ดรัลรัตน์พาเด็กชายสิปปภาสไปส่งที่โรงเรียนเรียบร้อยแล้ว ค่อยเข้าไปดูคนงานในไร่ที่วันก่อนหายไปเพราะไปกินของผิดสำแดงกันมา จึงถ่ายท้องเข้าโรงพยาบาลไปกว่าครึ่ง
จนหายดีกันแล้วก็กลับมาทำงานให้เธอได้อย่างเดิม
อยู่จัดการงานในไร่จนเรียบร้อยแล้ว ก็พบว่าเธอกลับไปใช้ชีวิตต่อจากนั้นอย่างสุขสงบดังเดิมอีกครั้ง ไม่มีใครเข้ามารบกวน เช้าไปส่งเจ้าสิป สายเข้าไร่จนถึงบ่ายก็ค่อยออกไปรับเจ้าสิป ก่อนจะพากันเข้าบ้าน ทำอะไรกินด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา หัวเราะได้อย่างเดิม แม้จะมีบางเศษเสี้ยวของเวลาที่นึกถึงรุจิภาสบ้างก็ตามที แล้วก็ต้องรีบปัดเขาทิ้งออกไปจากหัวใจ
จนมาถึงวันนี้ วันที่อากาศร้อนอบอ้าว เจ้าสิปหยุดไม่ได้ไปโรงเรียนเพราะเป็นวันเสาร์ ส่วนเธอเข้าไร่ ขลุกกับงานทั้งวัน กลับจากไร่เหนื่อย ๆ เห็นมารดานั่งโบกพัดว่อนไปหมด พร้อมบ่นอย่างหัวเสียว่า “ใครมันเผาอะไรนักหนาวะ”
ค่อยเดินออกไปชะเง้อมองหาต้นตอของควัน แล้วหันไปตอบท่านว่า “ไร่อ้อยทางนู้นมั้งแม่” บอกท่านแล้ว ได้ยินเสียงมารดาจามออกมาติด ๆ กัน ก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าห้องของท่านไป ดรัลรัตน์ออกไปยืนมองกลุ่มควันที่ลอยขึ้นฟ้า ก็จำต้องปล่อยผ่านไปแบบนั้น เดินเข้าห้องไปอาบน้ำล้างเนื้อตัวให้สะอาดเพราะทำงานตากแดดมาทั้งวัน
สัปดาห์ต่อมาโพนีโทรแจ้งผลเรื่องงาน เย้ามาตามสายว่าอย่างไรก็ได้อยู่แล้วสำหรับงานนี้ แถมยังเย้าต่ออีกว่า เจ้าของใจดีมาก ยินดีจะจ่ายตามที่แจ้งไปไม่ต่อสักคำ พร้อมนัดหมายคร่าว ๆ ว่าเป็นวันไหนที่จะเริ่มถ่ายงานแล้ววางสายจากกันในเวลาต่อมา
อีกสัปดาห์ถัดมาก็เป็นงานทำบุญของโรงเรียนอนุบาลเจ้าสิป
เจ้าตัวดีกระดี๊กระด๊าทีเดียว ผิดจากที่เธอคาดไว้ นึกว่าจะไม่อยากร่วมงานของโรงเรียนเสียแล้ว เมื่อวานนี้เลยให้คณิสรากับน้าลาวัลย์ช่วยกันขนผลไม้ใส่ท้ายรถเอาไว้ ตั้งใจจะหอบไปร่วมถวายเพลพระด้วยกัน ชวนให้ไปด้วยกันหมดบ้าน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี
จึงพากันตรงดิ่งไปโรงเรียนแต่เช้า ส่งเด็กชายให้คุณครูประจำชั้นแล้ว ช่วยกันขนผลไม้ลงจากรถ ตักบาตรเช้าเสร็จแล้ว ขณะเตรียมของใส่สำรับพระ หูแว่วเสียงของบรรดาครู ๆ คุยกันว่า “คุณใหญ่ก็มาหรือ”
