ตอนที่ 15 รับเจ้าสาว
เสี่ยวเปาถูกท่านลุงตีก้นหลายครั้ง ร้องไห้โวยวายท่านลุงไม่หยุดหย่อน ต้องเดือดร้อนท่านปู่และท่านย่ามาห้ามศึกลุงกับหลาน ทะเลาะกันเพราะรักถังเหมยหลิน
ท่านย่านั่งบนเก้าอี้ สีหน้ามีความสุขเสียเหลือเกิน “ย่าหัวจะปวดก็เพราะเจ้าแล้วนะเสี่ยวเปาเอ๋ย”
“ท่าย่าละก็ เข้าข้างแต่ท่านลุงอยู่นั่น หลานก็รักท่านป้านี่นา” ยังคงเถียงไม่ยอมความ กลอกกลิ้งตาไปมาพร้อมกับแลบลิ้นส่งให้ท่านลุงที่นั่งหน้าตาบูดบึ้งไม่พอใจ
“ดูเอาเถิดท่านแม่ หลานชายท่านเอาแต่ใจเหลือเกิน” ชายหนุ่มแต่งกายเรียบร้อยแล้ว จึงเข้ามานั่งรอคอยผู้เป็นภรรยา เพื่อออกเดินทางไปยังเมืองถาน ห่างออกไปราว ๆ เกือบหนึ่งร้อยลี้ ใช้เวลาสมควรไม่น้อย กว่าจะเดินทางถึงก็คงจะช่วงเย็น ๆ เสียแล้ว
“หลานข้ามิใช่หลานเจ้าหรือไร แล้วเตรียมของขวัญมอบให้ใต้เท้าถังดีหรือไม่ อย่าทำให้ใต้เท้าถังโกรธเล่า ประเดี๋ยวจะกลับมาเพียงลำพัง” หญิงชราเอ็นดูหลานชายเสียเหลือเกิน เพราะเขายังเยาว์วัย จึงไม่รู้ประสามากนัก ว่าการรักกันของคู่แต่งงานนั้นเป็นเยี่ยงไร
โม่อวี้หรานเองก็ไม่อาจเอ่ยบอกได้หมดสิ้น ครั้นจะให้สามีอธิบายให้ฟังก็ดูเหมือนจะยากเย็นยิ่งกว่า ส่วนมากเคร่งเครียดกับงานเสมอ ซ้ำยังมีเรื่องให้กังวลใจอีกด้วย และวันนี้ต้องส่งเกี้ยวออกไปรับหวังเพ่ยอิงเข้ามาในตำแหน่งอนุของบุตรชายคนโต
พูดถึงหวังเพ่ยอิงแล้ว มีเรื่องช่างน่าขันยิ่งนัก นางอุตส่าห์ลงทุนเอาชีวิตมาต่อรอง แต่เหตุใดกันมิได้ตำแหน่งภรรยารองไปเล่า กลับกลายเป็นแค่อนุผู้หนึ่งเท่านั้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้หญิงชรามั่นอกมั่นใจนักหนา ก็เห็นจะเป็นสะใภ้คนงามของนางนี่ล่ะ ที่สามารถจัดการกับบุตรชายของนางจนอยู่หมัด จะเรียกว่าเป็นลูกไก่ในกำมือได้หรือไม่นะ
กระนั้นยังมีเรื่องให้หญิงชรากังวลใจไม่น้อย จึงเอ่ยขึ้นตักเตือนบุตรชายด้วยความห่วงใย “ใต้เท้าถังรักและเอ็นดูหลินเอ๋อร์มาก เจ้าก็จงระวังเอาไว้ อะไรที่ควรไม่ควรเจ้าย่อมต้องระมัดระวังให้ดี
