ทันทีที่พาสิริรัศมิ์เข้าไปด้านในตัวบ้านได้ รุจิภาสก็วิ่งไปดักหน้าอยู่หลายหน ไม่ให้เจ้าหล่อนพุ่งตัวออกไปหาเรื่องดรัลรัตน์ที่ด้านนอก จนหญิงสาวร้องกรี๊ด ๆ ถามเสียงสูงปรี๊ดขึ้นว่า
“นี่มันอะไรกันคะพี่โปรด”
คนงานที่ยืนแอบฟังอยู่รอบ ๆ ทยอยหลบหายกันไปเกือบหมด เพราะทนเสียงสูงแหลมขนาดนั้นไม่ไหว
รุจิภาสกลบด้วยเสียงเรียบขรึมของเขาว่า “เงียบก่อนได้ไหมเจ้าขา พี่แสบหูไปหมดแล้ว”
สิริรัศมิ์จ้องชายหนุ่มที่เป็นคู่หมายด้วยแววตาน้อยใจ ไม่ลดเสียงลงอย่างที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอ กลับเปล่งเสียงแหลมและดังยิ่งกว่าเดิมเสียอีก “เด็กนั่น เป็นลูกของพี่โปรดได้ยังไงคะ”
รุจิภาสออกอาการเบื่อหน่ายอย่างไม่คิดปิดบัง ตอบกลับไปว่า “พี่ไม่ได้เป็นหมันนี่ ทำไมจะมีลูกไม่ได้”
นอกจากจะไม่ปฏิเสธแล้ว รุจิภาสยังออกปากคล้ายยอมรับอีกด้วย ว่าเด็กนั่นเป็นลูกของเขา และแม่ของเด็กนั่นล่ะ ใคร อย่าบอกนะว่าเป็นนังผู้หญิงนั่น
พลันนั้นเอง ภาพในวันที่เจอหญิงสาวในห้องทำงานของรุจิภาสก็ทยอยไหลบ่าเข้ามาในหัวของสิริรัศมิ์ เจ้าหล่อนร้องเรียกอีกฝ่ายดังลั่น พร้อมถลาเข้าไปดึงแขนเขา ทุบตี ถามด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจ “พี่โปรด! ทำไมทำแบบนี้คะ ฮือ ๆ ทำไมทำกับเจ้าขาแบบนี้”
รุจิภาสปัดป้อง พร้อมถามกลับว่า “พี่ทำอะไร”
สิริรัศมิ์คว้าแขนเขาแน่นแล้วตะเบ็งเสียงใส่ “ก็ที่เที่ยวไข่ทิ้งไว้นี่ไงคะ ทำแบบนี้ได้ยังไง นังนั่นก็หน้าด้านมาก นี่คงหวังจะจับพี่โปรดใช่ไหมเนี่ย กร้านขนาดนั้น ไม่มีทางปล่อยให้ตัวเองท้องได้หรอก ถ้าไม่คิดจะจับพี่โปรดน่ะ”
รุจิภาสไม่โต้เถียง ใช้เพียงสายตาเรียบ ๆ มองตอบมา “พี่จะไม่คุยกับเจ้าขา จนกว่าจะสงบอารมณ์ตัวเองลงก่อน” บอกจบ ดึงแขนตัวเองออกจากมือของสิริรัศมิ์ทันที พอเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าจะเดินจากไปก็แสร้งเป็นลมเสียเลย
ดีที่เลือกเอนตัวล้มไปหารุจิภาส อีกฝ่ายจึงรับเอาไว้ได้ทันท่วงที รุจิภาสตกใจเล็กน้อย เขาพาร่างนุ่มนิ่มของคู่หมายลงนอนที่โซฟาใกล้ ๆ ก่อนจะร้องเรียกหาคนให้เข้ามาช่วยอยู่เป็นนาน กว่าจะพาตัวเองออกมาจากสิริรัศมิ์ได้กินเวลาร่วมชั่วโมง เลิกให้ความสนใจกับหญิงสาวที่สวยแต่รูปร่างหน้าตา แต่กิริยามารยาทเกินจะทนรับได้ เดินไปที่รถ แล้วขับตรงไปยังบ้านของดรัลรัตน์