“มาค่ะ ครูลอองี้หน้าบานแฉ่งเลย แกคงดีใจเนอะที่คุณใหญ่ปลีกตัวมางานทำบุญเล็ก ๆ ของเราด้วย”
“สงสัยข่าวลือจะจริง”
“หวังว่าคุณใหญ่จะไม่เปลี่ยนครูออกยกชุดหรอกนะ”
“ไม่เปลี่ยนหรอก พี่ไปถามมาแล้ว แกออกจะใจดีนะพี่ว่า”
เสียงคุยทำให้เธอได้รู้ปัญหาที่กำลังเป็นเรื่องเป็นราวภายในไปโดยปริยาย หวังว่าคุณใหญ่ที่พูดถึงกันจะไม่ใช่คุณใหญ่คนเดียวกับที่เธอเคยเจอมาแล้วหลายต่อหลายครั้งนั่นหรอกนะ แต่แล้วก็พบว่าความคาดหวังของเธอพังทลาย เมื่อเห็นว่าคุณใหญ่ที่เหล่าครูพูดถึงเดินขนาบข้างมากับครูลออ เป็นชายที่ชื่อใหญ่คนเดียวกัน
ดรัลรัตน์หมุนตัวหันกลับไปช่วยยกของ จึงไม่ทันได้เห็นสายตาของณฐกรที่มองตามหลังเธอไป ก่อนจะหันไปทักทายผู้ปกครองหลาย ๆ ท่าน ที่ดาหน้าเข้ามาทักทายครูลออ ครูลออจึงถือโอกาสแนะนำญาติผู้น้องกับบรรดาผู้ปกครองไปด้วยเลย
งานทำบุญโรงเรียนในวันนี้ เริ่มด้วยการตักบาตรอาหารแห้ง แล้วรอถวายอาหารเพลต่อพระภิกษุสงฆ์ จากนั้นต่อด้วยกิจกรรมของเด็ก ๆ โดยมีผู้ปกครองรอเฝ้าชมกันอย่างเนืองแน่น บางบ้านยกกันมาหมด อย่างบ้านของเจ้าสิป ที่นอกจากจะมีเธอ มียายรังรองแล้ว ก็ยังมียายลาวัลย์กับพี่แก้มรอเชียร์อยู่ตรงเก้าอี้ไม่ไกลจากเวทีนี่อย่างไรเล่า
“ต่อไป เป็นการแสดงชุดสุดท้ายแล้วนะคะ เด็ก ๆ พร้อมไหมลูก” เสียงครูผู้ดำเนินรายการถามกระตุ้นเด็ก ๆ
แว่วเสียงตอบรับแทบพร้อมเพรียงกันว่า “พร้อมค่ะ/พร้อมครับ”
“อย่างนั้น ขอเรียนเชิญผู้ปกครองและคุณครูรับชมได้เลยค่ะ”
ดรัลรัตน์ตบมือเสียงดัง ชะเง้อมองการแสดงที่เจ้าสิปได้ร่วมแสดงครั้งนี้ด้วย และเพราะว่านั่งอยู่แถวกลางค่อนไปทางหลัง ไม่กี่นาทีต่อมาจึงมีผู้ปกครองคนหนึ่งมายืนถ่ายรูปบังที่ตรงด้านหน้าของเธอ เลยต้องขยับออกไปยืนดูการแสดงของเด็ก ๆ ที่ด้านข้างแทน
เจ้าสิปแสดงไปตามบทบาทได้ดีเกินคาด ไม่มีโยเย และเรียกเสียงหัวเราะ เรียกรอยยิ้มของบรรดาผู้ปกครองรวมถึงเด็ก ๆ ไปพร้อม ๆ กัน จนจบการแสดงชุดสุดท้าย ทั้งครู ทั้งพ่อ ๆ แม่ ๆ ก็พลอยโล่งใจตามกันไปเมื่อทุกอย่างจบลงอย่างสวยงาม
ครูผู้รับหน้าที่พิธีกรกล่าวเชิญผู้ปกครองตามรายชื่อขึ้นรับของที่ระลึกจากคณะครูและนักเรียน ซึ่งก็มีชื่อของเธอด้วย
“ขอเรียนเชิญคุณใหญ่ให้เกียรติมอบของที่ระลึกและร่วมถ่ายรูปกับคุณครู ผู้ปกครองและเด็ก ๆ ด้วยค่ะ”
