12

2897 คำ
“คุณใหญ่ ผู้บริหารระดับสูงของเครือที่พี่เคยรับงานไงหนู ไหนดูซิมากับคู่ขาคนไหน” โพนีชะเง้อมองจนคอยืดคอยาว “โถ ๆ นึกว่าใคร ยัยลูกครึ่งนี่เอง” ฟังเงียบ ๆ ไม่ได้ถามอะไร โพนีเล่าต่อจากนั้นทันที “ยัยนี่น่ะครึ่งผีครึ่งคน ได้ข่าวว่าคนนี้คบกันนานเชียว คบทนทายาดเลย ไม่รู้ว่ามีอะไรดี จะว่าสวยหรือ ก็งั้น ๆ ไม่ชวนมอง ดูปล๊อมปลอม สู้รัลของพี่ก็ไม่ได้” “รัลไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะพี่โพ” ดรัลรัตน์ตอบโพนีแล้วก็ค่อยเบือนหน้าไปมองยังหญิงชายคู่ที่โพนีกล่าวถึง เพราะสะดุดหูชื่อของคุณใหญ่ พักนี้เธอเจอคนชื่อนี้บ่อยเสียจริง ก่อนขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อพบว่าชายคนนั้นเป็นใคร ที่แท้ก็เป็นคุณใหญ่ที่เป็นคนคนเดียวกันกับที่เธอเคยเจอ และได้รับการแนะนำจากรุจิภาสนี่เอง ครั้งก่อน พบเขาในห้างสรรพสินค้าแถวบ้าน นี่เขาจะไม่ไปไหนนอกจากห้างสรรพสินค้าเลยหรืออย่างไร แล้วถึงได้มีโอกาสสำรวจชายคนนั้นจากระยะไกล ๆ เขามีรูปร่างสูงใหญ่สมชื่อเล่นของเขาจริง ๆ เพราะมองจากมุมนี้ เขาก็ดูโดดเด่นจากคนอื่น ๆ ที่ยืนอยู่ในบริเวณเดียวกับเขา เธอนึกรายละเอียดของเครื่องหน้าเขาไม่ค่อยออก ว่ามีรูปหน้า คิ้ว ปาก ตาเป็นแบบใด และไม่ได้อคติ เพราะเมื่อครั้งนั้นที่เขายืนเทียบกับรุจิภาส ดรัลรัตน์คิดว่ารุจิภาสมีใบหน้าที่ดูสำอางหล่อเหลามากกว่า เลิกสนใจเขา ชักสายตากลับมายังโพนี ถามคล้ายชวนโพนีคุยมากกว่าจะอยากรู้เรื่องของเขาจริง ๆ จัง ๆ “เขาเป็นใครหรือพี่โพ” “ทายาทบริษัทยักษ์ใหญ่ ลูกชายคนเดียวของคุณปานชนก มาดามคนดังที่ผัวตายจากอุบัติเหตุซิ่งรถสปอร์ตตกเหวที่นอร์เวย์ไง นี่เขาซุบซิบกันว่าพอกลับมาปุ๊บ ก็ไปกิ๊กกับคุณหรรษาเลยนะ” ดรัลรัตน์สะดุดหูกับชื่อคุณหรรษา เพราะบิดาของรุจิภาสก็ชื่อนี้เช่นกัน สมัยที่ยังหวานชื่นกับเขา รุจิภาสไม่เคยพาเธอไปพบพ่อแม่เขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ไปบังเอิญเจอกับบิดาของเขาที่วัดชื่อดังไม่ไกลจากบริษัท ครั้งนั้นรุจิภาสพาเธอไปทำบุญในวันคล้ายวันเกิดเลยได้พบกับท่าน คุณหรรษาที่เป็นบิดาของรุจิภาสดูเป็นผู้ใหญ่อารมณ์ดี ใจดี เป็นมิตรทีเดียว หากโพนีไม่เล่า เธอก็ไม่มีทางรู้เรื่องราวของพวกเขาเพิ่มเติมเป็นแน่ “แต่ทางคุณหรรษาก็งั้น ๆ แหละ ไม่ได้รวย