เมลดาหรือเหอเพ่ยเจิน ได้ถูกหลิวอี้และหลิวอิงนำกลับมายังเรือนไป๋หลานของตนเอง หลังจากที่เซี่ยซู่เหยียนได้รังแกนางจนหนำใจ ซึ่งหญิงสาวในตอนนี้ ยังคงนั่งนิ่งไม่กล่าวสิ่งใด ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความงุนงงสับสน จนสาวใช้ทั้งสองอดเป็นห่วงไม่ได้กับท่าทีที่เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน ตั้งแต่ที่นางตกปากรับคำกับเซี่ยซู่เหยียนไปก่อนหน้านี้โดยไม่แม้แต่จะปฏิเสธแม้แต่เพียงครึ่งคำ
"ฮูหยินท่านเป็นอันใดมากหรือไม่เจ้าคะ เหตุใดถึงได้เอาแต่นิ่งเงียบอยู่เช่นนี้" หลิวอี้ที่ทนเห็นผู้เป็นนายแสดงออกเช่นนี้ต่อไปไม่ไหวจึงได้เอ่ยถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
ซึ่งในตอนนี้เหอเพ่ยเจิน ไม่รู้ว่าควรจะตอบออกไปเช่นไรดี เพราะนางไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับเจ้าของร่างเลยแม้แต่น้อย และความรู้ในการใช้ชีวิตของที่นี่ก็ไม่มีเช่นกัน ถึงแม้นว่าจะมาอาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างนี้เพียงไม่นาน แต่นางก็ได้มั่นใจแล้วว่าตอนนี้ตนเอง ได้หลงเข้ามาอยู่ในร่างของหญิงสาวที่มีนามว่าเหอเพ่ยเจิน ซึ่งมีอายุได้ 17 หนาว ที่มีสามีแล้วและสามีของนางก็หาได้มีความสนใจในตัวนางแต่อย่างใด
ซึ่งความเป็นจริงข้อนี้ ก็ถึงกับทำให้เมลดารู้สึกแขนขาอ่อนแรง...ส่งนางมาทั้งทีแต่กลับส่งมาให้เป็นที่เกลียดชังของผู้อื่น สวรรค์ช่างเล่นตลกกับนางเสียจริง
แต่ก็ช่างเถิด จะให้ทำเช่นไรได้ ในเมื่อนางไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงเหล่านี้ ยายมักจะสอนเสมอ ให้หญิงสาวพร้อมที่จะรับมือกับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในชีวิต ใช่ว่าคนเราจะได้พบเจอแต่สิ่งดีๆ เสียเมื่อไหร่ นั่นจึงทำให้นางยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ได้อย่างรวดเร็ว
"ข้ามิเป็นอันใดแล้ว พวกเจ้าอย่าได้ห่วงไปเลย" นางทอดมองไปที่หลิวอี้ก่อนเป็นคนแรก "เจ้ามีนามว่าอันใดนะ เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ทำข้าตกใจจนสติเลอะเลือนไปชั่วขณะ"
"ฮูหยิน…!!! ข้าหลิวอี้ อย่างไรเล่าเจ้าคะ และนั่นก็หลิวอิง เป็นสาวใช้คนสนิทของท่าน ที่ถูกอนุญาตให้นำมาจากจวนของท่านอัครเสนาบดีด้วย พวกเราเติบโตมาด้วยกัน เพราะได้ความเมตตาจากท่าน พวกเราถึงได้มีชีวิตที่ดีอยู่เช่นนี้ หาไม่แล้วป่านนี้ พวกเราคงได้ไปเป็นทาสอยู่ยังชายแดน ที่ต้องมีชีวิตอย่างยากลำบาก แล้วกระมัง นี่ท่านลืมไปหมดแล้วหรือ"
หลิวอี้กล่าวเรื่องราวในอดีตออกมาด้วยสีหน้าที่เจ็บปวด ตอนนี้นายหญิงของนางคงจะสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ถึงได้ลืมเลือนเรื่องราวเหล่านี้ไปได้
นางยังจำได้ดีในปีนั้นเป็นฤดูเหมันต์ที่หนาวจัด พวกนางสองพี่น้องนั่งอยู่ข้างทาง เพื่อขอความเห็นใจจากผู้ผ่านไปมา ระหว่างนั้นก็ได้มีกลุ่มอันธพาลเข้ามาหาเรื่องและหวังจะกระทำมิดีมิร้ายกับเด็กหญิงที่อายุเพียง 8 หนาว ดีที่รถม้าของจวนอัครเสนาบดีผ่านมาทางนี้ และคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ที่นั่งอยู่ในรถม้า ก็ได้ทอดมองพวกนางด้วยแววตาน่าสงสาร หากไม่ได้เหอเพ่ยเจินยื่นมือเข้าช่วยเหลือ ป่านนี้พวกนางคงได้ถูกจับไปขายยังหอคณิกาแถบชายแดนบางแห่งแล้วกระมัง...
