ขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกันอย่างไม่มีใครยอมใครอยู่นั้น อิทธิฤทธิ์ที่เดินมาได้สักพักก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อรู้สึกว่ามีคนกำลังเดินตามเข้ามา
“ไอ้ไชยาเฝ้าทางยังไงปล่อยให้คนเข้ามาได้วะ!”
อิทธิฤทธิ์บ่นพึมพำอย่างหงุดหงิดก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินตรงไปที่แอ่งน้ำด้วยหัวใจที่เต้นแรงขึ้นมากะทันหัน อาจจะเป็นเพราะกังวลว่าจะมีใครมาเห็นเรือนร่างขาวผ่องเขย่าหัวใจชาย ซึ่งตอนนี้ยังคงแหวกว่ายอยู่ในน้ำเช่นเดิม โดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจว่าจะมีใครผ่านเข้ามาเห็นตัวเองในสภาพนี้บ้าง
และเขาก็ยังทราบอีกว่าถึงจะเรียกให้เธอขึ้นมายังไง คนหัวดื้ออย่างชนิกานต์ต้องไม่ยอมขึ้นมาแน่ๆ เขาจึงตัดสินใจโยนผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ลงบนก้อนหินก่อนจะทำในสิ่งที่สาวน้อยคาดไม่ถึงทันที
“ว้าย!”เสียงหวานหวีดร้องด้วยความตกใจ เมื่อชายหนุ่มกระโดดลงน้ำ
“ขึ้นมากับพี่”เสียงดุออกคำสั่ง ขณะที่ว่ายน้ำมาใกล้ๆแล้วคว้าแขนเล็กออกแรงดึงให้เธอตามขึ้นมาจากน้ำ
“พี่อิทจะทำอะไรเนี่ย! ปล่อยแพทเดี๋ยวนี้นะ”
ชนิกานต์ร้องโวยวายพร้อมกับสะบัดแขนออกจากมือใหญ่ ทว่าเขาจับเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อยง่ายๆ
ขณะที่เขากำลังจะดึงร่างอรชรขึ้งฝั่ง แต่แล้วก็ต้องรีบดันร่างเธอกดลงไปใต้น้ำเหลือไว้เพียงหัวให้โผล่พ้นออกมา ก่อนจะใช้ร่างใหญ่ของตัวเองบังคนตัวเล็กไว้แทบมิด เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของคนก้าวตรงมาทางที่ทั้งสองอยู่
และเพียงไม่นานก็ปรากฏร่างของชายทั้งสองที่บุกเข้ามาในบริเวณต้องห้าม ก่อนจะหยุดยืนมองมาที่แอ่งน้ำด้วยใบหน้าฉีกยิ้มเล็กน้อย ส่วนอีกคนที่ถูกวานให้เฝ้าต้นทางแต่แรกก็ยืนทำหน้าประดักประเดิดอยู่ทางด้านหลัง
“โทษทีหว่ะเพื่อน ฉันแค่จะมายิงกระต่ายแถวนี้ ไงก็ขอตัวก่อนนะ”
พูดจบภูมินทร์ก็เดินจากไปปล่อยให้เด็กหนุ่มยืนหน้าซีดรับชะตากรรมอยู่เพียงลำพัง
“ซวยแล้วไงกู!”
ไชยาพึมพำกับตัวเองเบาๆ พลางรีบก้มหน้าหลบสายตาคมกริบขุ่นขวางของเจ้านายหนุ่มที่ส่งตรงมาทางเขา
“ฉันบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าห้ามให้ใครเข้ามา!”
“เอ่อ…ผมห้ามแล้วนะครับ แต่หัวหน้าภูไม่ยอมฟังเลย”
อิทธิฤทธิ์ส่ายหน้าพลางถอนหายใจหนักๆเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่ใช่ความผิดของเด็กหนุ่มเสียซะทีเดียว จะไปโทษเพื่อนจอมแสบนั่นก็ไม่ได้อีก เพราะเวลามาเยี่ยมเขาทีไรก็มักจะหาที่ยิงกระต่ายแถวป่าเสียมากกว่าจะเข้าไปใช้ห้องน้ำในบ้านพัก
“รีบออกไปไชยา! ก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจคิดบัญชีกับนาย”
คำสั่งเข้มห้วนของเจ้านายหนุ่ม ทำให้ไชยาต้องรีบหมุนตัวหันหลัง และจ้ำอ้าวออกจากบริเวณนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมามอง เพราะใบหน้าเคร่งขรึมน่ากลัวนั้นเห็นทีไรก็รู้สึกเสียวไส้ทุกที ทางที่ดีต้องรีบเผ่นก่อนที่อีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจขึ้นจากน้ำมาคิดบัญชีกับตน
คลายหลังเด็กหนุ่ม อิทธิฤทธิ์ก็ปล่อยมือที่กดไหล่มนเอาไว้ พร้อมกับรั้งเอวคอดให้ขึ้นจากฝั่ง ก่อนจะก้มลงไปหยิบผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่เจ้าตัวเหวี่ยงทิ้งไว้เมื่อครู่ขึ้นมาสะบัดฝุ่นออกสองสามทีแล้วจัดการพันร่างอรชรตั้งแต่คอให้โผล่ออกมาเพียงส่วนหัวและเท้าเพียงเท่านั้น โดยไม่สนใจท่าทีขัดขืนของเธอ
“กรี๊ดดด…ปล่อยแพทเดี๋ยวนี้นะพี่อิท ปล่อย!”