มีแค่เปลือกนอกสวยหรู กับเงินที่เป็นตัวเลขลอย ๆ ไหนเลยจะรวยเท่าคุณปานชนกได้ ว่ากันว่าหุ้นส่วนเอย อะไรเอย คุณปานชนกก็เอามาเผื่อแผ่ให้ทางบ้านคุณหรรษาด้วยนะ คุณปานชนกนี่ แกมาทีหลัง แล้วยังไม่ได้เรียกร้องอะไรกับเขาอีก ไม่รู้จะหาแบบนี้ได้ที่ไหนแล้วนะ รุ่นนี้เขารักกันนี่ เขาเปย์ให้กันไม่อั้นเลยเนอะ ว่าไหม” โพนีผู้อยู่วงในของข่าวสารเล่าเรื่องราวชู้สาวของคนรุ่นใหญ่อย่างออกรส ดรัลรัตน์พาตัวเองหลุดออกมาจากความคิดเรื่อยเปื่อย เอ่ยถามถึงคุณหรรษาไปว่า “คุณหรรษานี่ เขานามสกุลอะไรหรือพี่โพ” โพนีบอกชื่อสกุลแล้ว เธอก็นิ่งไป พบว่าคุณหรรษาที่โพนีเอ่ยถึงคือบิดาของรุจิภาสจริง ๆ ด้วย “คุณหรรษากับคุณปานชนก เขามีข่าวกันตั้งแต่เมื่อไรคะ” “ก็เมื่อปี...” ดรัลรัตน์ได้คำตอบแล้ว นึกย้อนไปถึงวันที่รุจิภาสได้ขึ้นรับตำแหน่งใหญ่คราวนั้น ที่แท้เขาได้ดิบได้ดีเพราะมีคนเกื้อหนุนนี่เอง นึกว่าได้เพราะความสามารถของตัวเอง มาถึงตรงนี้ ดรัลรัตน์ชักอยากรู้เรื่องราวของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นอีกนิด จึงถามต่อ “คุณใหญ่อะไรนั่น เขามีพี่น้องอีกไหมพี่โพ” “ไม่มีหรอกหนู ฮีเป็นลูกคนเดียว” โพนีเล่าแล้วก็ทำท่านึก “แต่วงในเขาเมาท์กันว่า ลูกชายคุณปานชนกซึ่งก็คือคุณใหญ่เข้าขากันกับลูกชายของคุณหรรษาดีเชียวแหละ สองคนนี้เขาไม่ได้เขม่นอะไรกันเหมือนลูกบ้านอื่นนะ คนระดับนั้นก็แปลกเนอะ เมียคุณหรรษาก็ยังอยู่ ทำไมถึงยังกล้าไปรักกันได้ลงคอก็ไม่รู้” ฟังอย่างเดียวไม่ได้ออกความเห็นว่าอะไร โพนีก็เล่าเพิ่มเติม “แต่ทางบ้านคุณหรรษาเขาออกจะเกรงใจคุณปานชนกกับคุณใหญ่นะ แหงล่ะ ตัวเองไปเกาะเขานี่ ไม่เกรงใจเขาได้ไง” โพนีเล่าเอง ถามเอง ตอบเองด้วยความเมามันในอารมณ์นินทา ดรัลรัตน์ถามต่ออีก “แล้วพี่โพเคยเจอลูกคุณหรรษาไหม” “โอย คนไม่ดัง โอบอุ้มพี่ไม่ได้ พี่ไม่อยากไปทำความรู้จักด้วยหรอก คุณหรรษาอะไรเนี่ยพี่ก็รู้จักแค่ว่าชื่ออะไร นามสกุลอะไรแค่นั้นเองแหละ ไม่เคยเจอตัวเป็น ๆ ของแกหรอก” ดรัลรัตน์ชั่งใจว่าจะบอกดีหรือไม่ ว่ารุจิภาสคือคนที่โพนีกล่าวถึง แต่พอเห็นว่าคงไม่สำคัญ เธอจึงนิ่งไป ฟังเรื่องจากปากโพนี ป้อนเจ้าสิปจนเห็นว่าอิ่มดีแล้ว นั่งฟังอีกครู่ ค่อยหาจังหวะบอกโพนีขึ้นว่า “รัลว่า รัลกลับเลยดีกว่าพี่โพ” “ยกให้พี่โพได้ไหมคนนี้เนี่ย