ดรัลรัตน์รับของที่ระลึกเป็นลำดับท้ายสุด แล้วก็ถูกเชิญให้เข้าร่วมถ่ายภาพด้วยกัน เธอยิ้ม ตอบรับแล้วเข้าไปยืนข้างครูท่านนั้น แต่แล้วกลับถูกดันไปมา จนเผลอแวบเดียว หันมองดูคนรอบ ๆ อีกที กลายเป็นว่าคนข้าง ๆ เธอ คือชายร่างสูงที่ชื่อคุณใหญ่ไปเสียแล้ว
เขายืนที่ตรงกลาง โดยมีเธออยู่ที่ด้านซ้ายมือของเขา ส่วนครูลอออยู่ที่อีกด้าน ล้อมด้วยบรรดาครูคนอื่น ถ่ายรูปร่วมกันเรียบร้อย หญิงสาวรีบผละออกจากตรงนั้นทันที
เสร็จกิจกรรมตอนบ่ายสาม ผู้ปกครองสามารถรับเด็ก ๆ กลับบ้านได้เลย เธอจึงรับเจ้าสิปกลับบ้านหลังจากนั้น
ถึงบ้านแล้ว ดรัลรัตน์ค่อยคว้าตัวเด็กชายมากอดแนบอก พร้อมกล่าวเย้า “แม่นึกว่าสิปจะเป็นต้นไม้ ที่แท้เป็นสาหร่ายใต้ทะเลนี่เอง”
นางรังรองมองเธอกับเจ้าสิปแล้วก็ชมบ้าง
“สาหร่ายของยายหล่อสุดบนเวทีเลย”
“เพราะมีผู้ชายคนเดียวไง นอกนั้นมีแต่สาว ๆ ล่ะไม่ว่า” ลาวัลย์แกล้งเย้า
คณิสราเองไม่อยู่นิ่ง แซวเจ้าสิปอีกคน “พี่แก้มเห็นสิปมองสาวที่ใส่ชุดปลาดาวด้วยนะ แอบชอบสาวล่ะสิท่า”
คนอื่น ๆ เลยพากันแซวเจ้าสิปเสียงดังลั่นต่อจากนั้น ดรัลรัตน์มองเด็กชายแล้วบอกด้วยเสียงภูมิใจว่า
“วันนี้สิปเก่งมากเลยลูก แม่นึกว่าสิปจะยืนเฉยไม่แสดงร่วมกับเพื่อน ๆ เสียอีก เดี๋ยวเย็นนี้ แม่ทำหมูอร่อยให้กิน ฉลองที่เจ้าสิปของแม่ให้ความร่วมมือกับคุณครูและเพื่อน ๆ ได้เยี่ยมมาก ๆ”
ทุกคนต่างพากันพูดคุยเรื่องการแสดง เจ้าสิปถูกล้อไม่หยุด แต่เจ้าตัวก็ยิ้มรับ ก่อนจะมองเธอนิ่ง ๆ เรียกเธอเสียงค่อย “แม่ครับ”
“ครับ ว่ายังไงลูก”
“สิปคิดถึงพ่อ” จู่ ๆ เด็กชายสิปปภาสก็พูดขึ้น “พ่อบอกว่าจะซื้อโทรศัพท์ให้สิป เอาที่ดูการ์ตูนกับเล่นเกมได้ด้วย”
นึกโมโหตงิด ๆ
คิดถึงเพราะเขาบอกว่าจะซื้อของให้เท่านั้นแหละน่า
เธอไม่ได้กล่าวปลอบใจเรื่องบิดาของเด็กชาย แต่เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “เอ...แม่บอกสิปหรือยังน้อ”
“บอกอะไรครับ”
“เดือนหน้า เราจะไปเที่ยวทะเลกัน”
จากใบหน้าเศร้าซึมเหงาหงอย บ่นว่าคิดถึงคนเป็นพ่อ หายวับในทันที เด็กชายตะโกนลั่นบ้านร้องเย่ ๆ แล้วว่า “ทะเล สิปชอบทะเล”
“สิปเคยไปแล้วหรือ”
“สิปเคยไป”
“ไปเมื่อไรเจ้าสิป นี่แอบไปเที่ยวกับใครมาหืม กะล่อนพอกันเลยนะ” ชะงักทันที เมื่อปากกำลังจะกล่าวถึงพ่อของเจ้าสิป ดรัลรัตน์ยิ้ม เปลี่ยนเรื่องหลอกล่อเด็กชายสิปปภาสไปว่า “ไปตั้งสี่วันแน่ะ”