สาวน้อยร้องโวยวายลั่นป่า พลังเสียงมีเท่าไหร่ก็เปล่งออกมาเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ดิ้นปัดๆ เมื่อถูกวงแขนแข็งแรงรวบตัวเธอตวัดขึ้นบ่าราวกับเธอเป็นสิ่งของไร้น้ำหนัก
“ถ้าไม่หยุดดิ้น และยังร้องโวยวายอยู่แบบนี้ พี่จะจับเราตีก้นให้เขียวเหมือนเด็กๆเลยคอยดู”
“แพทเกลียดพี่อิท! เกลียด ได้ยินไหม ว่าเกลียด!”
“ได้ยินเต็มสองรูหูเลยแพท และก็ได้ยินแบบนี้เป็นประจำเวลาที่พี่ขัดใจแพท”
อิทธิฤทธิ์บอกอย่าไม่สะทกสะท้านกับคำว่าเกลียดจากปากของเธอ และดูเหมือนว่าเขาจะชินชาไปเสียแล้วกับคำนี้ นอกจากเขาจะไม่ถือสามันแล้วยังทำให้ใบหน้าหล่อเหลาคลี่ยิ้มออกมาบางๆ อาจจะเป็นเพราะไม่ได้ยินคำๆนี้จากเธอมานานแล้ว ตั้งแต่ชนิกานต์เริ่มโตเป็นสาว
ร่างสูงสง่าก้าวอาดๆ เดินกลับมายังบ้านพัก ทุกก้าวย่างเต็มไปด้วยความมั่นคงราวกับเดินตัวเปล่า ไม่ได้แบกร่างอรชรเอาไว้บนบ่าแต่อย่างใด
“คนใจร้าย…คนบ้าอำนาจ ปล่อยแพทลงเดี๋ยวนี้นะ!”
เสียงหวานแหวลั่นเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มพาเธอกลับมาถึงห้องนอน ซึ่งคราวนี้อิทธิฤทธิ์ก็ยอมวางเธอลงบนพื้นห้องแต่โดยดี จากนั้นร่างสูงสง่าก็เดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ไม้เล็กๆมาโยนลงบนที่นอนพร้อมออกคำสั่งเสียงเฉียบขาด
“แต่งตัวให้เรียบร้อย แล้วก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวเดินทางกรุงเทพ อีกสิบนาทีพี่จะพาไปส่งที่ท่ารถในตัวอำเภอ”
“จะให้แพทบอกกี่ครั้งว่า ไม่อยากกลับกรุงเทพตอนนี้!”
“พี่ไม่ได้ถามความเห็นเรา แต่นี่เป็นคำสั่ง!”
ชนิกานต์ตวัดสายตาขุ่นๆ หันไปมองเจ้าของคำสั่ง ประสานสายตากับนัยน์ตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวนิ่งพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่นจนเป็นเส้นตรงด้วยความไม่พอใจสุดขีด
“แพทเกลียดคนบ้าอำนาจอย่างพี่ที่สุด!”
“พี่ก็ปวดหัวกับเด็กดื้ออย่างแพทเหมือนกัน… รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกสิบนาทีเจอกันหน้าบ้าน”
พูดจบร่างสูงสง่าก็เดินออกจากห้องพร้อมกับดันประตูปิดให้ โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูด หรือต่อรองอะไรอีก ชนิกานต์เลยทำได้เพียงกำหมัดแน่นกระทืบเท้าอย่างขัดใจ
……………………………………………….
อิทธิฤทธิ์พาร่างสูงสง่าเดินออกมาหาเพื่อน ซึ่งตอนนี้ภูมินทร์กำลังยืนพิงหลังกับรถจี๊บคันใหญ่ที่จอดอยู่หน้าบ้าน พลางส่งสายตายิ้มๆมาให้แต่ไกลโดยไม่สนใจนัยน์ตาเขียวขุ่นของเขา กระทั่งเขาก้าวมาหยุดยืนตรงหน้า
“มีธุระอะไรถึงได้มาหาฉันแต่เช้าวะไอ้ภู”
ภูมินทร์หัวเราะในลำคอพลางยักไหล่ด้วยท่าทางกวนๆ ก่อนจะเอ่ยตอบคำถาม
“ไม่ได้มีธุระอะไรกับนาย แต่แค่จะมาดูว่าน้องแพทยังอยู่ดีหรือเปล่า เห็นเมื่อวานที่มาส่งน้องเขาบอกว่ายังไม่แจ้งเรื่องที่เดินทางมาที่นี่กับนาย”
“ทำไม กลัวว่าฉันจะฆ่ายายจอมแสบหมกป่าหรือไง ถ้ากังวลเรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเลย เพราะตั้งแต่เธอมาเหยียบที่นี่ก็ป่วนจนคนทั้งหน่วยวุ่นวายไปหมด และผลงานล่าสุดของเธอก็โน้นเลย”
พูดจบอิทธิฤทธิ์ก็ชี้ไปทางโรงอาหารที่เคยตั้งอยู่มุมหนึ่งของหน่วยทหารแห่งนี้ ซึ่งบัดนี้ได้ไหม้เหลือแต่ต่อไม้ดำๆ และยังคงมีควันลอยให้เห็นเป็นพักๆ
“แม่เจ้า! นี่เธอกะจะวางเพลิงหน่วยของนายหรือไงเนี่ย!”