พี่โพจะดูแลอย่างดีเลย” โพนียื่นมือไปจับแขนเจ้าสิป ส่งเสียงถามไม่เลิกรา “พี่โพรักสิปนะ เจอกันวันแรกพี่โพก็รักเลย มาไหมลูก มาอยู่กับพี่โพ” เจ้าสิปยิ้มอย่างน่ารัก “สิปก็รักพี่โพครับ” “ปากหวาน” โพนีกระเซ้ากลับด้วยความหมั่นไส้ปนเอ็นดูไม่น้อย “ถอดแบบออกมาจากพ่อเราเลยเนี่ย ป้อเก่งจนแม่เราหลงหัวปักหัวปำ” พูดเย้าไปเรื่อย ลืมไปเสียสนิทว่าไม่ควรเอ่ยถึงรุจิภาส นึกได้ โพนีรีบส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้เธอ ดรัลรัตน์ไม่ได้สนใจความรู้สึกเก่า ๆ ที่มันผ่านมาแล้วอีกต่อไป เอ่ยปากชวนกลับไปยังโรงแรมที่พัก เพื่อเดินทางกลับ โดยมีโพนีตามมาส่ง เธอเก็บของจนเสร็จเรียบร้อย พาเจ้าสิปขึ้นรถ บอกโพนีไปว่า “รัลไปนะพี่โพ ได้ ไม่ได้ยังไงโทรบอกรัลบ้างนะ ขอบคุณมากที่หางาน หาเงินให้รัล” “จ้า ดูแลสุดหล่อของพี่ดี ๆ ด้วยล่ะ” โพนีคุยกับเธอแล้ว ยื่นหน้าคุยกับเจ้าสิปเสียงเล็กเสียงน้อย “ไว้เจอกันที่ทะเลนะครับสุดหล่อ” “ต้องขอแม่ก่อนครับ” “อุ๊ย ไม่ต้องไปขอหรอกแม่เราน่ะ พี่โพสั่งคำเดียว แม่เรากล้าหือที่ไหนกัน ไปเถอะรัล ขับรถดี ๆ” เธอไหว้ลาโพนีแล้ว ขับรถออกจากตรงนั้นตรงกลับบ้าน กว่าจะถึงจุดหมายก็ค่ำพอดี ลาวัลย์ยังเก็บของที่หน้าบ้านอยู่เลย ตอนเธอเลี้ยวเข้ามาจอด ลงรถได้ น้าสาวรีบเข้ามารายงานให้ฟัง “วันนั้นน่ะ พ่อเจ้าสิปมารอด้วยนะรัล แล้วก็ไม่เห็นมาอีกเลย สงสัยกลับไปแล้วมั้ง” ไม่อยากสนใจเรื่องของเขาอีกแล้ว ส่งเจ้าสิปเข้าบ้าน ออกมามองรั้วที่กั้นบ้านตัวเอง กับที่ผืนข้าง ๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “รัลว่า เราคงได้เสียตังค์ทำรั้วใหม่จริง ๆ แล้วล่ะน้าวัลย์” นางลาวัลย์คล้อยตาม ก่อนท้วงว่า “ก็น่าทำอยู่หรอก แต่ทำรั้วทีหนึ่ง ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลยนะรัล” ดรัลรัตน์พยักหน้ารับ เธอก็หนักใจเรื่องเงินเหมือนกัน แม้จะไม่ได้ขัดสนมาก แต่การทำรั้ว ก่อสร้าง ต่อเติมก็ใช้เงินไม่น้อย แล้วถามหามารดาเมื่อนึกขึ้นได้ “แม่ล่ะ” “เข้าห้องไปแล้ว” “รัลก็จะอาบน้ำ พักบ้างเหมือนกัน ขับรถจนเมื่อยไปหมดแล้ว” บอกจบเดินเข้าห้อง อาบน้ำเรียบร้อย หันมองหากระเป๋าที่ใส่ของจุกจิกไว้ในนั้น มองไปรอบห้องก็หาไม่เจอ แล้วเลยนึกขึ้นได้ว่าคงลืมไว้ในรถ จำต้องเดินออกไปเอา มาจนถึงรถแล้ว มองไปที่หน้าบ้าน ถึงได้เห็นว่าประตูรั้วยังไม่มีใครปิด