“แล้วเดือนหน้า คือวันไหนครับ”
“เดือนหน้าหรือ” พึมพำเบา ๆ เพราะเข้าใจความหมายของเจ้าสิปเป็นอย่างดี อดยิ้มไม่ได้ เมื่อต้องหาความหมายว่ามันเป็นเวลาไหน วันไหนกัน แล้วอธิบายไปแบบง่าย ๆ อย่างที่เด็กสี่ขวบจะพอเข้าใจ
มีเจ้าสิปชีวิตของเธอก็มักจะมีอะไรที่ทำให้ยิ้มได้แบบนี้เสมอ ดรัลรัตน์กอดร่างกลมแน่น ๆ กินข้าวแล้ว ก็ค่อยแยกย้ายพากันเข้านอนหลังจากนั้น
“รัล”
เสียงลาวัลย์เรียกเบา ๆ ที่ด้านหลังในเช้าของวันถัดมา ตอนที่เธอยืนดูข่าวไปพลาง กินกาแฟไปพลาง เตรียมจะออกไปที่ไร่ในตอนที่กินอะไรเรียบร้อยแล้ว
“มีอะไรน้าวัลย์”
น้าของเธอพยักพเยิดไปทางหน้าบ้านแล้วบอก “พ่อเจ้าสิปมา”
เธอละสายตาจากจอโทรทัศน์ มองไปยังรุจิภาสที่โผล่มาแต่เช้าก็ให้รำคาญใจไม่น้อย ตั้งใจจะเข้าไร่ เลยจำต้องเปลี่ยนแผน เดินไปทางหลังบ้าน เอ่ยขึ้นอย่างไม่สนใจ “ปล่อยไว้แบบนั้นแหละ ไม่ต้องให้เขาเข้าบ้าน ใครพาเข้าบ้าน รัลจะตัดค่าใช้จ่ายรายเดือน” บอกจบ มองดุ ๆ ไปยังคณิสรา รู้ตัวแล้วว่าใครในบ้านที่เป็นสายให้เขา
คณิสราหลบตาวูบ ไม่กล้าพูดหรือเถียงแม้แต่คำเดียว
รุจิภาสผูกมิตรกับคณิสราเอาไว้แล้วตั้งแต่คราวก่อน ทั้งยังให้เบอร์โทรติดต่อเอาไว้อีกด้วย เรื่องนี้ลาวัลย์เอามาเล่าให้เธอฟังอีกทอด เพราะแอบเห็นว่าคณิสรามีแบงก์สีเทาเก็บซ่อนไว้ในกระเป๋าสตางค์ ทีแรกนึกว่าไปขโมยเงินเธอมา แต่เจ้าตัวก็รับว่าพ่อน้องสิปให้เป็นค่าขนม แลกกับโทรศัพท์รายงานเรื่องของดรัลรัตน์ให้เขาทราบเป็นระยะ
คณิสราที่นึกชอบรุจิภาสอยู่เป็นทุน มีหรือจะไม่รีบรายงานให้เขารับรู้ อย่างงานที่โรงเรียน คณิสราก็โทรไปบอกรุจิภาส แต่เขาก็มาไม่ได้ เพราะติดงานด่วน คณิสรานึกขัดใจนัก
หรืออย่างที่เขามาวันนี้ รุจิภาสก็โทรมาบอกล่วงหน้าแล้ว ถามซักกับคณิสราว่าดรัลรัตน์ไปไหนหรือไม่ ญาติผู้น้องรายงานทุกเรื่องว่าเธอคงไม่ไปไหนนอกจากไร่ กลับเข้าบ้านช่วงเย็น เช้านี้เขาเลยมาโผล่แต่เช้า มาก่อนเธอจะออกไปไร่เสียอีก
ดรัลรัตน์เดินไปทางหลังบ้านฆ่าเวลาไปพลาง ๆ เดินดูผลผลิตที่ทยอยปลูกจนออกดอกออกผลสวยงามน่าชื่นใจ ก็ตั้งใจว่าจะเลยไปดูรั้วที่กั้นอาณาเขตเสียหน่อย ว่าต้องทำแบบไหน กั้นถึงตรงไหน อย่างไร แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ ไม่ก็มะรืน เธอจะให้ช่างมาตีราคาหน้างาน ว่าทำรั้วรอบขอบชิดให้ดี ให้แข็งแรง ต้องใช้งบสักเท่าไร
