หม่อมเจ้าดนัยเทพรังสรรค์ทรงดำเนินลงจากรถรางพร้อมด้วยชวาลากับพีระที่ถนนข้าวสาร โดยมีจุดหมายคือวังทินวงศ์ของหม่อมราชวงศ์วิไลเลขาซึ่งอยู่เลยไปไม่ไกลนัก
วังทินวงศ์เป็นตึกสองชั้นสีครีมหลังใหญ่ ตกแต่งอย่างทันสมัยด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมอีตาลี หลังคาเป็นทรงปั้นหยาผสมมะนิลา ตรงมุขที่ยื่นออกมาด้านหน้ามีปีกด้านข้างคล้ายตึกโดยทั่วไป อยู่ในรั้วก่ออิฐถือปูนสีแดงเข้ม มีป้ายชื่อติดไว้ด้านหน้าอย่างโอ่อ่าว่า ‘ทินวงศ์’
เมื่อเห็นแขกมากหน้าหลายตาทยอยเข้าไปในประตูที่เปิดกว้างไว้อย่างไม่ขาดสาย โดยมีชายหนุ่มแต่งชุดราตรีสโมสรแบบฝรั่งคอยยืนโค้งคำนับอยู่ด้านหน้า ชวาลาก็กระซิบถามข้างกรรณท่านชาย
“ไหนฝ่าบาทรับสั่งกับหม่อมว่างานเลี้ยงจัดเป็นการภายในไม่ใช่รึหม่อม”
“แกเองก็น่าจะรู้จักท่านอารวีโชติดีนะว่าโปรดงานเลี้ยงหรูหราแบบนี้อยู่แล้ว ถึงจะบอกว่าเป็นงานเลี้ยงภายใน แต่ยังไงเสียก็คงมีแขกมาร่วมงานไม่น้อย” ท่านชายทรงกระซิบตอบเช่นกัน
บุคคลที่ท่านชายดนัยเทพรังสรรค์รับสั่งถึงคือหม่อมเจ้ารวีโชติ ทินวงศ์ ซึ่งเป็นท่านพ่อของหม่อมราชวงศ์หญิงวิไลเลขา ซึ่งท่านชายรับสั่งไม่ผิดจากความจริงไปนัก เพราะเมื่อทอดพระเนตรไปยังบริเวณสนามด้านหน้าก็พบว่าประดับประดาไฟอย่างสวยงาม พร้อมทั้งจัดตั้งโต๊ะอาหารยาวปูผ้าขาว มีอาหารคาวหวานวางเรียงรายราวกับเลี้ยงแขกได้เป็นร้อยคน
“ทูลเชิญฝ่าบาทเสด็จข้างในเถอะพ่ะย่ะค่ะ” ชายหนุ่มในชุดราตรีสโมสรที่ยืนต้อนรับอยู่หน้าประตูรีบเดินมาโค้งคำนับ เมื่อเห็นท่านชายดนัยเทพรังสรรค์ประทับยืนอยู่พร้อมด้วยพระสหายและคนสนิท
ท่านชายพยักพักตร์ให้นิดหนึ่งก่อนจะทรงดำเนินนำทั้งสองไปยังหน้าห้องโถงกว้าง ซึ่งมีโต๊ะตัวยาวปูผ้าขาวเสมือนในสนามไม่มีผิดตั้งอยู่ ภายในห้องโถงด้านหนึ่งเป็นเวทียกสูงจากพื้น คาดว่าคงไว้สำหรับการเต้นรำ ส่วนอีกด้านของห้องโถงกว้างมีแขกผู้ใหญ่สูงอายุชุมนุมกันอยู่ เหล่าสุภาพบุรุษล้วนแต่งกายคล้ายกันคือสวมโจงกระเบนผ้าม่วงหลากสีกับเสื้อราชปะแตน ส่วนสุภาพสตรีสวมโจงกระเบนกับเสื้อลูกไม้แบบฝรั่ง ถุงน่องรองเท้าครบชุด พร้อมเครื่องประดับแพรวพราวละลานตา
ฝ่ายแขกที่เป็นหนุ่มสาวก็มียืนคุยกันบ้าง นั่งคุยกันบ้าง อยู่บริเวณเฉลียงหินอ่อนกว้าง ในมือของแต่ละคนมีแก้วเครื่องดื่มสีสันสวยงาม ชายหนุ่มส่วนใหญ่แต่งกายโก้หรูด้วยชุดราตรีสโมสรแบบฝรั่ง มีผ้าผูกคอหรือหูกระต่าย และสวมรองเท้าหนังมันปลาบ ส่วนหญิงสาวอยู่ในชุดไม่ต่างจากสุภาพสตรีสูงอายุนัก มีเพียงไม่กี่คนที่สวมซิ่นยาวเลยเข่าแทนโจงกระเบน