จอดรถเรียบร้อย รีบเดินเข้าไปด้านในของบ้าน
ลาวัลย์ที่เก็บกวาดบ้านอยู่ เห็นว่าใครมา ก็บอกขึ้นว่า “รัลไม่อยู่หรอกคุณ”
รุจิภาสทำหน้าไม่เชื่อ มองไปรอบ ๆ ถามพร้อมใช้สายตาสำรวจไปพลาง “ไปไหนหรือครับ ผมรอได้”
“เห็นว่าไปกรุงเทพฯ ค่ะ จะกลับวันไหนก็ไม่รู้หรอกนะ แต่ถ้าจะรอ ก็ไปรอที่ด้านนอกก่อน ฉันจะทำความสะอาดบ้าน” ลาวัลย์บอกจบ เดินไปที่ด้านหลังหอบไม้กวาด ถังน้ำ เข้ามาเช็ดถูตามที่บอกไว้เมื่อครู่นี้ ปล่อยรุจิภาสให้ยืนนิ่ง ทบทวนอะไรเงียบ ๆ คนเดียว ก่อนจะกลับออกไปในเวลาต่อมา
ณฐกรขับรถมาถึงจุดหมายในตอนโพล้เพล้เต็มที ลงรถได้ เดินดิ่งจากช่องจอดรถส่วนตัว เข้าไปที่ห้องชุดจากนั้น พรุ่งนี้มีนัดประชุมผู้ถือหุ้น แล้วยังมีประชุมยิบย่อยอะไรอีกสองสามเรื่อง เอาไว้ค่อยดูรายละเอียดอีกที พ่นลมหายใจออกปากพร้อมบิดคอไปมาเบา ๆ ด้วยอาการเมื่อยขบ ผลักประตูเข้าห้องได้ นั่งลงพาดคอกับขอบโซฟาตัวที่ตั้งอยู่กลางห้อง ไม่นานสายเรียกเข้าก็แผดเสียงดังขึ้น ปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น ไม่คิดจะหยิบมาดูว่าเป็นใครที่ติดต่อเข้ามา
ไม่นานสายเรียกเข้าก็ดังขึ้นอีก สุดท้ายจำต้องหยิบขึ้นดู กดรับในที่สุด “ว่าไงโปรด”
ปลายสายท้วงเนิบ ๆ โทนเสียงไม่ต่างกันเท่าไรนัก
“ทิ้งกันเลยนะ”
“พรุ่งนี้มีประชุมด่วน” ณฐกรตอบไปตามจริง ก่อนถามหาญาติผู้น้องของเขา “เจ้าขากลับแล้วหรือ”
“ไม่รู้สิ พี่ออกจากบ้านใหญ่แล้วก็ยังไม่ได้กลับเข้าไปอีกเลย”
รุจิภาสพยายามชวนคุย ซักถามอะไรเขาอีกหลายประโยคก่อนยอมวางสายในที่สุด ท่าทางที่โทรหา คล้ายต้องการที่ปรึกษามากกว่าจะโทรมาคุยเล่นด้วย แต่ในเมื่อไม่ยอมพูดเข้าเรื่องเสียที เขาจะไปง้างปากให้อีกฝ่ายพูดออกมาเพื่อประโยชน์อะไรกัน
วางสายแล้ว ก็พอดีที่มีเสียงออดดังขึ้น ขยับตัวมองมอนิเตอร์ พบว่าเป็นหญิงสาวคนคุ้นเคย ค่อยลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน ตรงไปเปิดประตูออกรับ แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายถลาเข้ากอดเขาแทบทันที พร้อมระดมจูบจนทั่วทั้งหน้า ณฐกรต้องดันเจ้าหล่อนออก ถามพร้อมกับหันหลังเดินกลับไปที่โซฟาที่นั่งอยู่เมื่อนาทีก่อนหน้า
“ไปทำอะไรผิดมา”
“แหม คุณใหญ่ก็ ชอบระแวงลีฟเรื่อยเลย”