แม่ได้ข่าวมาว่า ท่านหญิงเองก็รักน้องสาวผู้นี้มาก แต่เจ้ากลับทำร้ายใจนางกี่ครั้งกี่หน นับตั้งแต่หมั้นหมายกับนางมาสิบปี เคยพานพบนางกี่ครั้งกัน เป็นหลินเอ๋อร์ที่มักส่งของมอบให้เจ้าเสมอ คราวนี้เป็นหน้าที่ของเจ้าต้องมอบของขวัญให้ตระกูลถัง อย่าให้ฝ่ายนั้นตำหนิเอาได้ ว่าไม่ใส่ใจกับครอบครัวของภรรยา”
“ท่านแม่วางใจเถิดขอรับ ลูกเตรียมของมอบให้ท่านพ่อตาแม่ยาย รวมถึงท่านหญิงแล้วขอรับ รับรองว่าย่อมต้องถูกอกถูกใจอย่างแน่นอน” บุตรชายเผยยิ้มมอบให้มารดา
เพราะกว่าจะเลือกเฟ้นหามาได้ก็ใช้เวลามากโข ของขวัญชิ้นนั้นที่จะมอบให้แก่ท่านพ่อตา ก็ได้เตรียมการเอาไว้ก่อนที่จะแต่งงานกับถังเหมยหลิน
เสี่ยวเปามีสีหน้าเศร้าสลด หากท่านป้ากลับบ้านไปแล้ว เขาก็เหงาแย่นะสิ แล้วจะทำอย่างไร ดูเหมือนว่าความอ้างว้างมันเข้ามาอยู่ในใจเขาอีกครั้ง
โจวหย่งเล่อพบว่าหลานชายเงียบไป สีหน้าราวกับมีเรื่องทุกข์ใจ จึงได้เอ่ยถาม “เสี่ยวเปา เป็นอะไรไปหรือ ลุงพูดอะไรให้เจ้าเสียใจอย่างนั้นรึ ขอโทษนะ อย่าโกรธลุงเลยได้หรือไม่”
ฝ่ามือหนาของผู้เป็นท่านลุงลูบเส้นผมบนศีรษะของเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน ยามที่เขาเอ่ยกับเสี่ยวเปานั้นช่างไพเราะรื่นหูยิ่งนัก เสี่ยวเปาน้ำตาคลอหน่วยตาทั้งสองข้าง สวมกอดลำคอของท่านลุง เอ่ยเสียงสั่นเครือขึ้น “ข้าทนไม่ได้ที่จะต้องห่างจากท่านป้า”
“ไปเพียงแค่วันสองวันก็กลับแล้ว เอาไว้ลุงจะนำของอร่อยกลับมามอบให้เจ้าดีหรือไม่” โจวหย่งเล่อสงสารก็สงสาร แต่ก็ไม่สามารถนำพาหลานชายไปด้วยได้ จึงหว่านล้อมนำของอร่อยมาหลอกล่อ
“ข้าไม่อยากได้ขนม ข้าอยากไปด้วยมิได้หรือขอรับ” เขายังคงพูดเสียงแผ่วเบา ด้วยความน้อยอกน้อยใจ ที่ดูเหมือนเป็นส่วนเกินของท่านลุงและท่านป้า
“หลานย่า ฟังคำย่าพูดนะ เจ้าจะเดินทางตามท่านลุงท่านป้ามิได้ เพราะตระกูลถังรอคอยบุตรสาวกลับบ้านอย่างใจจดจ่อ หากเจ้าไปแล้วสร้างเรื่องวุ่นวายขึ้นมา ย่ากับท่านลุงของเจ้าจะสู้หน้าท่านป้าของเจ้าได้อย่างไรกันเล่า”
โม่อวี้หรานกอดหลานชายตัวน้อยเข้าแนบอก นางเอ่ยสอนสั่งและให้เหตุผล เกรงว่าจะนำพาความเดือดร้อนให้แก่ลูกสะใภ้ เกรงว่าใต้เท้าถังกับฮูหยินจะตำหนิเอาได้
