เพียงแรกพบสบพักตร์ก็รักเจ้า EP.1
รสิกาเงยหน้าขึ้นมองผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ เธอ ซึ่งก่อนหน้านี้ยังเห็นแต่งตัวอย่างปกติธรรมดา ทว่าเวลานี้กลับเปลี่ยนเป็นนุ่งโจงกระเบนสีเข้ม สวมเสื้อแขนกระบอก รวมทั้งผมก็กลายเป็นทรงโบราณที่เคยเห็นจากในละครย้อนยุค เท่านั้นยังไม่พอ คนอื่นๆ ในรถก็ล้วนแล้วแต่แต่งตัวคล้ายคลึงกัน และที่สำคัญสายตาของทุกคนกำลังจ้องมาที่ตัวเธอเป็นจุดเดียวกัน ราวกับเธอเป็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น!
ยิ่งกว่านั้นยังต้องตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อรถเมล์ที่นั่งมาจู่ๆ ก็กลายเป็นรถราง ครีเอทีฟสาวก้าวลงไปยืนข้างล่างด้วยอาการมึนงง จับต้นชนปลายไม่ถูก
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? หญิงสาวถามตัวเอง หรือว่าตาของเธอฝาดกระทั่งมองเห็นรถเมล์ที่นั่งอยู่บ่อยๆ กลายเป็นรถราง ซึ่งหญิงสาวก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าเหตุใดเธอถึงมั่นใจว่ารถดังกล่าวคือรถรางทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็น เพียงแต่เคยได้ยินคนแก่คนเฒ่าเล่าให้ฟังเท่านั้น จำได้ว่าพวกท่านเคยเล่าให้ฟังว่าสภาพบ้านเมืองเมื่อยุคกว่าร้อยปีก่อนน่าอยู่กว่าสมัยนี้มาก รถราไม่ติดเหมือนในสมัยปัจจุบัน มีพื้นที่บนถนนจำนวนหนึ่งช่องทางเพื่อวางรางรถรางฝังไปกับพื้นถนนด้านชิดขอบฟุตบาท กระทั่งรถรางไฟฟ้าสามารถวิ่งคู่ขนานไปกับรถยนต์ได้อย่างสบายๆ เนื่องจากสมัยนั้นรถยนต์มีน้อยกว่าในยุคปัจจุบันมาก
รสิการีบดึงความคิดของตัวเองให้กลับมาเผชิญกับเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะเตลิดไปไกลมากกว่านี้ ดวงตาที่กำลังฉายแววสับสนว้าวุ่นเพ่งมองไปยังรถรางที่ยังจอดรอรับผู้โดยสารอยู่ ก่อนจะหลับลงเพราะคิดว่าตาของตัวเองคงฝาดมากกว่า หลับแล้วลืม ลืมแล้วหลับอยู่เช่นนั้นหลายครั้งจนแสบตาไปหมด ทั้งยังยกมือขึ้นพนมแล้วนึกภาวนาในใจ
‘ขอให้ลูกช้างกลับไปยังที่เดิมด้วยเถิด! เจ้าประคู้น’
แต่ดูเหมือนคำภาวนาของเธอจะไม่เกิดผล เพราะเมื่อลืมตาขึ้นมาภาพตรงหน้าก็ยังปรากฏให้เห็นดังเดิม เจ้ารถสีน้ำตาลเข้ม หน้าตาคล้ายๆ รถเมล์ที่นั่งอยู่บ่อยๆ แต่ไม่สูงเท่า มีคนขับคอยบังคับอยู่ด้านหน้า วิ่งขนานไปกับรถยนต์เหมือนที่เคยฟังมาไม่มีผิด
หญิงสาวเหลียวมองไปรอบๆ ตัว สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นซีดเผือดลงเรื่อยๆ ตรงจุดที่เธอยืนคว้างอยู่เป็นถนนกว้าง มีผู้คนพากันเดินสัญจรไปมาค่อนข้างหนาตา สิ่งที่ทำให้เริ่มมั่นใจว่าตัวเองหลุดเข้ามาในอดีตก็คือสภาพบ้านเรือนที่ไม่คุ้นตาและความรู้สึกเลยสักนิด ตึกรามบ้านช่องทรงทันสมัยที่เคยเห็นอยู่ในซอยกลายเป็นตัวตึกรูปทรงเก่าๆ ดูเทอะทะตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง บางหลังเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ซึ่งเดาได้จากหลังคารูปทรงแปลกๆ ที่เคยเห็นผ่านตามาจากหนังสือ
การแต่งกายด้วยชุดโบร่ำโบราณของชายหญิงที่เดินสวนกับเธอ ยิ่งตอกย้ำว่าเธอหลุดเข้ามาในอดีตจริงๆ จากที่เคยดูละครย้อนยุค ผู้ชายมักจะนุ่งโจงกระเบนหรือกางเกงแพร สวมเสื้อคอกลมผ้าขาวบาง สวมหมวก ผู้หญิงส่วนใหญ่นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อแขนกระบอกหรือเสื้อลูกไม้ สวมรองเท้าพร้อมถุงน่องยาว ตอนนี้รสิกาได้มาเห็นของจริงด้วยตาตัวเอง!