ถอนใจเบา ๆ ด้วยอาการเหนื่อยล้า ตอนนั้นเองที่แสงไฟจ้าจากหน้ารถคันหนึ่งสาดเข้ามากระทบตาของเธอ ดรัลรัตน์ยกมือขึ้นบังแสงไฟ เห็นรถคันนั้นจอดและลดไฟลง พร้อมกับประตูรถถูกดันเปิดออก ค่อยพบว่าใครกันคือแขกในเวลานี้ รุจิภาสยังไม่กลับ หลังจากที่รู้ว่าเธอเข้ากรุงเทพฯ ไป เขาไม่รู้ว่าเธอไปอยู่ส่วนไหนของที่นั่น จึงตัดสินใจเปิดห้องที่โรงแรมแห่งหนึ่งรออยู่ที่นี่ คาดว่าคงรอไม่กี่วัน ดรัลรัตน์ก็น่าจะกลับมา ขับรถวนมองที่หน้าบ้านทุกวัน เช้า สาย บ่าย ค่ำ อีกทั้งยังต้องสับขาหลอกล่อสิริรัศมิ์อีกด้วย เขาได้ผูกมิตรกับคณิสราไว้แล้ว จึงสบโอกาสโทรถามคณิสราตลอด ว่าดรัลรัตน์กลับมาแล้วหรือยัง จนได้ความในวันนี้เอง ว่ากลับแล้ว เขาถึงได้ออกจากโรงแรมที่พักในตัวจังหวัด เพื่อตรงมาที่นี่ มาถึง ทันได้เห็นดรัลรัตน์ในชุดเสื้อยืดกางเกงนอนขายาว เดินออกมายังรั้วหน้าบ้านพอดี รุจิภาสรีบลงจากรถ ตรงเข้าไปหา เรียกเธอเสียงอ่อย “รัล” เห็นรุจิภาสมาเยือนในช่วงค่ำเช่นนี้ก็ให้ไม่พอใจ เธอหมดศรัทธาในตัวเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยิ่งว่าที่ภรรยาของเขาจะเข้ามาทำร้ายเจ้าสิป ก็ยิ่งทำให้เธอนึกโมโหและรังเกียจทั้งเขาและผู้หญิงคนนั้นมากยิ่งขึ้นไปอีก ยืนมองนิ่ง ไม่พูด ไม่ถามอะไรเขาทั้งนั้น รุจิภาสมองตอบมาด้วยสายตาท้อแท้ ระหว่างเขากับดรัลรัตน์มีเรื่องมากมายที่ยังต้องพูดจากัน เรื่องเก่ายังไม่เคลียร์เลยด้วยซ้ำ ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาสุมไฟใส่ระหว่างกันเข้าไปอีก รุจิภาสอยากพูดจาให้เข้าใจกันก่อน ก็หาโอกาสได้ยากเย็นยิ่งนัก มองตาเธอแล้วก็ตัดสินใจเอ่ยถึงเรื่องของสิริรัศมิ์ก่อนเป็นอันดับแรก “เรื่องวันนั้น ผมอยากอธิบายให้รัลฟัง” ดรัลรัตน์มองตอบเขานิ่ง ๆ ชายที่เธอเคยรัก เคยมอบหัวใจให้เขาไปหมดทั้งดวง มาตอนนี้ เธอเติบโตขึ้น ผ่านเรื่องราวร้ายดีมามากมาย ทำให้คิดได้มากขึ้น ปลงมากขึ้น บอกตัวเองได้แค่ว่า ถ้าไม่อยากเจ็บปวดแบบคราวนั้น ก็อย่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้รุจิภาสอีก จึงบอกเสียงเย็นชาไปว่า “ฉันไม่เคยร้องขอคำอธิบายอะไรจากคุณ ไม่เคยต้องการ มีอะไรอีกไหม นอกจากจะมาพูดเรื่องวันนั้น หรือเรื่องในอดีต” เธอมองเขาเขม็ง เน้นเสียงถามในตอนท้ายประโยค “ถ้าไม่มี ก็กลับไปได้แล้ว