“ฝ่าบาททอดพระเนตรดูสาวๆ แต่ละคนแต่งกายกันสิ ตอนนี้หลายคนเริ่มหันไปนุ่งซิ่นกันบ้างแล้ว ต่อไปหม่อมคิดว่าคงหาคนนุ่งโจงกระเบนได้ยากเต็มที” ชวาลากระซิบเบาๆ ข้างกรรณอีกครั้ง เขาเองก็รู้มาว่าเวลานี้ผ้าซิ่นเลยเข่าลงมานิดหน่อยกำลังเป็นที่นิยมแพร่หลายในหมู่สาวๆ ชาวสยามที่อยู่ในวงสังคมชั้นสูง
“ผ้าซิ่นเลยเข่ากำลังเป็นที่นิยม แกคงรู้สินะว่าใครทรงเป็นผู้นำ” ท่านชายรับสั่งตอบเสียงเบาพอกัน
“รู้สิหม่อม แต่ดูแล้วยังไม่เห็นมีใครนุ่งซิ่นได้เหมาะเท่าพระองค์เลยสักคน” ชวาลาพยักหน้ารับพลางเหลียวมองไปรอบกาย “ตกลงเป็นงานฉลองวันเกิดหรืองานสโมสรสันติบาตรกันแน่ฝ่าบาท ดูแต่ละคนแต่งกายกันเต็มยศราวกับมางานระดับประเทศกันกระนั้น”
“งานนี้ท่านอารวีถึงกับทูลเชิญเสด็จป้าของฉันมาเป็นองค์ประธาน ก็น่าจะรู้ว่างานที่จัดต้องยิ่งใหญ่พอควร เราสองคนจึงต้องแต่งชุดไทยแบบนี้มาไงล่ะ ไม่งั้นได้กริ้วเป็นแน่” ท่านชายทรงอธิบายเพิ่มเติมกับพระสหาย
ชวาลาพยักหน้าเมื่อนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้
“นั่นสิ หม่อมเกือบลืมไปว่าเสด็จพระองค์หญิงท่านเสด็จมาเป็นองค์ประธานในงานนี้ด้วย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แต่จำได้ว่าเสด็จป้าของฝ่าบาทไม่ค่อยโปรดงานเลี้ยงแบบนี้ไม่ใช่รึหม่อม”
“ไม่รู้ว่าท่านอาไปทูลเชิญท่าไหนเสด็จป้าจึงยอมเสด็จมาได้ ฉันยังสงสัยอยู่ว่านี่งานวันเกิดหรืองานแซยิดท่านอากันแน่ ถึงต้องมีองค์ประธานด้วย” ท่านชายรับสั่งด้วยความขบขัน
“ท่านชายรวีโชติมีชันษาถึงฉลองแซยิดแล้วรึหม่อม”
“ฉันพูดเล่น ท่านอารวีชันษามากกว่าท่านแม่ของฉันไม่กี่ปี ยังอีกหลายปีถึงจะฉลองแซยิดได้”
ชวาลาเหลียวมองผู้คนในห้องโถงอีกครั้งแล้วเปรยขึ้นยิ้มๆ “ถ้าไม่นับกลุ่มแขกผู้ใหญ่ คงมีฝ่าบาทกับหม่อมและพีระกระมังที่แต่งชุดไทยๆ เช่นนี้”
ท่านชายแย้มสรวลเล็กน้อย ซึ่งน้อยครั้งจะมีผู้ใดได้เห็น ท่านไม่ได้ทรงฉลองพระองค์แบบไทยแท้ๆ เช่นนี้มานานหลายปีแล้ว นับตั้งแต่ทรงไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ
“เวลานี้วัฒนธรรมจากตะวันตกเริ่มแพร่หลายเข้ามายังประเทศของเรา ผู้คนในวงสังคมกำลังเห่อชุดออกงานแบบฝรั่ง ฉันคิดว่าไม่นานชุดโจงกระเบนกับเสื้อราชปะแตนแบบที่เราสามคนแต่งนี้คงหาดูได้ยาก”
เมื่อหม่อมเจ้าดนัยเทพรังสรรค์ปรากฏวรกายขึ้นพร้อมชายหนุ่มอีกสองคน แขกเหรื่อหลายคนต่างก็หันมาก้มศีรษะทักทาย หญิงสาวหลายคนส่งยิ้มให้พร้อมทั้งกระพุ่มมือไหว้ แม้แต่พีระที่หลายคนทราบว่าเป็นเพียงคนขับรถก็ดูจะยิ่งใหญ่ไม่น้อยเพราะเป็นคนสนิทของท่านชายด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง ส่วนชวาลานั้นทุกคนย่อมรู้จักดีอยู่แล้ว เพราะเป็นบุตรชายคนเดียวของข้าราชการคนสำคัญของกระทรวงมหาดไทยที่อาจได้เป็นถึงเสนาบดีในอีกไม่ช้านี้