การแต่งกายดังเช่นที่เห็นอยู่ในขณะนี้ ตามที่เคยร่ำเรียนหรือผ่านตาจากหนังสือ เป็นยุคสมัยเมื่อหลายสิบปีมาแล้วนี่นา แล้วตกลงเธอหลงเข้ามาในยุคสมัยไหนกัน และเธอหลุดเข้ามาเพราะอะไร รสิกาถามตัวเองอยู่ในใจอย่างจนหนทาง เพราะไม่รู้จะไปถามใครได้
ทรงผมนี่ก็อีก! หญิงสาวมองทรงผมของผู้หญิงแต่ละคนที่เดินสวนกันไปมา ส่วนใหญ่ไว้ผมยาวแต่เกล้าตลบเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย ข้างหน้าทำโป่งๆ บ้างก็เป็นทรงบ๊อบเสมอคอ ไว้จอนข้างๆ หู มองแล้วหญิงสาวถึงกับหัวเราะคิกออกมาเพราะรู้สึกว่าช่างเชยสิ้นดี โดยลืมคิดไปว่าตัวเองนั้นแต่งกายแปลกประหลาด ซ้ำทรงผมก็ไม่เหมือนผู้อื่น ดังนั้นขณะที่รสิกามองคนอื่นด้วยสายตาแปลกระคนขำ ผู้คนที่เดินสวนกับเธอต่างก็พากันจ้องกลับมาด้วยสายตาไม่ผิดแผกแตกต่าง ราวกับเธอเป็นตัวประหลาดเช่นกัน ทว่าเจ้าตัวไม่รู้เพราะมัวแต่เหลียวมองสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว เพื่อหาหนทางกลับบ้าน พยายามทบทวนความรู้ที่เคยร่ำเรียน รวมทั้งหนังสือที่เคยอ่าน ไม่นานหญิงสาวก็ค่อยๆ นึกภาพออกโดยเอารถรางเป็นเกณฑ์ ตกลงว่าเธอหลุดเข้ามาในอดีตอย่างแน่นอน แต่เป็นสมัยรัชกาลที่ห้าหรือรัชกาลที่หกเธอยังไม่แน่ใจ
แต่จะเป็นไปได้ยังไงกัน! รสิการำพึงกับตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่สิ่งที่อยู่รอบๆ ตัวในเวลานี้คือคำตอบว่าสิ่งที่กำลังคิดมันคือความจริง
แล้วเธอจะกลับบ้านได้อย่างไรกัน ใครก็ได้ช่วยที! หญิงสาวตะโกนก้องอยู่ในใจอย่างหวาดหวั่นแกมหวาดกลัว
ขณะกำลังยืนหันรีหันขวางเพราะไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี ร่างสูงเพรียวของหญิงสาวก็ปะทะเต็มแรงเข้ากับร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งอย่างจังจนเกือบถลาล้มลงกับพื้น ทว่าแขนก็ถูกคว้าเอาไว้ได้ด้วยมือของคนที่ชนนั่นเอง ทำให้ต้องเอ่ยขอโทษเสียงละล่ำละลักออกไป เพราะรู้ว่าตัวเองนั้นผิดเต็มประตู
“ขอ...ขอโทษค่ะ” หลังทรงตัวได้ รสิกาจึงเงยหน้าขึ้นมองคนที่ตัวเองชน ครั้นเห็นใบหน้าของเจ้าของร่างสูงใหญ่ได้อย่างถนัดชัดตา ดวงตาคู่โตของหญิงสาวก็เบิกกว้างจับจ้องมองอีกฝ่ายจนตาแทบไม่กะพริบ ลืมเรื่องที่กำลังกระวนกระวายใจกับการหาทางกลับบ้านลงได้ชั่วขณะ