ฉันจะปิดประตูบ้าน” ได้ยินคำพูดไร้เยื่อใย รุจิภาสก็เปลี่ยนความต้องการใหม่ “ขอผมเจอลูกหน่อยได้ไหม” “สิปเข้านอนแล้ว” ดรัลรัตน์พบว่าอารมณ์ของตัวเองสงบลงมาก เธอตอบเขาแบบที่ไม่ได้มีความหงุดหงิด งุ่นง่าน หัวเสียอย่างในวันนั้นอีกแล้ว ก็ในเมื่อบอกตัวเอง กำชับกับตัวเองอยู่เสมอ ๆ ว่าเธอกับรุจิภาสจบความสัมพันธ์กันไปแล้ว ก็ต้องให้มันจบอย่างที่ตัวเธอบอก ไม่ใช่ปากว่าตาขยิบ เห็นเขายืนเงียบ ไม่พูดอะไร เลยตรงไปดึงประตูเตรียมจะปิด แต่แล้วรุจิภาสกลับเข้ามาดึงมือของเธอเอาไว้ พร้อมกล่าวถึงเรื่องวันนั้นอีกครั้ง “รัลโกรธผม เรื่องที่เจ้าขาอาละวาดใส่ใช่ไหม ฟังผมก่อนนะ ผมกับเจ้าขาไม่ได้...” ดรัลรัตน์ดึงมือตัวเองออกจากมือของเขา โต้กลับว่า “อันที่จริงนะ คุณกับใคร จะเป็นอะไรกัน มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉันทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมาบอกฉันหรอก แล้วถ้าหากคุณอยากพบเจ้าสิปอีก คุณก็ควรต้องอยู่ในกฎเกณฑ์ของฉัน มาพบได้ ฉันไม่ได้กีดกัน แต่ห้ามสปอยล์เด็ก ถ้าทำไม่ได้ คุณก็ไม่สมควรจะเป็นพ่อด้วยซ้ำ เป็นได้แค่ญาติที่แวะมาเยี่ยมมาหา เวลาที่รู้สึกผิดเท่านั้น” เตือนสติเขาแล้ว ดึงประตูปิดลง แล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไป โดยไม่สนใจมองที่เขาอีกเลย รุจิภาสมองตามหลังจนเธอหายลับเข้าบ้านแล้ว เขาเดินคอตกขึ้นรถไป แล้วนั่งมองอยู่เงียบ ๆ จากในนั้น ไม่นานมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้น มองอยู่ครู่เห็นว่าเป็นเบอร์ติดต่อของเลขานุการ จำต้องรับสายในที่สุด ปลายสายแจ้งว่าพรุ่งนี้เขามีประชุมด่วนตอนสิบโมงเช้า หากว่าไม่เข้า เกรงจะเป็นผลเสียเพราะผู้บริหารระดับสูงเข้าร่วมกันครบทุกคน รุจิภาสวางสายลงพร้อมระบายใส่พวงมาลัยรถอย่างเซ็งในอารมณ์ถึงขีดสุด จำใจกลับเข้าโรงแรมเพื่อเก็บข้าวของ แล้วเดินทางกลับในตอนดึกหลังจากนั้น กลับถึงบ้าน ถึงได้พบมารดานั่งรอตนอยู่ แม้จะเป็นเวลาเกือบตีสามแล้วก็ตาม ทันทีที่เห็นบุตรชายจอดรถ เดินเข้าบ้านมา คนเป็นแม่ก็หน้าเครียดพยักหน้าเรียกให้นั่งลงเพื่อคุยกันก่อน “หายไปไหนมาตาโปรด” “ผมก็มีธุระต้องไปทำบ้างน่ะสิ แล้วนี่ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมคุณแม่ยังไม่นอนอีกครับ” “โปรด