ตอนที่คิดเพลิน ๆ อยู่นั่นเอง ก็เสียหลักไถลตกลงไปในหลุมที่มีใครสักคนมาขุดทิ้งเอาไว้ ร้องซี้ดเบา ๆ ตกใจแล้วก็โมโหด้วย รู้เลยว่าเป็นฝีมือของใคร
“แม่ มาขุดไว้ตอนไหนอีกเนี่ย”
ขนาดหลุมไม่ได้ลึกมากหรอก แต่เพราะว่าเมื่อคืนนี้ฝนตกลงมาค่อนคืน ดินตรงนี้มันเลยลื่น และคงลงผิดท่า ด้วยว่าไม่ทันตั้งตัว ทำให้ทรงตัวลุกไม่ได้ง่าย ๆ
และในตอนที่พยายามจะทรงตัวลุกออกจากหลุมนั่นเองก็พบว่าข้อเท้าของเธอเจ็บนิด ๆ อีกต่างหาก หวังว่าจะไม่เป็นอะไรมากหรอกนะ ในนาทีต่อมา ค่อยรู้สึกว่ามีเงาคนยืนบังแสงแดดยามเช้าที่อีกด้าน เงยหน้าขึ้นมอง พบว่าไม่ใช่รุจิภาส แต่เป็นชายที่ชื่อใหญ่นั่นเอง
“ผมเดินมาดูร่องรอยที่ฝั่งคุณรื้อออก” เขาบอกพร้อมกับมองขาของเธอ ดรัลรัตน์ถดตัวหนี ยังคงหาทางลุกขึ้นด้วยตัวเอง โต้เขากลับไปว่า
“ไม่มีใครรื้อออกทั้งนั้นแหละ รั้วมันเก่าแล้ว เลยพังลงมาเอง”
เขายื่นมือลงมาคล้ายจะช่วย แต่ดรัลรัตน์ไม่ต้องการ พยายามจะทรงตัวลุกเอง แต่แล้วเสียงของเขาก็เอ่ยออกมาพร้อมเหยียดแขน ค้างเอาไว้ “ขาคุณเจ็บแล้วล่ะ มา ผมรอช่วยคุณอยู่”
มือของเขายังคงยืดออกรออยู่แบบนั้น แต่เธอไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากใคร ยังคงใช้มือตัวเองยันพื้น พยายามช่วยตัวเองทรงตัวลุกให้ได้
“หรือคุณรอโปรด” คำถามอย่างมีนัยของคนที่ออกตัวบอกว่าอยากจะช่วย ทำอารมณ์ของดรัลรัตน์เหวี่ยงขึ้นในทันที
เธอไม่ได้รอใคร
พอจบคำถามแบบนั้น ที่เหมือนเป็นหมัดเด็ดของเขา และอาศัยที่เธอเผลอ จับที่แขนของเธอลากขึ้นมาจากหลุมนั่นจนสำเร็จ
ขึ้นจากหลุมได้ ก็ให้รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้าตอนลงน้ำหนักก้าวขา แต่เจ็บมากกว่านั่นคือที่ใจของเธอนี่เอง เมื่อถูกถามด้วยคำหลายความหมายไร้ซึ่งมารยาทจากเขา
“ต้องให้อุ้มไหม” เสียงถามยังคงดังมาจากณฐกร
เธอรีบบอกปัดไปทันทีเลยว่า “ไม่ต้อง”
ณฐกรเงียบ มองเธอด้วยสายตาราวกับจะค้นหาบางอย่าง แล้วมองเลยไปด้านหน้า บอกกับทางนั้นว่า “ข้อเท้าคงพลิก”
รุจิภาสหน้าเครียด เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาหาเธอ ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลปนห่วงใยไม่น้อย “ไปทำยังไงข้อเท้าถึงได้พลิก”
