วันนี้อิทธิฤทธิ์ตื่นสายกว่าปกติมาก เพราะตลอดทั้งคืนแทบจะไม่ได้หลับได้นอน ไหนจะเสียงโกนของไชยาที่ดังสนั่นจนฝาผนังแทบสั่นสะเทือน และไหนจะร่างอรชรนุ่มนิ่มที่นอนดิ้นทั้งคืนจนเขาแทบจะหมดความอดทนหลายต่อหลายครั้ง กระทั่งเผลอหลับไปเกือบรุ่งสาง
หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาสั่งงานลูกน้อง ซึ่งทุกคนก็เรียงแถวหน้ากระดานเตรียมพร้อมรอรับคำสั่งอย่างรู้หน้าที่ เมื่อสั่งงานเสร็จดวงตาคมกริบก็กวาดมองหาสาวน้อย ที่ไม่รู้ว่าตื่นและออกจากห้องไปตั้งแต่เมื่อ ไชยาก็หายไปด้วยอีกคน
“จ่า เห็นคุณแพทหรือเปล่า”อิทธิฤทธิ์หันมาถามลูกน้องคนสนิท ที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“อยู่ที่โรงอาหารครับ กำลังช่วยเตรียมอาหารเช้าอยู่ครับ”
“เตรียมอาหารเช้างั้นเหรอ”
ชายหนุ่มย้อนถาม พลางเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ ดวงตาคมกริบหรี่แคบลงขณะนึกถึงสภาพสาวน้อยตอนเข้าครัว เพราะตั้งแต่รู้จักกับเธอมาชนิกานต์ไม่เคยทำอาหารเลย แล้วนี่คิดอะไรถึงได้เข้าครัวช่วยเตรียมอาหารแต่เช้า
“ใช่ครับ เห็นพ่อครัวบอกว่าเธออยากจะทำตัวให้เป็นประโยชน์ตามคำสั่งของผู้กองครับ”
เมื่อได้ฟังแบบนั้นอิทธิฤทธิ์ก็พยักหน้าเข้าใจ ที่แท้ก็ไม่อยากถูกส่งตัวกลับกรุงเทพฯนี่เอง ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มบางๆอย่างพอใจ เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่ทำตัวเป็นคุณหนูผู้ดีงอมืองอเท้าไปวันๆ
แต่แอบชื่อชมเจ้าหล่อนในใจได้ยังไม่ทันไร พลทหารนายหนึ่งก็วิ่งหน้าตั้งมากล่าวรายงานเหตุการณ์วุ่นวายที่กำลังเกิดกับโรงอาหารในตอนนี้
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับผู้กอง ตอนนี้โรงอาหารถูกไฟไหม้ครับ”
“อะไรนะ! ไฟไหม้โรงอาหาร!”
อิทธิฤทธิ์หันมาถามผู้กล่าวรายงานเสียงดังลั่น ไม่ต่างจากจ่าปี๊บที่หันขวับมาทางพลทหารด้วยความตื่นตกใจ
“ครับผู้กอง!”
คำยืนยันหนักแน่นจากปากพลทหารหนุ่ม ส่งผลให้ร่างสูงสง่าต้องรีบหมุนตัวแล้วก้าวยาวๆตรงไปยังโรงอาหารด้วยท่าทีรีบรนทันที ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะออกคำสั่งกับลูกน้องคนสนิทที่เดินตามมาติดๆ
“จ่า! เรียกทุกคนให้มาช่วยกันดับไฟด่วน!”
“ครับผู้กอง”
เมื่อได้รับคำสั่งจ่าปี๊บก็ไม่รีรอที่จะใช้วิทยุชนิดมือถือวอเรียกทุกคนในหน่วยให้มารวมตัวด่วน เพื่อช่วยกันดับไฟที่กำลังลุกไหม้โรงอาหาร
ทันทีที่มาถึงที่หมายอิทธิฤทธิ์ก็ต้องใจหายวาบเมื่อเห็นไฟที่ลุกลามไปด้วยความรวดเร็ว และลุกท่วมสูงยากเกินกว่าที่จะควบคุมไว้ได้ แต่ทั้งหมดนี้ไม่น่ากังวลเท่ากับสาวน้อยที่อาสามาช่วยทำอาหารเช้าในนั้น
“มีคนติดอยู่ข้างในหรือเปล่า! ใครเห็นคุณแพทบ้าง!”