ลูกจะมาเหลวไหลตอนอายุขนาดนี้ไม่ได้แล้วนะ” นางกชกรตีหน้าเครียดใส่บุตรชายขณะกล่าว “โอกาสไม่ได้มีให้เราบ่อย ๆ นี่เล่นหายไปหลายวัน แม่รู้นะว่าแกไปตามเมียตามลูกที่บ้านคนพวกนั้นมา แล้วนี่ เล่นทิ้งงานการไปแบบนี้ เกิดเรื่องถึงหูผู้ใหญ่เข้า ลูกโดนพิจารณาตัวเองแน่ ๆ” “ผมไม่ได้ไปไหนจนเสียงานเสียการนี่ครับ” รุจิภาสเถียงมารดาอย่างไม่สบอารมณ์ “ที่คุณแม่อยากบ่น เพราะเจ้าขาเอามาฟ้องคุณแม่ใช่ไหม” “ก็รู้นี่” คนเป็นแม่อดค้อนบุตรชายไม่ได้ “แกอยากหาเศษหาเลย อยากลองแวะชิมผู้หญิงเรี่ยราดรายทางแบบพ่อแก แม่ก็ไม่ได้ว่า แต่แกต้องรู้ว่าอันไหนกินจริงกินเล่นได้” รุจิภาสถอนหายใจเบา ๆ ไม่พูดอะไร มารดาของเขาลดโทนเสียงให้ดูนุ่มนวลลงขณะพูดตักเตือน “หนูเจ้าขาน่ะ เหมาะสมกับโปรดของแม่ที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องฐานะ เรื่องชาติตระกูล เรื่องครอบครัว เรื่อง...” “พอเถอะครับคุณแม่ แต่งงานโดยดูเรื่องแบบนั้นเป็นหลักมันโบราณไปแล้วครับ” “ไม่รู้ล่ะ ยังไงลูกก็ต้องเอาใจหนูเจ้าขาเอาไว้ อย่าให้น้องถอดใจจากลูก แล้วพาลยกเลิกงานแต่งเป็นอันขาด” รุจิภาสมองมารดาด้วยสายตาเบื่อหน่าย เรื่องที่เขาคิดว่าจะจัดการเองได้แบบง่าย ๆ แม่ก็มาทำเสียเรื่องเสียนี่ “มันจะง่ายกว่านี้ ถ้าคุณแม่ไม่ทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่เสียก่อนครับ” “แม่ทำอะไร” “คุณแม่ให้ทนายส่งฟ้องเรื่องขอเป็นคนปกครองเด็กโดยไม่บอกผมก่อน” นางกชกรทำหน้าครุ่นคิด พยักหน้าราวกับจะเห็นด้วย แต่กลับพูดไปอีกทางว่า “ใช่ แม่น่าจะคิดให้ดี ๆ ก่อน จะได้ไม่มีรูโหว่เหลือช่องให้เรามีข้ออ้างวกกลับไปหาแม่คนนั้นได้อีก” ได้ยินมารดาพูดจาเหมือนจะเป็นคนละเรื่องกัน ก็อดส่ายหัวไม่ได้ ลุกหนี ทำท่าจะจากไป นางกชกรเข้ามารั้งต้นแขนบุตรชายเอาไว้แน่น วอนเสียงอ่อน “โธ่โปรด แกอย่าไปอาลัยอาวรณ์แม่คนนั้นอีกจะได้ไหม ผู้หญิงมีตั้งมากมาย ลูกต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้วนะ” “ผมยอมทิ้งโอกาสพวกนั้นเพื่อคุณแม่แล้วนี่ครับ ครั้งนี้ขอผมทำตามใจตัวเองสักครั้ง ไม่ได้หรือไง” บอกจบรุจิภาสมองมารดาด้วยสายตาน้อยใจปนสิ้นหวัง ก่อนปลดมือของมารดาออก แล้วหันหลังเดินขึ้นห้อง จากที่คิดว่าการง้องอนดรัลรัตน์จะง่ายดาย เขากลับพบว่ามันไม่ได้ง่ายอีกแล้ว      
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม