เหอเพ่ยเจินตื่นขึ้นมาในตอนสายของอีกวัน พร้อมกับร่างกายที่รู้สึกปวดร้าวระบมไปทั่วร่าง หญิงสาวกระพริบตาปริบๆ ก็ได้พบว่าตอนนี้นางได้ถูกย้ายมาอยู่ยังเรือนไม้ ที่ดูเก่าแทบจะผุพัง โดยมีสาวใช้ของตนเองนั่งอยู่เคียงข้าง และข้างกันนั้นก็ได้มีชายวัยกลางคนที่ทอดมองนางอยู่
"เหตุใดฮูหยินถึงไม่ยอมให้ข้าออกมาช่วย เหตุใดถึงต้องยอมเจ็บตัวถึงเพียงนี้" ชายวัยกลางคนผู้นั้นกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูเจ็บปวดแทนนาง
เหอเพ่ยเจินกระพริบตาปริบๆ พร้อมกับมองหน้าชายวัยกลางคนผู้นั้นอย่างไม่เข้าใจ จึงเป็นหลิวอี้และหลิวอิง ที่ต้องมาอธิบายให้นาง ได้ทราบ
"ฮูหยินบุรุษผู้นี้คือท่านลุงติงเกา ที่ข้าได้เล่าให้ฟังก่อนหน้านี้ ว่าคือองครักษ์ที่คอยคุ้มกันความปลอดภัยให้กับท่าน เขาจะปรากฏตัวก็ต่อเมื่อในตอนที่ท่านเรียกใช้เพียงเท่านั้น"
เหอเพ่ยเจินพยักหน้ารับพร้อมกับทอดมองไปที่ใบหน้าของชายวัยกลางคนผู้นั้น ก่อนที่จะกล่าวกับเขาออกไป "ที่ข้าไม่เรียกให้ท่านออกมาช่วย ก็เพราะว่าไม่อยากให้ท่านแม่ทัพรู้ถึงการมีตัวตนของท่าน เพียงเท่านี้ถือว่าไม่ได้เจ็บอะไรมาก ท่านลุงอย่าได้เป็นห่วงเลย"
เหอเพ่ยเจินใช้สรรพนามเรียกขานเขาอย่างเคารพ เพราะว่าชายวัยกลางคนผู้นี้ เคยเป็นถึงนักฆ่าที่มีฝีมือมากผู้หนึ่งในยุทธภพแต่เพราะครั้งหนึ่งได้นางเข้าช่วยเหลือ จึงทำให้เขาวางมือยอมมาติดตามนาง ด้วยความจงรักภักดี หญิงสาวจึงได้นับถือเขาเป็นเหมือนญาติผู้หนึ่งเรื่อยมา
"ฮูหยินท่านอย่าทำเช่นนี้อีกนะเจ้าคะ เหตุใดท่านต้องยอมเจ็บตัวเพื่อพวกข้าด้วย" หลิวอี้และหลิวอิงเอ่ยออกมาทั้งน้ำตานองหน้า เมื่อเห็นแผลบนแผ่นหลังของนาง
"แล้วพวกเจ้าเจ็บมากหรือไม่" เหอเพ่ยเจิน พยายามลุกขึ้น เพื่อที่จะไปตรวจดูอาการของสาวใช้ทั้งสอง แต่นางก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อรู้สึกเจ็บที่แผ่นหลัง
"อะ….!!!"
"ฮูหยินอย่าพึ่งขยับตัว เดี๋ยวรอยแผลจะแยกเอาได้พวกบ่าวทายาให้กับท่านแล้ว"
"เจ็บใจนักพวกเราควรจะส่งข่าวไปให้ท่านอัครเสนาบดีทราบดีหรือไม่" พอกล่าวถึงเรื่องนี้ สาวใช้ทั้งสองคนก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเดือดดาลแทนผู้เป็นนาย
"อย่าเลยเกรงว่าจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เสียมากกว่า ถึงอย่างไรเราก็อาศัยอยู่ในจวนแห่งนี้ ถึงครั้งนี้จะจัดการได้ ครั้งหน้าเขาก็ต้องหาเรื่องมาเล่นงานเราอีกอยู่ดี" เหอเพ่ยเจินบอกออกมาอย่างไม่เห็นด้วย
"แล้วท่านจะยอมให้พวกเขารังแกท่านได้เช่นนี้ต่อไปหรือเจ้าคะ"
"ไม่หรอกบัญชีนี้ข้าจะต้องเอาคืนกับพวกเขาอย่างแน่นอน แต่มันยังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสม"
ทั้งหลิวอี้ หลิวอิง และลุงติงเกา ลอบมองหน้ากันเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจนั้นของผู้เป็นนาย โดยปกติแล้วหากหญิงสาวไม่ได้รับความเป็นธรรม เกรงว่าจะต้องรีบสะสางมันภายในเดี๋ยวนั้น นี่ถือเป็นครั้งแรก ที่พวกเขา ได้ยินว่านางจะรอถึงเวลาที่เหมาะสม ถึงค่อยสะสางบัญชีแค้นเช่นนี้
"เรือนนี้ใกล้จะผุพังเต็มที เราคงต้องทำการซ่อมแซมอีกยกใหญ่"
