ตอน เมื่อรักแรกแตกหัก
ความไม่สบายใจกับท่าทีของคนรอบข้างแฟนหนุ่มในงานเลี้ยงเมื่อคืนยังคงฝังอยู่ในความคิดของพลอยหยกจวบจนยามเช้าที่กำลังแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมไปสมัครงานตามที่นัดเพื่อนๆ ไว้ แม้ปริญจะบอกว่าไม่อยากให้ไปสักแค่ไหน แต่ไม่รู้อะไรทำให้ไม่คิดเชื่อและเดินหน้าหางานไปเรื่อยๆ อยู่นั่นเอง
“อ้าว! จะไปสมัครงานอีกแล้วเหรอหยก”
“จ้ะแม่ หยกไปนะ บ่ายๆ จะกลับมาคุยเรื่องลุงกำนันจ้ะ”
เรื่องนี้ก็ทำให้ต้องครุ่นคิดเช่นกัน แต่พลอยหยกทิ้งมันไว้ข้างหลังก่อน เพราะอยากมีสมาธิกับการสมัครงานที่วันทั้งวันตระเวนไปหลายต่อหลายที่กับเพื่อนๆ จนเรี่ยวแรงจะหมดจากตัวก็ว่าได้
“เฮ้อ! เมื่อไหร่จะได้สักทีวะพวกเรา เรียกสัมภาษณ์ก็ไม่มีสักที่ ทำไมงานมันหายากอย่างนี้นะ”
ดาริกาทรุดกายลงนั่งตรงร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางหลังออกมาจากบริษัทสุดท้ายของวัน
“นั่นน่ะสิ หามาเป็นเดือนแล้วยังไม่ได้สักคนเลยอะ จะทำยังไงดีพวกเรา” พลอยหยกก็มีท่าทีไม่ต่างจากเพื่อนนัก
“แกจะไปกลัวทำไมยะยัยหยก อีกหน่อยก็จะได้แต่งงานกับปริญแล้ว รวยเว่อร์ขนาดนั้นแกไม่ทำอะไรตลอดไปยังได้เลย เป็นชั้นนะจะไม่สนใจแม่กับย่าหรือไม่ก็อาจอมเผด็จการของเขาหรอก”
รัตติกาลเองก็เหนื่อยไม่แพ้กัน แต่ยังมีกระจิดกะใจหันไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกับน้ำเย็นๆ มามากกว่าเพื่อน
“ฉันชักไม่แน่ใจแล้วล่ะเรื่องที่เราจะได้แต่งงานกัน บางทีนายเผด็จการนั่นอาจจะพูดถูกก็ได้”
“เอ๊ย! แกจะบ้าเหรอหยก จะไปสนคนแบบนั้นทำไม แกกับปริญรักกันแค่นั้นก็พอแล้ว เรื่องอื่นอย่าไปสน แต่งแล้วก็ไปเรียนต่อเมืองนอกโน่นเลยจะได้ไม่ต้องอยู่ให้รกหูรกตาคนพวกนั้น ง่ายจะตายไป”
พลอยหยกรู้ว่าไม่อาจจะทำอะไรง่ายๆ อย่างดาริกาบอกได้แน่ ในเมื่อทุกย่างก้าวของทั้งเขาและเธอจะต้องพึ่งพาเงินทางบ้านของเขาอยู่อย่างนี้ แม้จะไม่ได้ร่ำรวยอะไรมากมาย แต่ก็มีศักดิ์ศรี ไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพวกปลิงที่จะไปคอยเกาะ คอยสูบเลือดจากครอบครัวคนรักเลยสักนิด
“ไม่รู้สิ ตอนนี้ยังคิดไม่ออก กินเหอะ หิวจะตายอยู่แล้ว”
เมื่อชามที่มีกลิ่นหอมๆ โชยมาวางอยู่ตรงหน้า พลอยหยกเลยเลือกที่จะลืมทุกอย่าง แล้วคว้าตะเกียบกับช้อนขึ้นมาแทนทันที สองเพื่อนก็ไม่ต่างกันนัก บ่ายสามกับอาหารมื้อแรกของสามสาวจึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แล้วต่างแยกย้ายกันตรงป้ายรถเมล์ เพื่อพบกันใหม่ในวันพรุ่งกับการออกตระเวนสมัครงานมาราธอนของบัณฑิตใหม่ที่ต่างต้องผ่านเวลาอันเลวร้ายนี้ด้วยกันทั้งนั้น
พอไปถึงก็เห็นแม่นั่งหน้าเศร้าอยู่ในบ้านหลังน้อยแวดล้อมด้วยกระถางต้นไม้นับร้อยรอให้ยกไปขายตรงร้านข้างทางห่างจากบ้านไปราวสามกิโลเมตร “เป็นอะไรไปจ๊ะแม่ วันนี้ไม่ออกไปช่วยตาขายของเหรอ”
พลอยหยกดึงชายเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวออกจากกระโปรงสั้นระดับเข่าที่น้อยครั้งนักจะใส่หากไม่ใช่ไปเรียนหรือไปสมัครงาน แล้วเดินเข้าบ้านไปเปิดตู้เย็นได้น้ำใส่แก้วเดินไปนั่งลงกับเบาะบนพื้นข้างโต๊ะจีนตัวเล็กๆ ที่มักจะเป็นโต๊ะอาหารของคนในบ้านไปโดยปริยาย
“แม่มีเรื่องเครียด ไม่รู้แก้ไขปัญหายังไง”
“เรื่องอะไรเหรอจ๊ะ อย่าบอกนะว่าเรื่องที่ลุงกำนันมาหาเมื่อวันก่อน เรื่องเงินกู้หรือเปล่า”
น้ำในแก้วถูกยกขึ้นดื่มหมดไปครึ่งหลังรอคำตอบจากแม่สักครู่แต่แม่ยังเงียบ
“นั่นล่ะ แม่ไม่รู้จะบอกหยกยังไงมันพูดลำบาก” กรองแก้วมีท่าทีอึดอัดกับการจะเปิดปากเล่าให้ลูกฟัง
“บอกมาเถอะจ้ะแม่ ยิ่งมาพูดอย่างนี้ยิ่งทำให้หยกอยากรู้นะ”
แม้จะรู้ดีว่าช่วยแม่กับตาเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ยังไงก็อยากจะฟัง อย่างน้อยๆ ก็จะได้ให้แม่ระบายความอึดอัดออกมาได้บ้าง เพราะเรื่องเงินกู้ที่ตากับแม่เอาสวนไปจำนองไว้กับกำนันเพื่อมาเป็นค่ารักษาพ่อกับลงทุนเพิ่มเมื่อหลายปีก่อนนั้นพลอยหยกรับรู้มานานแล้ว
และเข้าใจเหตุผลได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบอกกับตัวเองว่าถ้าเรียนจบได้งานทำเมื่อไหร่จะช่วยได้ในบางส่วน
“ลุงกำนันบอกว่าถ้าเราไม่หาเงินสามล้านไปไถ่กลับมาแกจะยึดแล้วเอาไปขายเพราะแกต้องใช้เงินให้คุณทรงเทพเอาไปไว้หาเสียงลงสมัคร ส.ส. ในสมัยที่จะถึงนี้”
“อ้าว! จะมายึดของเราได้ยังไงล่ะจ๊ะแม่ ในเมื่อเราส่งต้นส่งดอกตลอดนี่นา” พลอยหยกออกอาการกังวลไปกับแม่เข้าให้แล้ว
“แกอยากได้ต้นคืนแล้ว เพราะต้องใช้เงินมาก แต่แกก็หาทางออกให้เรามาเหมือนกันนะถ้าไม่อยากขายสวนหรือไม่อยากค*****นที่กู้มาทั้งหมดน่ะ”
กรองแก้วมองหน้าลูกด้วยท่าทีอึดอัดยิ่งกว่าเดิม และไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดออกไป
“ยังไงล่ะจ๊ะ” ยิ่งทำให้ลูกอยากรู้
“เอ่อๆ คือว่ากำนันยื่นข้อเสนอมาให้เรา...เอ่อ...เฮ้อ! แม่ไม่รู้จะบอกหยกยังไงดี”
ไม่บ่อยครั้งนักที่กรองแก้วจะอับจนหนทางบอกอะไรกับลูกไป แต่คราวนี้มันย่ำแย่กว่าทุกครั้งที่เคยก็ว่าได้ ขนาดพ่อยังขอหนีไปเฝ้าร้านแล้วปล่อยให้ลูกเป็นคนจัดการแทนเลย
“ก็บอกมาตรงๆ นี่ล่ะจ้ะแม่ มีอะไรเราจะได้ช่วยกันหาทางแก้ไข ถึงแม้ว่าหยกจะรู้ว่าช่วยอะไรแม่ไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ แม่ก็ยังได้ระบายความอึดอัดออกมาบ้างไง”
พลอยหยกขยับไปหาแม่แล้วจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยแววกังวล
“ความจริงหยกช่วยแม่ได้ในเรื่องนี้”
“ยังไงจ๊ะ”
ลูกงงไม่น้อย กับท่าทีกับสีหน้ามีความหวังของแม่