ที่บังอาจเผยออยากจะเลื่อนชั้นเป็นสาวไฮโซเทียบเท่ากับพวกเขาได้อย่างชัดเจนจากแววตาและใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ที่ถูกสาวๆ ในงานคอยจับตามองมาอย่างชื่นชมไม่ว่างเว้น ผิดกับเธอที่ออกจะเกลียดผู้ชายคนนี้เข้าไส้ และเจ็บใจกับเงินล้านที่เขาลงทุนเดินเอาไปฟาดหัวให้ถึงบ้าน
“ฉันไม่ได้ชอบ ไม่ได้อยากมางานพวกนี้ และฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมพวกคุณถึงอยากให้ปริญพาฉันมาด้วย งานนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด”
สาวสวยมาดเซอแม้ออกงานกลางคืนก็ยังแค่รวบผมไปมัดไว้ด้านหลังกับแต่งหน้าเล็กน้อยโต้เขากลับอย่างไม่เกรงกลัว
“ตรงกันข้าม คุณกลับเกี่ยวข้องกับพวกเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าคุณยังคิดจะแต่งงานกับหลานผมอยู่ คุณก็ต้องทำตัวให้กลมกลืนกับพวกเราให้ได้สิ”
“ฉันมั่นใจว่าการวางตัวของฉันจะไม่เป็นปัญหากับแฟนของฉันอย่างแน่นอน”
“แน่ใจเหรอ แล้วที่ผมเห็นคนของคุณทำเปิ่นๆ เป๋อๆ ในงานถึงสองครั้งนั่นล่ะ ใช่ความกลมกลืนที่คุณหมายถึงหรือเปล่า”
“คุณเองก็อยากเห็นแบบนั้นไม่ใช่เหรอคะ ถึงได้บังคับให้ฉันหอบหิ้วตากับแม่มาด้วย คงสมใจคุณแล้วสินะที่พวกเรากลายเป็นตัวตลกในงานให้คนหัวเราะเยาะได้ขนาดนั้น”
“นั่นเป็นหน้าที่ของคุณที่จะต้องฝึกคนของคุณให้เข้ากับพวกผมให้ได้ ถ้ายังอยากเลื่อนตัวเองออกมาจากป่า”
มันช่างเป็นคำพูดที่ทิ่มแทงให้เจ็บแสบทรวงเหลือเกินในความคิดพลอยหยก แต่ไม่ว่าอะไรเธอก็จะสู้เพื่อคนที่เธอรัก เพื่อไม่ให้ใครมาดูถูกตากับแม่และตัวเธอเองเหมือนตอนนี้
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ อีกไม่นานพวกเราก็จะชิน ต่อไปคุณจะจับไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเรามาจากป่าไหนหรือเมืองอะไร”
“ผมภาวนาให้เป็นอย่างนั้น นี่ยังแค่น้ำจิ้มนะ ต่อไปราฟฟ์จะต้องได้พบได้เจอผู้คนมากมายทั้งตอนอยู่ในเมืองไทยและไปเรียนโทเมืองนอก หรือบางทีเขาอาจจะเข้าทำงานที่สถานทูตควบคู่กับการเรียนดอกเตอร์ไปด้วย นั่นหมายถึงเขาจะต้องพบคนมากกว่าเดิมหลายเท่า ผมก็หวังว่าคุณจะไม่เป็นคนที่คอยดึงเขาให้ตกต่ำลง แทนที่จะช่วยส่งเสริมเขาเหมือนลูกสาวท่านทูตที่เขาน่าจะได้ยืนคู่อย่างที่พี่สะใภ้ผมแม่วางเป้าหมายเอาไว้แต่แรก”
“ความรักบังคับได้ด้วยเหรอคะว่าจะต้องรักและเลือกใคร”
“บางครั้งความรักก็มาทีหลังเหตุผลกับความเหมาะสม ถ้าคุณยังยืนยันว่ารักราฟฟ์อยู่และจะเดินหน้าต่อล่ะก็ ผมคงอึ้งจนพูดไม่ออก ไม่อยากจะเชื่อว่าคุณจะทำร้ายคนที่ตัวเองรักด้วยกันดึงเขาลงไปหาคุณแทนที่จะส่งเขาให้สูงขึ้นอย่างที่เขาควรจะเป็น นี่ผมไม่ถือว่าเป็นความรัก แต่เป็นความเห็นแก่ตัวของคุณต่างหาก”