เหอเพ่ยเจินกวาดมองไปทั่วทั้งเรือน ก่อนที่จะหันมากล่าวกับคนของตนเอง ดีที่สินเดิมของนาง เซี่ยซู่เหยียนไม่ได้ยึดมันไปด้วย ถือว่าเขาไม่ได้เป็นคนที่น่ารังเกียจจนเกินไปนัก หาไม่แล้วพวกนางคงต้องลำบากกว่านี้เป็นแน่
เมื่อนำสินเดิมและของใช้ที่ตนเองมีเข้ามาไว้ภายในเรือนร้างแห่งนี้ก็ดูเล็กลงไปถนัดตา หญิงสาวได้แต่นึกไปถึงชะตากรรมในอนาคต ที่ตนเองจะต้องได้รับมัน คงไม่จบลงเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน ดูจากท่าทีแล้วบุรุษผู้นั้นเกลียดชังนางเป็นอย่างมาก แต่เมื่อคิดไปถึงต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดที่นางเอาชีวิตของน้องสาวของเขามาต่อรอง เพื่อให้ตนเองได้ตกแต่งเข้ามา นั่นก็ไม่แปลกที่บุรุษผู้นั้นจะตอบแทนนางด้วยชีวิตที่เหลือเมื่ออยู่ในจวนแห่งนี้
เหอเพ่ยเจินจึงอดถามไปถึงสตรีผู้นั้นด้วยความสงสัย "ตั้งแต่ที่ข้าได้มาอยู่ที่นี่ แปลกนักเหตุใดถึงไม่เคยพบเจอน้องสาวของท่านแม่ทัพเลยสักครั้ง"
"คุณหนูจิงลี่แทบจะไม่เฉียดมาที่เรือนของท่านเลย นางอาจจะยังคงหวาดกลัวท่านอยู่ ถึงได้ไม่กล้ามาพบหน้าของท่าน"
"ทำไมนางจะต้องรู้สึกหวาดกลัวข้าด้วย"
"เอ่อ…" ทั้งหลิวอี้และหลิวอิง ได้แต่อ้ำอึ้งมองหน้ากันไปมา จนทำให้เหอเพ่ยเจินใช้สายตาคาดโทษจ้องมองไปที่พวกนางอย่างกดดัน
"บอกสิ่งที่ข้าต้องรู้มา อย่าให้ข้าต้องได้พูดซ้ำ"
เมื่อต้องเผชิญกับสายตากดดันเช่นนั้น สาวใช้ทั้งสองจึงต้องเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้กับเหอเพ่ยเจินฟังอย่างเลี่ยงไม่ได้
"ในตอนนั้นฮูหยินเคยให้พระสนมกุ้ยเฟยบีบบังคับท่านแม่ทัพ โดยการให้น้องสาวของเขาไปเป็นนางกำนัลคนสนิทข้างพระวรกาย แต่ทุกคนก็ย่อมรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงการนำตัวประกันไปไว้ข้างตัว หากท่านแม่ทัพไม่ยอมรับท่านเป็นฮูหยินเอก เกรงว่าชีวิตของน้องสาวของเขาคงต้องจบลงที่ในวังหลังนั้นอย่างแน่นอน"
หลิวอิงกล่าวมาเพียงเท่านั้น ก็ได้หยุดลงเพื่อลอบมองหน้าสีหน้าของเหอเพ่ยเจิน ก่อนที่นางจะกล่าวต่อไป "นางคงจะยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย เพราะในตอนนั้นนางได้ไปปรนนิบัติพระสนมกุ้ยเฟยอยู่ถึง 10 วัน จนท่านแม่ทัพยอมตกลงรับท่านเข้ามาเป็นฮูหยินเอก พระสนมจึงได้ยอมปล่อยตัวนางออกมา ซึ่งใน 10 วันนั้น ก็สุดจะรู้ได้ว่านางได้เผชิญกับสิ่งใดมาบ้าง"
"ออ… เป็นเช่นนี้นี่เอง" เหอเพ่ยเจินพยักหน้าคล้ายกับว่าเข้าใจแล้ว
"เรื่องนั้นเอาไว้ก่อนค่อยจัดการทีหลัง พวกเรามาทำความสะอาดเรือนนี้ให้คืนนี้เราสามารถหลับนอนได้ แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที 'หลี่จื่อเหยาบัญชีแค้นในครั้งนี้ข้าจะต้องคิดบัญชีกับเจ้าอย่างแน่นอน' " ส่วนเซี่ยซู่เหยียนถือว่าข้ามีเรื่องที่ติดค้างท่านในครั้งนี้ ข้าจะยังไม่คิดบัญชี แต่หากมีครั้งหน้า ก็อย่ามาหาว่าข้าร้ายก็แล้วกันนางได้แต่กล่าวประโยคหลังนี้ในใจของตนเอง