ถังเหมยหลินแต่งกายเสร็จแล้ว นางประทินโฉมใบหน้ามิให้ซีดขาว เกรงว่าพี่รองจะบ่นเอาได้ สวมอาภรณ์ด้วยผ้าไหมเนื้อเงางาม รองเท้าปักคู่สวยนี้เป็นพี่รองทำเพื่อมอบให้แก่นาง ดังนั้นแล้ววันนี้หญิงสาวจึงงดงามเป็นพิเศษ
ทันทีที่นางเดินเข้ามาบอกลาท่านแม่สามี โจวหย่งเล่อพบใบหน้าอันสะสวยนี้ ถึงกับตกตะลึงในความงดงามของภรรยา ปกติแล้วนางอยู่บ้านมิได้ประทินโฉม ก็งดงามมากอยู่แล้ว ทว่าวันนี้กลับงดงามจนทำให้เขาหลงใหลเคลิบเคลิ้มทีเดียว
โม่อวี้หรานอมยิ้มเล็กน้อย เห็นลูกชายมองภรรยาไม่วางตา คงจะกำลังตกตะลึงพรึงเพริดในความงดงามเป็นแน่ จึงเอ่ยหยอกเย้าขึ้นว่า “งามมากใช่หรือไม่ น่าเสียดายนักวันที่รับนางเข้ามา งามมากกว่านี้อีกนะ”
“ท่านแม่ละก็ พูดเช่นนี้นางก็จะน้อยใจข้าอีก” เขารู้สึกผิดต่อนางจริง ๆ
“ท่านแม่เจ้าค่ะ หลินเอ๋อร์ขอกลับบ้านสักสองวันนะเจ้าคะ” นางนั่งลงเก้าอี้ข้าง ๆ สามี ส่วนอาชิงรออยู่ที่รถม้า เพื่อเดินทางกลับจวนถังพร้อมกับนายสาว
“หลายวันหน่อยก็ได้ แม่อนุญาต ให้เจ้าได้พักผ่อนกายใจ” เพราะหลังจากนี้ ถังเหมยหลินอาจจะไม่ได้ไปเยี่ยมเยือนบิดาและมารดาของนางบ่อยครั้ง ใต้เท้าถังก็มีงานรัดตัว
ส่วนฮูหยินและท่านหญิงจวนถังก็มิค่อยออกมาเดินชมเที่ยวตลาดในเมืองหลวง ก็เพราะว่าห่างไกลเกือบร้อยลี้ เดินทางก็เกือบครึ่งค่อนวันกว่าจะถึงเมืองหลวง
พ่อบ้านเฉิงเดินเข้ามายืนเงียบ ๆ มิได้ขัดการสนทนาของเจ้านายทั้งสาม ที่เขามาก็เพราะว่ารถม้าและหีบของขวัญจัดเตรียมพร้อมออกเดินทางแล้ว หากชักช้ากว่านี้เกรงว่าจะถึงจวนถังอาจจะค่ำมืดเสียก่อน
“ท่านลุงเฉิง รถม้าเตรียมเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” โจวหย่งเล่อทอดสายตามองชายชราอย่างต้องการคำตอบ ส่วนเสี่ยวเปาเริ่มแบะปากเล็กน้อย คาดว่าอีกไม่นานได้ร้องไห้ตามเขาไปแน่ ๆ จะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด
“ขอรับคุณชาย ฮูหยินน้อยเชิญขอรับ”
“ลูกแม่เดินทางปลอดภัยนะ ฝากบอกว่ามารดาและบิดาของเจ้าด้วย หากมีเวลาก็เชิญมาดื่มน้ำชาที่จวนโจวบ้าง หรืออาจจะมาพักผ่อนก็ได้ แม่จะเปิดเรือนรับรองอีกเรือนต้อนรับอย่างดี” โม่อวี้หรานชื่นชมถังฮูหยินที่เลี้ยงดูบุตรสาวทั้งสองได้ดีเหลือเกิน
โจวหย่งเล่อจับจูงมือภรรยาพร้อมออกเดินทาง
ส่วนหวังเพ่ยอิงถูกส่งขึ้นเกี้ยวไร้ขบวนสินเจ้าสาว ที่นางตั้งหน้าตั้งตารอคอยว่า ชายที่นางรักจะจัดขบวนของนางอย่างยิ่งใหญ่ ทว่ามีเพียงแค่เกี้ยวคนหามแค่สี่คน ไหนเลยจะสู้ฮูหยินเอกได้ สินเจ้าสาวมีเพียงแค่คนหามมาสามสี่คนเท่านั้น คล้ายว่าทำพอเป็นพิธีมิให้นางอับอายผู้คน
ใครเล่าจะคาดคิดว่าความอัปยศหนนี้ หวังเพ่ยอิงจดจำจนขึ้นใจ ผู้ใดทำให้นางอับอายขายหน้า นางล้วนหมายหัวเอาไว้ คนผู้นั้นต้องชดใช้ให้นางอย่างสาสม มือเรียวกำกระโปรงแน่น ใบหน้าสะสวยแต่งแต้มงดงาม ไร้รอยยิ้มใด ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเจ้าสาว
ผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาวได้ถูกปิดลง เมื่อฮูหยินรองทำหน้าที่แทนมารดาของนาง เดิมทีหวังเพ่ยอิงคือบุตรสาวของอนุภรรยา ฮูหยินรองไร้ทายาทจึงได้ขอบุตรสาวของอนุ มาเลี้ยงดู และรับเป็นบุตรสาวบุตรสาวบุญธรรม
“อิงเอ๋อร์ จดจำเอาไว้ หากเดือดร้อนทั้งกายและใจ อย่าลืมนึกถึงแม่คนนี้” ฮูหยินรองดวงตาแดงก่ำ เพราะบุตรสาวที่ฟูมฟักเลี้ยงดูตั้งแบเบาะกำลังจะออกเรือน กลายไปเป็นภรรยาของผู้อื่น
ถึงแม้ว่าหวังเพ่ยอิงจะเป็นเด็กเอาแต่ใจ ทว่ากลับดูแลมารดาบุญธรรมเป็นอย่างดี อีกทั้งยังเรียบร้อยอ่อนหวาน เหมาะสมกับตำแหน่งฮูหยินของจวนโจว แต่น่าเสียดายนักที่เรื่องทุกอย่างมันกลับพลิกหน้าพลิกหลัง จนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“เจ้าค่ะท่านแม่ ใครที่ทำให้ข้าเจ็บ ข้าจะคืนให้พวกมันร้อยเท่าพันเท่า วันนี้ข้าได้รับความอับอาย วันหน้ามันผู้นั้นจะไม่มีที่ยืนได้อีก” นางเอ่ยเสียงแข็งกร้าว พร้อมกับลุกขึ้นยืน ถูกแม่สื่อจับจูงออกนอกห้องแล้วส่งขึ้นเกี้ยวเจ้าสาว
เมื่อนางเดินทางมาถึงจวนโจว เกี้ยวเจ้าสาวแค่สี่คนหามกำลังจะไปทางประตูข้าง แต่กลับถูกเสียงตะคอกของหญิงสาวซึ่งแต่งกายด้วยชุดมงคล “เข้าด้านหน้า ข้าคือคนสำคัญของท่านราชครู กล้าหยามหน้าข้ารึ”
ประตูด้านหน้าถูกเปิดออก ด้วยหญิงนางหนึ่ง รูปร่างอวบอ้วน สีหน้าเรียบเฉย ในมือถือผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ ด้านหลังของหญิงผู้นี้มีสาวใช้อีกสามคน แล้วประตูจึงถูกปิดลงทันใด
“ฮูหยินเอกที่ถูกแต่งเข้ามาได้รับเกียรติให้เข้าด้านหน้า แต่เจ้าเป็นแค่อี๋เหนียงเท่านั้น ริอ่านตีตัวเสมอฮูหยินน้อยเช่นนั้นรึ หากยังยืนยันว่าจะเข้าประตูหน้าให้ได้ เช่นนั้นก็รอท่านราชครูกลับมาเถิด” กล่าวจบแล้วหญิงนางนี้ก็ยังยืนขวางหน้าประตูมิยินยอมให้อนุหวังเข้าไปได้เป็นอันขาด
หวังเพ่ยอิงลงจากเกี้ยวด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด มือเรียวนางเปิดผ้าคลุมหน้าออกแล้ว “เขาไปไหน ไปที่ใดกันแน่ เหตุใดไม่ออกมาต้อนรับข้าเข้าจวน”
“ยังมีหน้ามาถามอีกรึ วันนี้ก็ครบสามวันที่ฮูหยินน้อยต้องกลับบ้านเยี่ยมบิดามารดา หวังอี๋เหนียง ข้าขอเตือนเจ้าด้วยความหวังดี หากคิดจะอยู่ในจวนนี้ ทางที่ดีควรเชื่อฟังก่อนจะเข้าจวน หากเจ้าคิดจะต่อต้าน เช่นนั้นจวนโจวก็ไม่สามารถต้อนรับเจ้าได้ อย่าลืมสิ เจ้าเป็นแค่อนุ จะมีอำนาจเหนือกว่าฮูหยินน้อยได้อย่างไร”
“ที่แท้ก็เป็นนางปีศาจถังเหมยหลิน ยุแยงให้เขาหักหน้าข้าเช่นนี้” นางกรุ่นโกรธยิ่งนัก คาดไม่ถึงว่าถังเหมยหลินจะกล้าใช้เล่ห์เหลี่ยมมารยา จูงใจให้เขาคล้อยตามได้ เห็นว่าเรื่องนี้ย่อมปล่อยเอาไว้นานไม่ได้เด็ดขาด อาจต้องขอร้องให้องค์ชายสามช่วยจัดการศัตรูหัวใจของนางเสียแล้ว
“เป็นแค่อี๋เหนียงต่ำต้อย จะสู้ฮูหยินน้อยที่ถูกรักถูกถนอมราวกับไข่มุกบนฝ่ามือได้อย่างไรกัน” หญิงรูปร่างอวบอ้วนยังคงพูดแดกดันหวังเพ่ยอิง ให้รู้ชะตาตนเองเสียบ้าง ว่าใครอยู่สูงกว่าใคร มิใช่เป็นแค่อนุที่ถูกรับเข้ามาอย่างจำใจจะกล้าตีฝีปากแล้วยังคิดริอ่านเข้าประตูหน้าอีก
“ไม่จริง เขามิใช่คนเช่นนั้น เป็นพวกเจ้ารวมหัวกันกลั่นแกล้งข้า คอยดูเถิดหากท่านพี่กลับมาเมื่อไร ข้าจะให้เขาขับพวกเจ้าออกไปให้พ้นหน้าข้า” ยามนี้หวังเพ่ยอิงยกมือชี้ไปยังสาวใช้ทั้งสี่ ซึ่งยืนขวางกั้นไม่ยอมให้นางเข้าทางประตูหน้า ซ้ำยังต่อปากต่อคำไม่หยุดหย่อน ถึงอย่างไรนางก็คือเจ้านายอีกคน เห็นทีว่าจะเก็บสาวใช้พวกนี้เอาไว้ได้แล้ว
“หวังอี๋เหนียงช่างลำพองตนเสียเหลือเกิน เอาไว้ข้าจะนั่งถ่างตารอให้เจ้ารีบไปฟ้องคุณชายใหญ่ก็แล้วกัน จะเข้าหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า หรือจะกลับไปจวนของเจ้าก็จะดีมาก”