"เอานาก็ข้าบอกเจ้าไปแล้วว่าเหตุสะเทือนใจเมื่อสักครู่นี้ทำให้ข้ารู้สึกความจำเลอะเลือนไปชั่วขณะ จนไม่สามารถจดจำสิ่งใดได้"
"ฮูหยิน ให้ข้าตามหมอมาตรวจเยี่ยมอาการของท่านดีหรือไม่" เป็นหลิวอิงที่กล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วงอย่างไม่แพ้กัน
"ไม่ต้องหรอกแค่เพียงพวกเจ้าช่วยเล่าความเป็นมาทั้งหมดในอดีต และสิ่งที่ข้าควรจะรู้ต่อจากนี้มาอย่างละเอียดก็เพียงพอแล้ว บางทีนั่นอาจจะช่วยให้ข้าสามารถจดจำเรื่องราวอันใดได้บ้างก็ได้" เหอเพ่ยเจิน พยายามกล่าวออกมาอย่างปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อยังเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลของสาวใช้ทั้งสอง นางก็ได้แต่กล่าวสำทับขึ้นมาอีกประโยคเพื่อให้พวกนางวางใจลง "พวกเจ้าก็เห็นว่าตอนนี้ข้าหาได้เป็นอันใดมิใช่หรือ บางทีเหตุการณ์สะเทือนใจบางอย่าง อาจจะส่งผลให้ข้าเป็นเช่นนั้น มันอาจจะต้องใช้เวลา เพื่อที่จะช่วยฟื้นความทรงจำของข้าก็เป็นได้ หากพวกเจ้า ช่วยเล่าถึงความเป็นมาที่ผ่านมาในชีวิตของข้า มันอาจจะกระตุ้นความทรงจำเหล่านั้นให้กลับมาเร็วขึ้น"
ถึงตรงนี้สาวใช้ทั้งสองจึงได้แต่พยักหน้าเห็นด้วยไปกับผู้เป็นนาย และยอมเล่าถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้นทั้งหมด ที่นางควรจะทราบ เมื่อหญิงสาวได้รู้ถึงเรื่องราว ที่เกี่ยวข้องกับตนเองทั้งหมดแล้ว ก็ได้แต่ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น
"สมควรแล้วที่จะถูกเกลียดเช่นนี้"
"ฮูหยินท่านว่าอันใดนะเจ้าคะ"
"ข้าบอกว่าสมควรแล้วที่ถูกเกลียดชังเช่นนี้ เห็นชัดว่าเขาพึงใจกับสตรีผู้นั้น ข้าหมายถึงฮูหยินรองนะ นางมีนามว่าอะไรนะ" เหอเพ่ยเจินกล่าวถามหลิวอิงออกไปด้วยใบหน้าที่หาได้มีความทุกข์ร้อนอันใด คล้ายกับเรื่องที่นางกล่าวถามไปนั้นเป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศหาได้เกี่ยวกับสามีของตนแต่อย่างใด
"หลี่จื่อเหยาเจ้าค่ะ"
"ออ นั่นแหล่ะ...ข้านี่คล้ายกับเป็นมือที่สามมาพรากความรักของคู่ยวนยาง ให้แยกออกจากกัน ก็ไม่แปลกที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้"
ทั้งหลิวอี้และหลิวอิงลอบมองหน้ากันอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าผู้เป็นนายจะคิดได้เช่นนี้ และนางยังเอ่ยต่อไปด้วยสีหน้าคล้ายกับคนปลงตก
"ช่างเถิดงั้นต่อแต่นี้ ข้าก็จะให้พวกเขาสมหวังในความรัก และจะไม่เข้าไปขัดขวางสิ่งใด เขาอยากให้ข้าทำสิ่งใดข้าก็จะทำ เช่นนี้ก็ถือว่าดีแล้ว ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน ถือว่าเป็นการไถ่โทษที่ข้าไปแย่งความรักของพวกเขาก็แล้วกัน"
"ฮูหยิน…!!! พวกข้ายินดียิ่งนักที่ในที่สุดท่านก็คิดได้เสียที ดูจากสายตาของท่านแม่ทัพที่ทอดมองมายังท่าน ช่างดูน่ากลัวเหลือเกินพวกข้าได้แต่รู้สึกหวาดกลัวแทน หากท่านคิดได้เช่นนี้ก็คงไม่ต้องห่วงสิ่งใดแล้ว"