ดรัลรัตน์ใช้จังหวะนี้ หันไปเกาะแขนของคนที่อยากช่วยแต่แรก ส่งยิ้มให้เขา บอกเสียงอ่อนลงจนกลายเป็นเสียงอ้อน เสียงที่เธอไม่เคยทำกับใครมาก่อนเลยสักคน แม้แต่กับรุจิภาสเองก็ตามที แต่หากเธอจะทำ ก็ใช่ว่าจะเหลือบ่ากว่าแรงจนเกินไปนัก “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยรัล”
รุจิภาสมองด้วยสายตาเข้มเป็นประกายขึ้น อารมณ์หึงหวงแผดเผาหัวใจของเขาทีละนิด เดินเข้ามาจะช่วยพากลับบ้านเอง แต่ดรัลรัตน์ก็เลือกที่จะเกาะแขนณฐกรเอาไว้แน่น แหงนหน้าขึ้นบอกเขา “ถ้าจะรบกวน พารัลกลับบ้านหน่อยได้ไหมคะ”
ไม่มีเสียงตอบรับใด ๆ จากณฐกร
เธอมองเขาอย่างรอลุ้นว่าจะเล่นไปด้วยกันกับเธอหรือไม่
ร่างสูงใหญ่ผุดรอยยิ้มนิดเดียวตรงมุมปาก ก่อนจะสวมรอยช่วย ด้วยการโอบแขนของเขารอบเอวของเธอ กระชับแน่นจนดรัลรัตน์ต้องกลั้นหายใจ พร้อมข่มกลั้นโทสะของตนเองเอาไว้ ไม่ให้ตะบันหน้าเขาเสียก่อน พลาดแล้วที่ใช้เขาเป็นเครื่องมือ สุดท้ายจำใจต้องยอมให้เขาพาเดินตรงไปยังบ้านของตัวเอง
ณฐกรเคลื่อนใบหน้าลงหาขณะโอบเอวพาเดิน โดยมีรุจิภาสตามหลังมาห่าง ๆ ปากของเขาอยู่เหนือขมับเธอนิดเดียวเท่านั้น “ผมคิดไม่ถึงเลย”
หางตามองเห็นรุจิภาสตามมาห่าง ๆ เลยทำเป็นเอนเข้าหาเขา กระซิบถามกลับไปว่า “คิดไม่ถึงเรื่องอะไรของคุณ”
“ก็ที่คุณทำนี่ไง ผมคิดไม่ถึงเลยนะ รู้ไหม”
ดรัลรัตน์หันไปมองที่ด้านหลัง เห็นรุจิภาสมองจ้องเขม็งมาก็ค่อยเอียงตัวเข้าไปกระซิบบอก “รู้เอาไว้ซะว่าฉันทำได้มากกว่านี้อีก”
เจ้าของท่อนแขนแข็งแรงรัดที่เอวของเธอแน่นขึ้น จนดรัลรัตน์ขยับหนี แต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของรุจิภาสที่มองไม่ละสายตาเอาเสียเลย ก็จำต้องนิ่งไว้ ณฐกรทำทีเป็นก้มลงกระซิบตอบเธอ ไม่ใช่ที่เหนือขมับแบบเมื่อกี้อีกแล้ว แต่เป็นที่ระหว่างแก้มกับใบหูของเธอต่างหาก “ผมจะรอดู ว่าอะไรที่คุณท้าทายผม ว่าทำได้มากกว่านี้นั่นน่ะ มันคืออะไร”
ดรัลรัตน์กลืนน้ำลายกับความใกล้ชิดแบบไม่ทันได้ตั้งตัว ขืนตัวออกจากเขา เธอไม่ได้ท้าทายเขาเสียหน่อย แล้วก็เลือกจะหยุดพูด หยุดกระซิบกระซาบ ขืนต่อปากต่อคำกันไปเรื่อย ๆ คงไม่จบลงง่าย ๆ เป็นแน่
จนถึงบ้าน ณฐกรพาเธอนั่งที่เก้าอี้ตรงที่เธอส่งสัญญาณบอกเขา
“ขอบคุณมากนะคะคุณใหญ่”
