เสียงรีรันโปรแกรมจบลง
ตุ๊กตาหน้าเจ้าชายทำทีจะอ้าปาก
[ เหมันต์ผลิบาน บุปผาร่วงโรย ลำธารเขียว ขุนเขาสูง ไร้เมฆา ]
มาแล้วนั่นไง ผินอินนั่งเกร็ง เหงื่อซึม เพราะเนื้อหาเริ่มออกไปไกลเกินกว่าความรักของหญิงชาย
ผินอินนึกทบทวนกวีที่พรรณนาถึงความงามของแมกไม้ และขุนเขาในสมัยถัง
แต่จนแล้วจนรอด ทั้งหลายเหล่านั้นกลับไม่เข้ากันกับการแก้กลอนบทนี้
มัวแต่นั่งคิด กระทั่งเวลาเดินมาจนจะถึงตัวเลขหมดเวลา จึงรีบตะโกนขึ้นไปด้วยความรู้สึกวัดดวง
“อาลัยเหมันต์ กิเลนดั้นเมฆา กลีบดอกซิ่วโรย แย้มเยือนไท่ซาน”
เสียงการประมวลผลดังขึ้น จากเดิมประมาณครึ่งนาที แต่ตอนนี้ลากยาวไปแทบครบนาทีทำเอาผินอินลุ้นจนเหงื่อตก
[ บวกห้า บวกห้า บวกห้า ]
ผินอินพ่นลมหายใจโล่งอก มองดูตุ๊กตาหน้ารัชทายาททำทีเหมือนกำลังจะระเบิดตัวเองด้วยความตกใจ เมื่อแสงสีแดงของมันค่อย ๆ ลดลง ใบหน้าของมันค่อย ๆ กลับมาเป็นตุ๊กตาหล่อเหลา
“แบบนี้ก็ได้ด้วย ถ้าสู้ไม่ชนะ จะทำถึงขนาดระเบิดตัวเองเชียวหรือ แบบนี้ไม่ว่าจะเป็นด่านพิเศษ หรือด่านจริง ก็อาจตายได้สินะ”
ตุ๊กตาหน้ารัชทายาทเริ่มทำท่าคล้ายจะระเบิดตัวเอง เมื่อเข้าสู่การแต่งกลอนครั้งสุดท้าย
ผินอินผงะหงายไปด้านหลัง เมื่อเกิดการระเบิดพลัง
“โอ้โห! แปลงร่างเป็นตัวละครอีกตัวก็ได้ด้วย”
เมื่อแสงสว่างลดลง ตุ๊กตาหน้ารัชทายาทกลายร่างเป็นตุ๊กตารูปร่างใหญ่ยักษ์ เป็นยักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าอาราม เสียงของมันอู้อี้ราวกับเป็นยักษ์มารตัวเป็น ๆ หลุดออกมาจากขุมนรก ดวงตากลมโตแดงฉาน รูปร่างสูงใหญ่รายล้อมไปด้วยลูกไฟ
[ ศิลาแดงจารึก กระบี่หักกลางสมรภูมิ อาลัย อาชา ทิ้งร่าง ไร้คู่เปรียบดุจอินทรี ]
บทนี้มันคุ้นหู ผินอินนั่งนิ่งทบทวน
บทตำราพิชัยสงครามแต่ละยุคจะไม่เหมือนกัน แต่ความคล้ายคลึงยังคงมีอยู่ ที่ตุ๊กตารัชทายาทเอ่ยมา คือบทกวีตอนจบศึกของทัพหนึ่ง แต่เท่าที่จำได้ ตนไม่ได้อ่านไปจนถึงตอนจบ เพราะดันส่งเล่มนั้นไปให้เพื่อนช่วยแปล
‘เวรแล้ว… ตายแน่ ๆ ท่านอย่าระเบิดตัวเองนะ’
เสียงเวลาเดินมาใกล้จะหมดลง
“ทำไงดี ทำไงดี ทำไงดี... บทนี้มันคุ้นหูเอามาก ๆ แต่กลับไม่ชินว่ามันจบลงแบบไหน ไม่ใช่สิ ไม่ใช่ไม่ชิน สัมผัสนอก สัมผัสใน มันสามารถเอามาแต่งเป็นกลอนต่อเนื่องได้นี่นา”
ในขณะที่นั่งครุ่นคิดเสียจนหัวแทบระเบิด
ผินอินกลับคิดถึงเวลาที่ตนเองขี้เกียจ เมื่อต้องเจองานแปลยาก ๆ ในตอนนั้นจะไม่ทำอะไร ทอดตัวลงนอนเพราะไม่อยากให้สมองเครียด และเมื่อตื่นขึ้นมาก็จะคิดต่อได้เอง