"ใช่แล้ว ข้าก็รู้สึกเช่นกันว่าบุรุษผู้นั้นช่างน่ากลัวยิ่งนัก" บุรุษที่มีสายตาอย่างกับจะฆ่าคนได้เช่นนั้น ถึงแม้จะดูหล่อเหลามากเพียงใดนางก็ไม่คิดจะเข้าใกล้เป็นอันขาด
เมื่อหลายวันล่วงผ่านไป เซี่ยซู่เหยียนก็ยังไม่เห็นถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ของเหอเพ่ยเจิน นั่นจึงทำให้เขาอดรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยนิสัยของนางแล้ว ตอนนี้คงจะต้องโวยวาย แสดงความไม่พอใจอย่างชัดเจน และหากเป็นเช่นนั้น เขาก็สามารถที่จะทำโทษนางอย่างที่ตนเองได้วางแผนเอาไว้ได้ แต่เมื่อนางนิ่งเฉยเช่นนี้ เขาก็ได้แต่รู้สึกว่านั่นไม่ตรงกับที่ตนเองได้คิดไว้เอาเสียเลย
"เจ้ามีแผนการอันใดกันแน่เหอเพ่ยเจิน"
ซึ่งเหอเพ่ยเจินที่กำลังถูกกล่าวถึงในตอนนี้ นางกำลังเรียนรู้การใช้ชีวิตของผู้คนที่นี่อย่างตั้งอกตั้งใจ
"เจ้าหมายความว่าท่านแม่ทัพหาได้มีใจรักมั่นกับฮูหยินรองเลยอย่างนั้นหรือ"
"ใช่เจ้าค่ะ ในตอนที่เราให้ลุงติงเกาไปสืบนั้น ก็ได้พบความจริงข้อนี้เข้า ท่านแม่ทัพหาได้มีคนที่พึงใจแต่อย่างใด"
"แล้วเหตุใดเขาถึงได้ตกแต่งสตรีผู้นั้นเข้ามาเล่า"
"นั่นอาจจะเป็นเพราะท่านแม่ทัพต้องการทำร้ายความรู้สึกของท่าน และอีกอย่างหลี่จื่อเหยาผู้นั้นก็เป็นบุตรีของผู้มีพระคุณ ที่ทำให้ท่านแม่ทัพสามารถไต่เต้าขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ นั่นก็ไม่แปลกเพราะสตรีผู้นั้นก็พึงใจในตัวท่านแม่ทัพอยู่ไม่น้อย"
"เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่บุรุษในยุคสมัยนี้ จะต้องมีอนุภรรยา เพื่อเอาไว้แผ่กิ่งก้านสาขาของตนเองมิใช่หรือ…!? เจ้าบอกว่าท่านแม่ทัพเป็นเด็กกำพร้าและมีน้องสาวที่คลานตามกันออกมาแค่คนเดียว หากเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าเขาก็ควรที่จะมีอนุภรรยาให้เต็มเรือน เพื่อที่จะแผ่กิ่งก้านของตนเองให้เยอะๆ ใช่หรือไม่"
"มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะ"
"ดีเลย" เหอเพ่ยเจิน คิดอย่างหมายมาด เพื่อเป็นการไถ่โทษ ที่เจ้าของร่างบังคับขู่เข็ญให้ตกแต่งตนเองเข้ามาอย่างไม่เต็มใจ เขาเป็นถึงแม่ทัพย่อมไม่แปลกที่จะรู้สึกไม่พอใจกับการกระทำนั้น
หากนางตอบแทนเขาด้วยการช่วยแผ่กิ่งก้านสาขาขยายตระกูลของเขาให้ยิ่งใหญ่ขึ้น เขาจะต้องรู้สึกขอบใจนางอย่างมากเป็นแน่ เหอเพ่ยเจินหมายมาดในใจเอาไว้เช่นนั้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม จนแม้แต่สาวใช้ทั้งสองยังต้องลอบกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ด้วยไม่เข้าใจว่าตอนนี้ผู้เป็นนายกำลังคิดสิ่งใด ตั้งแต่ที่เหอเพ่ยเจินได้ฟื้นขึ้นมาในวันนั้น ก็คล้ายกับเป็นคนละคน ทั้งความคิดความอ่าน ก็ดูแปลกไปเป็นอย่างมาก จนพวกนางไม่สามารถคาดเดาได้
"ฮูหยินท่านคิดจะทำสิ่งใดหรือเจ้าคะ" หลิวอี้ถามออกไปด้วยความระวัง
"เอาไว้พวกเจ้าก็รู้เอง"
...