อิทธิฤทธิ์หันมาถามนายทหารที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยน้ำเสียงร้อนรน ซึ่งอีกฝ่ายกำลังถือถังน้ำยืนมองความเสียหายตรงหน้าที่ไม่สามารถทำอะไรได้แล้วนอกจากควบคุมบริเวณรอบๆไม่ให้ไฟลามไปติดที่อื่นเท่านั้น
“คุณแพทอยู่ทางโน้นครับ ตอนนี้ไม่มีใครติดอยู่ข้างในครับผู้กอง”
ฟังรายงานจบ ผู้กองหนุ่มก็รีบเดินตรงไปตามทิศทางที่ลูกน้องบอก แต่เมื่อมาถึงก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวกวาดมองนายทหารที่ยืนเรียงกันตรงหน้าก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ร่างอรชรที่ยืนอยู่ข้างๆคู่หู ซึ่งตอนนี้ทั้งสองมีใบหน้าและเสื้อผ้าที่มอมแมมจนแทบจะดูไม่ได้
ร้อยวันพันปีหน่วยทหารแห่งนี้ไม่เคยเกิดเรื่องไฟไหม้แบบนี้มาก่อน กระทั่งมีสองคนนี้มาอยู่ด้วย ดูจากสีหน้าและท่าทางสลดของสาวน้อยแล้ว ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร
“ฝีมือแพทใช่ไหม”
หลังจากที่เงียบอยู่นาน ผู้กองก็เอ่ยถามคนตัวเล็กที่ยืนก้มหน้าไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตา แต่กระนั้นก็พยักหน้ายอมรับออกมาตรงๆ
“ค่ะพี่อิท”
“แล้วไปทำอีท่าไหนไฟถึงได้ไหม้โรงอาหารทั้งหลังแบบนี้ได้ล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ถามเสียงเรียบพยายามสงบสติอารมณ์ให้เย็นไว้ ขณะที่จ้องท่าทางแสนเศร้าของน้องสาวบุญธรรมนิ่ง
“แพทก็แค่จะช่วยพ่อครัวทำไข่ดาว แต่ใครจะไปคิดว่าไข่กับกระทะจะไหม้จนเกิดเป็นไฟลุกรวดเร็วแบบนั้นกันล่ะคะ”
ชนิกานต์ตอบเสียงอ่อย รู้สึกผิดที่ทำให้ทหารทั้งหน่วยต้องวิ่งวุ่นโกลาหนหาน้ำมาดับไฟตั้งแต่เช้า แถมยังต้องสูญเสียโรงอาหารไปทั้งหลังแบบนี้
“พี่อิทอย่าดุพ่อครัวเขาเลยนะคะ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นแพทเป็นคนทำเอง ถ้าพี่จะดุก็ดุแพทคนเดียวก็พอ”
ชนิกานต์ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับชายหนุ่ม เธอยอมรับผิดอย่างกล้าหาญ และขอรับโทษแต่เพียงผู้เดียว ท่ามกลางความรู้สึกซึ้งใจของคู่หูที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะไม่คิดว่าคุณหนูจะรับผิดแทนแต่เพียงผู้เดียว
เห็นท่าทางหงอยๆ ซึมๆของสาวน้อยแล้วอิทธิฤทธิ์ก็ดุไม่ลง ลึกๆแล้วเขาก็อดสงสารไม่ได้ เขาไม่ได้โกรธเธอที่เป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุไฟไหม้โรงอาหาร หากแต่โกรธตัวเองที่ปล่อยให้เธอลงมือทำอะไรที่เสี่ยงอันตรายแบบนี้ เพราะถ้าหากเธอเป็นอะไรไปเขาคงไม่ให้อภัยตัวเอง
“แล้วเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
