“ฉันไม่ทราบว่าวันนี้จะต้องไปทำงาน เลยใส่ชุดนี้ลงมา”
“นี่มันวันทำงานไม่ใช่เหรอครับคุณหนูย้า หรือคิดว่าแต่งกับผมแล้วจะนอนเสวยสุข โดยไม่ทำอะไรเหมือนแม่คุณเหรอ ฝันไปเถอะ เป็นเมียไอ้ฮั้นท์จะต้องขยัน ช่วยผัวทำมาหาเงิน ผมให้อยู่ฟรีกินฟรี แต่ถ้าอยากมีเงินใช้ก็ต้องหาเอง เพราะผมจะไม่เอาเงินมาประเคนให้เมียเอาไปผลาญเล่นแน่ๆ เข้าใจตรงกันนะคุณหนูย้า...”
“ฮั้นท์...ทำไมไม่พักก่อนล่ะจ๊ะ งานแต่งเพิ่งเสร็จ”
ไรยามองวันดีปรามหลานตัวเองเสียงเบาๆ แล้วหันมามองเธอด้วยสายตาออกจะเย็นชา
“ผมไม่ได้ให้ค่ากับงานแต่งเฟคๆ หรอกครับป้า ที่ยอมจัดก็เพื่อรักษาหน้าพ่อตาเท่านั้น แต่ไม่คิดว่าเมียจะเห็นเป็นจริงเป็นจัง จนเข้าใจว่าหลังแต่งแล้วจะต้องพักผ่อนยกใหญ่ หรือไม่ป่านนี้ก็คงจะฝันถึงที่ฮันนีมูนสวยหรูอยู่ล่ะมั้ง ขอโทษนะถ้าทำให้ผิดหวัง”
“ฉันไม่ได้ฝันอะไรไว้ขนาดนั้นหรอก”
“ถ้าไม่ได้ฝัน ก็รีบตื่นมาพบความจริงสักทีสิ ละครตบตาชาวบ้านแบบในงานแต่งจบละ ได้เวลาจะต้องลุกมาทำงานแลกกับเงินเดือนที่ผมอุตส่าห์ให้สูงๆ สักที”
“ฉันไม่มีปัญหาเรื่องต้องไปทำงาน แค่ไม่ทราบว่าคุณจะให้ทำวันนี้เท่านั้น คุณบอกดีๆ ฉันก็เข้าใจแล้ว”
“งั้นก็รู้ไว้เลยสิ และบอกไว้ตรงนี้เลยนะ ถ้าคุณไม่ทำงานก็จะไม่มีเงินใช้ เพราะผมจะไม่ยัดใส่มือให้เหมือนผัวคนอื่นหรอก...”
“เข้าใจแล้วล่ะ ไม่จำเป็นจะต้องมาประชดประชันอย่างนี้ก็ได้”
ไรยาลุกขึ้นทันที เพราะหมดอารมณ์จะกินอะไรแล้ว
“จะไปไหนล่ะ”
หรัญญ์ส่งเสียงห้วนๆ ใส่ กับมองตาขวาง
“ฉันก็จะขึ้นไปแต่งตัวไง หรือจะให้ไปชุดนี้เลยคะ”
“ให้เวลาสิบห้านาที ไม่งั้นก็เดินออกไปโบกแท็กซี่เอง อ้อ ปกติป้าวันจะตั้งโต๊ะมื้อเช้าตั้งแต่หกโมง วันหน้าช่วยมาให้มันเร็วๆ ด้วย ถ้าคนขี้เกียจอย่างคุณไม่เคยตื่นเช้า ก็ช่วยปรับตัวด้วย”
ไรยาเดินออกจากห้อง แต่กลับได้ยิน
“ฮั้นท์ บอกดีๆ ก็พอแล้ว ไม่เห็นต้องว่าขนาดนั้นเลย”
“พวกหิวเงินทนได้และไม่ถือหรอกครับกับคำพูดแค่นี้ ไม่งั้นจะยอมแต่งกับคนที่ตัวเองไม่รู้จัก ไม่เคยเห็นหน้าเหรอครับ ถ้าไม่เพราะเห็นเงินแล้วหน้ามืดตามัว คิดว่าจะได้ผัวหน้าโง่ๆ เอาเงินเป็นร้อยๆ ล้านมาทุ่มซื้อหุ้น”
มันสะอึกจนแทบจะก้าวขาไม่ออก น้ำตาก็เกือบจะไหลถ้าไม่ห้ามไว้ ก่อนจะรีบเดินหนีไป
“มีอะไรก็ใส่ๆ ไปก่อนแล้วกันย้า แกเสือกบ้าคิดว่านายนั่นจะเป็นคนดีเองนี่หว่า”
ชุดทำงานที่มีในตู้น้อยนิด ถูกคว้าขึ้นมาใส่กับแต่งหน้าทาปากใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที แล้วก็รีบลงไปยืนรออยู่หน้าประตูใหญ่ใต้หลังคาโดม
“บอกให้รีบมา แล้วอยู่ไหนซะล่ะ”
ความเสียใจ ความผิดหวังกับสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ถูกเก็บกดไว้ในใจอย่างยากลำบาก แต่เธอจะทำให้ได้ และจะไม่เผยความอ่อนแอให้เขาเห็นแน่ๆ