เหอเพ่ยเจินนั่งอยู่ในเรือนของตนเอง แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อมีผู้มาเยือนนางอย่างไม่คาดฝัน สายตาของนางทอดมองไปที่ผู้มาใหม่อย่างระแวดระวังเป็นพิเศษก่อนที่จะกล่าวถามผู้มาเยือนออกไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
"ไม่ทราบว่าน้องหญิงมาพบข้าถึงเรือนมีเรื่องสำคัญอันใดหรือ"
"น้องก็แค่จะมาถามสารทุกข์สุขดิบ ถึงอย่างไรพวกเราก็ถือว่าเป็นพี่น้องกัน ต่อจากนี้คงต้องให้พี่หญิงแนะนำแล้ว" หลี่จื่อเหยานั่งลงที่นั่งตรงกันข้ามกับเหอเพ่ยเจินอย่างถือวิสาสะ สายตาของนางกวาดมองไปทั่วทั้งห้องด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างยากที่จะปิดบัง
"ดูเหมือนว่าเรือนไป๋หลานของพี่หญิงจะดูงดงามใหญ่โตยิ่งนัก" หลี่จื่อเหยาหยุดพูดเพียงเท่านี้พร้อมกับจ้องมองไปที่ใบหน้าของเหอเพ่ยเจินคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม พร้อมทั้งใช้มือดึงคอเสื้อ ของตนเองให้กว้างขึ้น เผยให้เห็นร่องรอยสีกุหลาบเต็มลำคอขาวผ่องดุจหิมะของนาง
"ท่านพี่มักจะแวะเวียนไปที่เรือนของน้องประจำ แต่ติดที่ว่า เรือนทางฝั่งตะวันตกของน้องนั้นดูจะอากาศถ่ายเทไม่ค่อยสะดวกนัก และยังคับแคบมากเมื่อเทียบกันกับที่นี่" ก่อนที่นางจะกล่าวต่อก็ได้ลุกขึ้นไปยืนที่หน้าต่าง ที่ได้เปิดเอาไว้ พร้อมกับหันมากล่าวกับเหอเพ่ยเจินต่อด้วยใบหน้าของผู้ที่เหนือกว่า
"หากท่านไม่ว่าอะไร ข้าจะขอย้ายมาอยู่ที่เรือนแห่งนี้และให้ท่านไปอยู่ที่เรือนทางฝั่งตะวันตกแทนดีหรือไม่เจ้าคะ"
สตรีทั้งสองประสานสายตากันอย่างไม่มีผู้ใดยอมใคร เหอเพ่ยเจินเอง ถึงนางจะรู้สึกผิดกับเซี่ยซู่เหยียนแต่กับสตรีผู้นี้ไม่ใช่ แล้วนางจะยอมให้คนอื่นมารังแกนางได้ง่ายๆ ได้เช่นไร ใบหน้าที่แสดงออกมาถึงจะดูยิ้มแย้ม แต่ก็ไปไม่ถึงดวงตา เมื่อกล่าวถามอีกฝ่ายออกไป "อยากได้เรือนของข้า…? "
"ทำไมหรือ…? พี่หญิงสละเรือนนี้เพื่อท่านพี่ไม่ได้หรือ ถึงอย่างไรท่านพี่ก็ไม่เคยเหยียบย่ำมาเรือนนี้อยู่แล้ว 'เพื่อความสะดวกสบายของสามีของพวกเรา' พี่หญิงควรจะเสียสละ" หลี่จื่อเหยาเอ่ยเรื่องนี้ออกมาคล้ายกับว่ามันเป็นเรื่องที่ง่ายดายที่ผู้ใดก็ทำกัน
ทั้งประโยคที่คอยเหน็บแนมเหล่านั้น สตรีผู้นี้คิดว่าอยากให้นางแสดงออกเช่นไรหรือ แค่เพียงประโยคอ่อนด้อยเหล่านี้ มันไม่มีผลกระทบใดกับความรู้สึกของนางหรอก สตรีโบราณเหล่านี้ช่างอ่อนด้อยประสบการณ์เสียจริง ดี…งั้นสตรีในยุค 2022 ผู้นี้จะสอนให้ว่าสตรียุคใหม่เวลาเขาพูดจากระทบกระทั่งกันเช่นไรถึงจะเจ็บปวด