ภูมินทร์หันไปตามมือของเพื่อนแล้วก็ต้องอุทานออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง คิดไม่ถึงว่าภาพตรงหน้าจะเป็นฝีมือของสาวน้อยตัวเล็กๆอย่างชนิกานต์ ทีแรกที่ตั้งใจมาที่นี่แต่เช้าเพราะเป็นห่วงกลัวว่าสาวน้อยจะถูกเพื่อนจับทำโทษ โทษฐานที่เดินทางมาหาโดยไม่ยอมบอกล่วงหน้า ทว่าเมื่อเห็นภาพตรงหน้าแล้วภูมินทร์ก็แทบจะเปลี่ยนใจทันที เห็นทีงานนี้คนที่น่าเป็นห่วงที่สุดน่าจะเป็นความปลอดภัยของเหล่าทหารและเพื่อนของเขาเสียมากกว่า
“แล้วนี่นายจะเอายังไงต่อวะไอ้อิท”เมื่อตั้งสติได้ก็หันกลับมาถามเพื่อน
“จะเอายังไงต่อล่ะ ก็ต้องส่งตัวกลับกรุงเทพฯไวไวก่อนที่หน่วยของฉันจะพังพินาศไปมากว่านี้นะสิ”
“แล้วน้องแพทจะยอมกลับเหรอ เห็นเมื่อวานเธอบอกว่าจะมาอยู่ที่นี่เป็นเดือนเลย”
“ไม่ยอมก็ต้องยอม เพราะยังไงฉันก็ไม่ให้เธออยู่ที่นี่นานกว่านี้แน่!”
“แน่ใจเหรอว่าอยากให้น้องแพทกลับจริงๆ เห็นเมื่อกี้ที่ลำธารนายหวงน้องแพทผิดปกติ คงไม่ใช่หวงแบบพี่น้องแล้วละมั่ง”
ภูมินทร์แสร้งล้อหน้าตาย จึงโดนผู้กองหนุ่มกัดฟันย้อนกลับด้วยเสียงเรียบเย็น
“ไอ้ภู! ถ้าว่างมากไม่มีอะไรทำก็ไปลาดตระเวนไฟป่าได้แล้ว”
“พูดแค่นี้ ทำไมต้องโมโหด้วยวะ หรือว่าฉันพูดจี้ใจดำนายเข้า”
“ถ้ายังไม่หยุดพูด ฉันจะอัดนายเดี๋ยวนี้แหละ”
“ก็แค่ถามเฉยๆ เผื่อนายเกิดเปลี่ยนใจชอบน้องแพทในฐานะอื่นที่ไม่ใช่พี่น้อง เพราะตั้งแต่น้องแพทเรียนจบกลับมาจากเมืองนอกครั้งนี้ ทรวดทรงองเอวก็ไม่ใช่เด็กๆแล้ว แบบนี้เขาเรียกว่าสวยสะพร่าง หุ่นน่า….”
พูดยังไม่ทันจบ หมัดหนักๆของผู้กองหนุ่มก็ซัดเข้าเต็มลิ้นปี่อย่างรวดเร็วไม่ปล่อยให้ได้ทันตั้งตัว ส่งผลให้คนโดนหมัดจุกจนต้องงอตัวกุมท้องเป็นกุ้งอยู่นานกว่าจะเงยหน้าขึ้นมาเค้นเสียงถามลอดไรฟัน
“เล่นบ้าอะไรขอนายวะไอ้อิท ฉันจุกนะโว้ย!”
“สมน้ำหน้า! ถ้านายจะมาพูดแค่นี้ก็กลับไปเลย เพราะเดี๋ยวฉันต้องลงไปส่งตัวป่วนที่ท่ารถแล้ว”
อิทธิฤทธิ์บอกเสียงหนักพร้อมล็อกคอเพื่อนลากดันขึ้นรถจี๊ปคันใหญ่ ส่วนภูมินทร์เองก็ไม่ได้โต้เถียงหรือขัดขืนแต่อย่างใด เพราะธุระที่มาวันนี้ก็มีเพียงเท่านี้จริงๆ
……………………………..……………………