เหอเพ่ยเจินตื่นนอนขึ้นมาในตอนสายของอีกวันเพราะระบมไปกับบาดแผลที่ได้รับ หลังจากที่ได้รับสำรับเช้าให้พอมีแรงแล้ว นางก็ได้เดินสำรวจไปทั่วทั้งเรือนร้างแห่งนี้ สภาพมันไม่ต่างกับให้ขอทานได้อยู่อาศัยเลย แต่ดีที่สถานที่ตรงนี้อยู่ห่างไกลจากเรือนอื่นๆ และให้ความ เป็นส่วนตัวอย่างที่นางชื่นชอบ หากปรับปรุงให้ดีก็สามารถสร้างความพอใจให้กับนางได้ มิหนำซ้ำยังมีประตูเล็กที่สามารถเข้าออกจวนได้ โดยไม่ต้องผ่านประตูใหญ่ ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความพอใจให้กับนางมาก เพราะนั่นหมายถึงนางไม่จำเป็นต้องเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนพวกนั้นให้บ่อยครั้ง นางสามารถใช้ชีวิตของตนเองได้อย่างอิสระ
เมื่อคิดได้ดังนั้น นางจึงได้ไปขออนุญาตเซี่ยซู่เหยียนด้วยตนเอง เพื่อที่จะเข้าออกประตูหลัง โดยที่ไม่ต้องไปขออนุญาตกับหลี่จื่อเหยาที่เป็นผู้ดูแลจวนทุกครั้ง ซึ่งเซี่ยซู่เหยียนเอง ก็เห็นเป็นเรื่องดี ที่จะได้ไม่ต้องทนเห็นหน้านางบ่อยครั้ง เขาจึงได้อนุญาตนางไปอย่างไม่ต้องคิด
"ข้าจะให้ตามที่เจ้าขอ" เขาทอดมองไปที่ร่างของเหอเพ่ยเจินที่ในตอนนี้มีใบหน้าซีดเผือด จากการถูกโบยเมื่อวานนี้อยู่ ใบหน้าของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว และแน่วแน่หาได้มีความหลงใหลใดๆ ปรากฏให้เห็น ในขณะที่จ้องมองมาที่เขาแต่อย่างใด
"และอีกเรื่องข้าต้องการที่จะปรับปรุงเรือนร้างนั้นของตนเองให้พออยู่อาศัยได้"
คราวนี้เซี่ยซู่เหยียนถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาจากเอกสารกองโต เพื่อจ้องมองใบหน้าของหญิงสาว นางไม่แม้นแต่จะตีโพยตีพายหรือตัดพ้อต่อว่าเขาที่ไล่นางไปอยู่ยังเรือนร้างที่คนแทบจะอยู่ไม่ได้แห่งนั้น แต่นางยังคิดจะปรับปรุง เพื่อที่จะอยู่อาศัยได้ สตรีสูงศักดิ์ที่ไม่เคยได้รับความลำบากเช่นนาง เหตุใดถึงได้ยอมรับกับความอยุติธรรมเช่นนี้ได้โดยง่าย แต่เมื่อเขาสบสายตากับนาง ก็ไม่เห็นถึงความผิดปกติใด ในดวงตานั้นมีความมุ่งมั่น หาได้มีความตัดพ้อต่อว่าตนแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้เขาต้องกระแอมไอออกมา ก่อนที่จะตอบนางออกไป
"แล้วแต่เจ้าจะจัดการ แต่ค่าใช้จ่ายทุกอย่างเจ้าจะต้องเป็นผู้ออกเอง และหากไม่มีเรื่องจำเป็นอันใดแล้ว ก็ไม่ต้องโผล่หน้ามาที่เรือนใหญ่อีก และหากเจ้าคิดจะทำสิ่งใด ก็จงคิดให้ดีเพราะถึงอย่างไร เจ้าก็ได้แต่งเข้ามาในตระกูลเซี่ยแล้ว" กล่าวจบเขาก็ก้มลงไปใส่ใจกับเอกสารเบื้องหน้าของตนเองต่อ
คำกล่าวประโยคหลังนี้ของเขา เหตุใดนางจะไม่เข้าใจ ว่านั่นคือการข่มขู่ที่บุรุษผู้นี้จะบอกนางให้ทราบถึงสิ่งใด หากนางนำเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ไปบอกกับบิดา แน่นอนว่าเขาจะต้องจัดการกับนางอีกอย่างแน่นอน เพราะสถานะของนางในตอนนี้ มันได้ต่างออกมาแล้ว บทลงโทษเพียงเท่านี้ยังถือว่านางยังพอรับไหว แต่หากมากกว่านี้ นางก็ไม่รับปากเช่นกัน ว่าจะไม่เอาคืนบุรุษผู้นี้กลับไปบ้าง
เหอเพ่ยเจินเองเมื่อได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการแล้วหญิงสาวก็ได้หอบร่างที่ระบมนั้นกลับมายังเรือนร้างของตนเองอย่างไม่รั้งรอเช่นกัน
เมื่อเห็นว่านางได้จากไปแล้ว เซี่ยซู่เหยียนจึงได้ทอดมองไปยังเบื้องหน้า อย่างใช้ความคิด
'นี่สตรีผู้นั้นจะมาไม้ไหนอีกกัน'