"เจ้ามาทั้งที ข้าไม่มีอะไรต้อนรับเจ้าเลย ก็คงจะมีเพียงชาเหอปี้ชั้นดีนี้เท่านั้นกระมัง ที่จะสามารถต้อนรับเจ้าได้" เหอเพ่ยเจินเดินไปรินชาในเหยือกให้กับหลี่จื่อเหยาอย่างใจเย็น โดยไม่มีทีท่าเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ กับคำกล่าวก่อนหน้านี้ ใบหน้าของนางยังคงฉาบไปด้วยรอยยิ้มเสมอ เมื่อพูดกับอีกฝ่าย
"แต่สำหรับข้าแล้วต่อให้ชาเหอปี้นี้รสชาติดีเพียงใด ก็รู้สึกเบื่อหน่าย เพราะดื่มเป็นประจำ ก็เหมือนกับสิ่งของบางสิ่ง ที่เมื่อได้ลิ้มลองเป็นประจำแล้ว จะรู้สึกเบื่อหน่ายก็คงไม่แปลก สัจธรรมนี้ไม่รู้ว่าเจ้ารู้อยู่หรือไม่…? เพราะฉะนั้นในวันข้างหน้าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดอย่าได้มั่นอกมั่นใจตนเองถึงเพียงนั้น"
พร้อมกับรินชาเหอปี้ให้กับตนเองก่อนที่จะยกขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ "ยิ่งเมื่อเทียบกันกับบุรุษด้วยแล้ว สิ่งที่เขาได้เคยลิ้มลองแล้ว ในวันข้างหน้าอาจจะรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อเทียบกันกับท่านแม่ทัพที่ตอนนี้ จำต้องแผ่กิ่งก้านสาขาของตนเองออกไปในวันข้างหน้า เขาจะต้องรับสตรีเข้ามาเพิ่ม แล้วเจ้าจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าตนเองจะยังเป็นคนโปรดของเขาอยู่"
นางประสานสายตากับหลี่จื่อเหยา หากมุมปากกลับยกขึ้นบางเบา เมื่อเห็นใบหน้าเขียวคล้ำของอีกฝ่าย ก่อนที่หลี่จื่อเหยาจะพ่นคำพูดที่ไม่พอใจของตนเองออกมา
"คิดว่าท่านพี่จะมาชอบพอในตัวเจ้าหรือ...ช่างไม่ดูตัวเองเอาเสียเลย ต่อให้สตรีในโลกนี้มีเพียงเจ้า ท่านพี่ก็จะไม่ชายตาแล"
"เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ…!? " เหอเพ่ยเจินเพียงเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถามอีกฝ่ายกลับไป
"เจ้าคอยดูเถิดถึงอย่างไร เรือนไป๋หลานนี้ก็จะต้องมาเป็นของข้า"
หลี่จื่อเหยาสะบัดชายเสื้อของตนเองจากไปอย่างไม่สบอารมณ์ ในวันนี้นางตั้งใจจะมายั่วยุอีกฝ่าย แต่กลับเป็นตนเสียเองที่ถูกยั่วยุจนไม่สามารถควบคุมตนเองได้ นางไม่คาดคิดเลยว่าเวลาเพียงแค่ชั่วข้ามคืน จะทำให้สตรีผู้นี้เปลี่ยนไปได้ถึงเพียงนี้ เพราะเหตุอันใดกันสตรีที่ถูกยั่วยุได้โดยง่าย ถึงได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางทั้งดูสงบเยือกเย็น เมื่ออยู่ใกล้แล้วให้รู้สึกว่ายากที่จะต่อกรได้เช่นนี้