อิทธิฤทธิ์เอ่ยถามด้วยความห่วงใย ใจจริงอยากจะดึงร่างอรชรเข้ามากอดปลอบ แต่ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้ เพราะไม่อยากแสดงปฏิกิริยาอ่อนโยนเหล่านั้นต่อลูกน้องได้ เกรงจะเสียการปกครอง
“แพทไม่เจ็บตรงไหนหรอกค่ะพี่อิท แต่แพทกลัว”
คนตัวเล็กตอบด้วยเสียงสะอึกสะอื้น จนเขารู้สึกตกใจเพราะเข้าใจว่าเธออาจจะเสียขวัญจากเหตุการณ์ครั้งนี้มาก นาทีนั้นเองเขาตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้หมายจะคว้าตัวเธอมากอดปลอบโดยไม่สนใจต่อสายตานับสิบคู่ของลูกน้องอีก แต่ทว่าเธอกลับร่นถอยหนีด้วยท่าทางหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม
“แพทขอโทษค่ะพี่อิท แพทไม่ได้ตั้งใจทำให้ไฟไหม้ อย่าส่งแพท กลับกรุงเทพนะคะ ฮือ ๆ ๆ ”
ชนิกานต์ร้องให้อ้อนวอนพร้อมกับพนมมือขอร้องอย่างน่าสงสาร ท่ามกลางความนิ่งอึ้งของทุกคน รวมทั้งผู้กองหนุ่มด้วย
‘ที่แท้ก็กลัวจะถูกส่งตัวกลับ’
ดูเหมือนอิทธิฤทธิ์เพิ่งจะได้รับความกระจ่างก็ตอนนี้เอง ชายหนุ่มลอบถอนหายใจโล่งอกที่ยังไม่ทันได้กอดปลอบ เพราะขืนแสดงท่าทางห่วงใยออกนอกหน้ามีหวังสาวน้อยต้องได้ใจไปใหญ่แน่
“ทำขนาดนี้แล้วยังไม่ให้ส่งตัวกลับอีก แล้วถ้าอยู่ที่นี่นานกว่านี้ ไฟไม่ไหม้หมดทั้งหน่วยเลยหรือไง”อิทธิฤทธิ์เก๊กหน้าขรึม ถามเสียงเรียบราวกับผู้ใหญ่กำลังดุเด็กเล็กๆ
“แพทสัญญาว่าจะไม่ทำไฟไหม้ และจะไม่ก่อความวุ่นวายให้ใครเดือดร้อนอีก”
“แล้วพี่จะแน่ใจได้ยังไงว่าเราจะไม่ก่อความวุ่นวายอีก เพราะแค่วันแรกก็ทำคนทั้งหน่วยอดข้าวแต่เช้าแล้ว”
คำถามจี้ใจดำของชายหนุ่ม ทำให้คนถูกถามจุกจนพูดไม่ออก ตอนนี้เธอไม่กล้าให้คำหมั้นสัญญา เพราะเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าจะเผลอทำอะไรพลาดอีกหรือเปล่า
“เอาเสบียงสำรองมาทำอาหารก่อน ไว้สายๆค่อยลงไปซื้อของที่ตลาด”
อิทธิฤทธิ์หันมาออกคำสั่งกับนายทหารที่รับหน้าที่เป็นพ่อครัวประจำหน่วย และทหารนายอื่นๆที่อยู่เวรโรงอาหาร จากนั้นก็หันมาทางตัวแสบทั้งสองคนที่ยังยืนเงียบก้มหล้าก้มตาไม่ยอมพูดอะไรออกมา
“ไปอาบน้ำแต่งตัว แล้วก็เก็บของเตรียมตัวกลับกรุงเทพ เดี๋ยวพี่จะพาเรากับไชยาลงไปส่งที่ตัวอำเภอด้วยตัวเอง”
พูดจบอิทธิฤทธิ์ก็หมุนตัวก้าวยาวๆเดินจากไป ทำให้สาวน้อยที่รอลุ้นว่าจะได้รับการอภัยอยู่ต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแรง เมื่อชายหนุ่มออกคำสั่งชัดเจนว่าจะส่งเธอกลับกรุงเทพจริงๆ
“คนใจร้าย!”
ชนิกานต์ตะโกนตามหลังร่างสูงสง่าด้วยความรู้สึกผิดหวังปนเสียใจ ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่สะทกสะท้านแถมยังกระตุกยิ้มที่มุมปากทีหนึ่งพร้อมเดินจากไป โดยไม่สนใจที่จะหันกลับมามองอีก
………………………………………….