เธอบอกณฐกร แสดงสีหน้าเอียงอายไม่ยอมหยุด ณฐกรมองเธอด้วยสายตาที่ทำเอาเธอประหม่าหนักกว่าเดิม แต่ก็ฝืนยิ้มส่งให้เขาไป
“ผมจะกลับ...” ณฐกรบอกขึ้น หันไปทางรุจิภาสแล้วหันกลับมาบอกเธอ “ไปดูตรงแนวรั้ว”
แล้วพยักพเยิดหน้าไปทางรุจิภาส เดินกลับไปยังทิศทางเดิมที่เดินมา ดรัลรัตน์พาตัวเองลุกเดินเข้าห้อง ปล่อยรุจิภาสเอาไว้ที่ตรงนั้น ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรเขาอีก รุจิภาสเดินกลับไปที่รถแล้วเหยียบคันเร่งขับกระชากตัวออกจากหน้าบ้านของเธอไป
ณฐกรสำรวจแนวรั้วอีกครั้ง แล้วกลับเข้าบ้านของเขา สั่งงานกับคนของตัวเองแล้วถึงได้เห็นรุจิภาสขับรถเข้ามาจอดเทียบข้าง ๆ รถจี๊ปที่เขาใช้งานประจำหากอยู่ที่นี่
เดินเข้ามาในบ้าน ตรงไปรินเหล้ามาสองแก้ว ส่งให้ณฐกรก่อน แล้วถือแก้วของตัวเองเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ไม่ไกลจากกันเท่าไรนัก ยังไม่ยอมยกขึ้นดื่ม รุจิภาสเหวี่ยงน้ำในนั้นไปมาแล้วเอ่ยขึ้น “รัลน่ะเป็นยัยตัวแสบ เมื่อก่อนตอนคบกันแล้วมีเรื่องเข้าใจพี่ผิด ก็ชอบอ่อยใครไปทั่วให้พี่หึง บางทีพี่ก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่ารัลจะทำลงไปได้ขนาดนั้น”
ณฐกรนิ่งไปเป็นนาน ตาสบกับรุจิภาสนิ่ง ถามกลับว่า
“บอกผมหรือ”
“ใช่ พี่แค่อยากบอกให้ใหญ่รู้ จะได้ไม่เปลืองเวลาใหญ่ ลดตัวลงไปทำอะไรตามใจผู้หญิงแบบรัล”
“ลดตัว?” ณฐกรทวนคำยิ้ม ๆ แล้วส่ายหน้าด้วยอาการเอือมระอา ท้วงว่า “ถ้าผู้หญิงคนนั้นมาได้ยินที่พี่พูด ผมว่าเธอคงไม่เหลือหนทางให้กลับไปง้อแน่ ๆ”
ความรู้สึกกลัวลึก ๆ ในใจของรุจิภาสร้องบอกให้เขาพูดกับณฐกรเรื่องนี้เสีย ก่อนที่จะเกิดเรื่องให้ผิดใจกันในภายหลัง แต่แล้วอีกใจกลับบอกว่าไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้หรอก เขาอาจกลัวไปเอง อย่างณฐกรไม่มีทางชอบผู้หญิงธรรมดา ๆ อย่างดรัลรัตน์
อีกอย่าง ดรัลรัตน์ก็ยังมีเด็กชายสิปปภาสพ่วงท้าย ห้อยอยู่แบบนั้น คงไม่ไปสะดุดตาณฐกรอย่างแน่นอน คิดได้อย่างนั้น ก็จำต้องชวนณฐกรคุยเรื่อยเปื่อยไปยังเรื่องอื่น ๆ ดื่มด้วยกันจนสุดท้ายก็จำต้องแยกย้ายไป ด้วยบรรยากาศระหว่างกันที่ดูห่างเหินกว่าเดิมเล็กน้อย
รุจิภาสเลือกที่จะเข้าไปเปิดห้องพักในโรงแรม ไม่ได้นอนพักที่บ้านของณฐกรแบบคราวก่อน