“คุณไม่คิดว่าพวกคุณก็เห็นแก่ตัว บ้างเหรอคะ ที่มาบีบบังคับคนรักกันสองคนให้ต้องแยกจากกัน”
“นั่นเพราะผมเห็นว่าคุณยังรู้สึกว่าตัวเองอยู่ผิดที่ผิดทาง ผิดเวลาและรักผิดคนอยู่ไงล่ะ ผมอยากจะแนะนำให้คุณรับเงินจากผมซะ แล้วไปจากชีวิตราฟฟ์ก่อนที่ทุกฝ่ายจะเจ็บมากไปกว่านี้ นี่เป็นข้อเสนอครั้งที่สอง และคุณเหลือเพียงครั้งเดียวที่ผมจะใจดีให้โอกาส เลยจากนั้นไปแล้วคุณจะไม่ได้อะไรเลยทั้งราฟฟ์ทั้งเงิน”
สิ้นคำเขาก็เดินจากไป เพราะมีหญิงสาวท่าทางสังคมจัดเดินตรงมาหาใช้สองแขนเรียวงามคล้องเข้ากับแขนแข็งแรงของเขาแล้วเดินเข้าไปหากลุ่มคนที่ต่างแต่งกายหรูหราไม่ต่างจากเขานัก
“อานีลมาคุยอะไรกับหยกเหรอ” พลอยหยกหันใบหน้าสวยใสแต่ไร้สุขไปหาแฟนหนุ่มที่เดินเข้ามาหาพอดี
“เอ่อ! ไม่มีอะไรหรอก แค่มาทักทายเท่านั้น” ไม่เคยมีความคิดที่จะเอาเรื่องอาเขามาดูถูกหรือยื่นเงินล้านให้แฟนได้รู้เลย จึงปฏิเสธแล้วเสมองไปที่อื่นเอาดื้อๆ
“เราเข้างานกันดีกว่า ท่านประธานในพิธีจะมาแล้ว คุณแม่กับคุณย่าจะให้เรานั่งโต๊ะเดียวกับท่าน”
นั่นทำให้พลอยหยกอยากจะขอตัวกลับเสียเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่ได้ทำและเดินตามแฟนหนุ่มเข้าไปในห้องบอลรูมกว้างใหญ่ท่ามกลางผู้คนที่แต่งกายหรูหรา เครื่องประดับประดาราคาเรือนแสนเรือนล้าน
ส่วนตัวเองนั้นนอกจากชุดราคาถูก นาฬิการาคาร้อยเก้าเก้า กับสร้อยทองคำขาวมีจี้เพชรเล็กๆ ที่แฟนหนุ่มซื้อให้แล้วก็ไม่มีอะไรบนตัวอีกเลย
เรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารนั้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับพลอยหยกนัก แต่ถ้าจะให้คล่องแคล่วเทียบเท่ากับสาวสังคมจัดรอบโต๊ะรวมทั้งแฟนหนุ่มแล้วละก็คงจะต้องฝึกใช้ชีวิตแบบนี้อีกนานๆ นั่นทำให้เธอเห็นว่าความรัก กับความเหมาะสมนั้นดูเหมือนจะไม่อยากเดินไปด้วยกันเอาเสียเลยระหว่างคู่ของตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ ตกก็ปล่อยมันไปอย่างนั้นล่ะ”
แล้วผักเจ้ากรรมในตะเกียบก็ตกลงไปหาโต๊ะขณะที่หญิงสาวกำลังบรรจงคีบหมายจะส่งเข้าปาก แม้สีหน้าและท่าทางของย่าเขาจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พลอยหยกก็รู้ดีว่าในใจนั้นคิดอะไรอยู่
ไม่ต่างจากแม่ของเขานักที่มองมาแล้วยิ้มอย่างเสียไม่ได้ สายตาก็อ่านออกได้ไม่อยากว่าสมเพชคนอย่างเธอที่สะเออะอยากจะมาอยู่รวมกับพวกเขาอย่างไม่ปิดบัง