เลยพยายามดูความสวยงามตรงสวนหน้าบ้านให้เป็นประโยชน์ เพื่อทำให้จิตใจผ่องใสขึ้น อารมณ์แช่มชื่นขึ้น มองสวนสไตล์อังกฤษ เข้ากับตัวบ้าน ไม่ใช่สิ น่าจะถูกเรียกว่าคฤหาสน์มากกว่า บ้านเก่าเธอว่าใหญ่แล้ว เทียบกับบ้านเขา ขนาดก็ต่างกันมาก เนื้อที่ก็ต่างกันด้วย
ถึงนนทบุรีที่ดินจะถูกกว่าแถวบ้านเก่าเธอ แต่ไร่หนึ่งก็หลักร้อยล้าน อยากเดาว่าที่มาของเงินน่าจะจากอัฟแนนเป็นส่วนใหญ่ หรืออาจจะทั้งหมด
“อย่าไปตะลึงกับสมบัติเขาเลยย้า ปากหมาแบบนี้”
ก็เธอไม่เคยคิดไม่เคยฝัน ว่าเขาจะปากร้าย ประชดประชัน พูดกระแทกแดกดันได้ขนาดนี้
‘ฉันไปทำอะไรให้นายเจ็บช้ำใจตั้งต่อเมื่อไหร่กันนะ ถ้าอยากได้หุ้น ก็มาซื้อดีๆ ได้นี่ ไม่เห็นจะต้องลากฉันมาแต่งด้วยเลย’
“จะยืนเหม่ออยู่อีกนานมั้ย”
ไรยาสะดุ้งโหยง มองไปก็เห็นเขานั่งอยู่เบาะหลังรถยุโรปแล้ว มีชายอีกคน ออกมาเปิดประตูให้ เป็นคนขับรถพามานี่ตอนส่งตัว ยังไม่รู้ว่าชื่ออะไร คิดว่าคงเป็นคนขับรถประจำ
“เชิญครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ไรยายิ้มให้ แล้วเข้าไปนั่งข้างเขา
“วันหลังถ้ารีบๆ คงไม่ต้องรอใครออกไปเปิดประตูให้ก็ได้มั้ง เพราะผมเดาว่าบ้านคุณตอนนี้ ก็คงไม่มีคนคอยรับใช้หรอก เพราะ...”
“ฉันไม่ได้ขอให้คนของคุณมาบริการ”
ว่าจะไม่ต่อปากต่อคำแล้ว แต่ก็อดไม่ได้
“แต่คุณก็ยืนเฉยๆ จนคนของผมต้องลงไป”
“ฉันไม่ได้ยืนเฉยๆ แค่คิดอะไรเพลินๆ เท่านั้น จบได้หรือยังเรื่องนี้ ฉันจะได้เอาสมาธิมาคิดเรื่องอื่น”
“เชิญตามสบายครับคุณหนูย้า แล้วก็อย่าลืมเอาสมาธิไว้รับเรื่องเพลินๆ ที่ผมเตรียมไว้ให้ก็แล้วกัน ออกรถเลยนะ สายมากแล้ว”
อยากจะเถียงกลับ แต่คิดอีกทีก็ขอนิ่งดีกว่า เพราะไม่อยากให้คนของเขาได้ยิน เลยเอาไอแพดมานั่งทำงานแค่นั้น
“เชิญ! จะลงเองหรือต้องให้ผมอุ้ม เหม่อเชียว”
ไรยาได้สะดุ้งรอบสอง เมื่อได้ยินเสียงคนข้างๆ ดังขึ้น
“ไม่ได้เหม่อ แค่ทำงานเพลิน”
“อีกหน่อยคงได้เพลินกว่านี้ เชิญครับคุณหนูย้า”
เห็นยิ้มกวนๆ แล้วขัดใจไม่น้อย แต่ก็รีบออกไปยืนอยู่ข้างรถ รอให้เขาเดินนำไปก่อน ก็ไม่รู้ทางนี่นา ตอนนั่งมาก็ดันลืมดูบรรยากาศโดยรอบ เพราะมัวทำงาน เงยหน้ามาอีกที
รถก็จอดอยู่ช่องประจำชั้นใต้ดินแล้ว ในเอกสารตอนร่วมหุ้น จำได้ว่าสำนักงานใหญ่อยู่งามวงศ์วาน จากบ้านมานี่ ก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมง ถ้ารถไม่ติดก็อาจจะเร็วกว่านี้
“เชิญครับคุณหนูย้า”
หันไปมองด้วยท่าทีไม่ปลื้ม กับคำเรียก แต่ไม่อยากพูด เพราะคนของเขาอยู่ด้วย เลยแค่เดินเข้าลิฟต์ไปเท่านั้น
“ตึกนี้ชื่ออะไร คุณหนูย้ารู้มั้ยครับ”
อีกครั้งที่ต้องหันไปหา
“ไม่ทราบค่ะ”