หญิงงามเจ้าของชื่อ ‘โอลีฟ’ บ่นปอดแปด พาร่างเย้ายวนเข้าไปเบียดชายหนุ่มที่ตนสู้รบตบตีกับคนอื่นมาแทบตาย กว่าจะได้ขนาบข้างเขาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
ณฐกรเป็นชายหนุ่มที่เธอภาคภูมิใจมาก ที่ตนสามารถเข้ามาชิดใกล้กับเขาได้ แม้ไม่ได้เปิดเผยตัวในรูปแบบของแฟนสาวก็ตามที
นั่งลงเบียดเขาแล้ว ค่อยส่งมือเข้าไปวุ่นวายแถวขอบกางเกงอีกฝ่าย “ลีฟคิดถึงจะตายแล้วเนี่ย รู้ไหมคะ”
ณฐกรดึงมือนุ่มนิ่มออก บอกเสียงเนือย ๆ
“คืนนี้ผมเหนื่อย ไม่มีอารมณ์”
“ไปปล่อยที่ไหนมาแล้วล่ะสิ ถึงได้ไล่ลีฟกลับน่ะ”
“ยังไม่ได้ปล่อยที่ไหนทั้งนั้น แต่ผมเหนื่อย”
“ลีฟทำให้เอง จะเหนื่อยได้ยังไงล่ะคะ”
ชายเจ้าของห้องชุดสุดหรูจำต้องดึงต้นแขนของหญิงสาวเจ้าของชื่อโอลีฟขึ้นมาก่อน เมื่อเจ้าหล่อนเอื้อมมือปลดกางเกงของเขา พร้อมกับย้ายตัวเลื้อยลงไปเรื่อย จุดประสงค์ก็อย่างที่ใครเห็นก็รู้ว่าเจ้าหล่อนพยายามเต็มที่ที่จะปลุกเร้าเขา
“ผมไม่มีอารมณ์จริง ๆ ลีฟ”
“ก็ได้ค่ะ ไม่มีก็ไม่มี” โอลีฟเบ้หน้า บ่นเบา ๆ ไม่อยากตื๊อเขา
ณฐกรแยกตัวเดินเข้าห้องไป เพราะเข้าใจว่าประเดี๋ยวหญิงสาวคู่ควงคงกลับออกไปเอง แต่แล้วเจ้าหล่อนก็เดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่ม รื้อเหล้าออกมาเทให้เจ้าของห้องหนึ่งแก้ว ของตัวเองอีกแก้ว เดินตามเข้าไปในห้องที่ณฐกรอยู่
“ที่นั่นมีอะไรหรือคะ” โอลีฟถามอย่างไม่ให้เป็นการก้าวก่ายมากนัก
ณฐกรเงียบไปเป็นนาน มองโอลีฟนิ่ง ๆ ถามกลับว่า “อะไร”
“ก็...” โอลีฟทิ้งคำไว้คำหนึ่ง ก่อนขยายความ “ก็คุณใหญ่ไปที่นั่นตั้งหลายวัน ลีฟไม่เคยเห็นคุณใหญ่ไปทำธุระที่ไหนเกินสองวันมาก่อน”
“ที่นี่มีหลายเรื่องต้องจัดการ สองวันเลยไม่จบ”
“จริงเร้อ” โอลีฟยังคงถามจี้ไม่หยุด “ไม่ใช่ว่ามีอะไรที่นั่นดึงดูดให้คุณใหญ่ต้องอยู่นานหลาย ๆ วันหรอกหรือคะ”
ณฐกรส่ายหน้าน้อย ๆ มองตอบนิ่ง ๆ แล้วถามกลับว่า “เพ้ออะไร เล่นยามาหรือ”
“บ้าเถอะ มองลีฟแบบนี้เรื่อยแหละ”
ณฐกรบอกปัดอย่างต้องการตัดจบสนทนา “จะกลับก็กลับเลยนะ ผมมีประชุมพรุ่งนี้”
“นี่ไง แปลกอีกละ คุณใหญ่ไม่เคยไล่ลีฟมาก่อน”
จบคำถามสอดส่องของคู่ขา เขาเอื้อมมือหยิบเหล้าที่เป็นแก้วของตัวเองมาดื่ม แล้วเดินหนีหญิงสาวออกไปด้านนอกอย่างเบื่อหน่าย
ใช่ว่าทางนั้นจะรู้แกวเขาคนเดียวเสียที่ไหน เขาเองก็รู้ว่าโอลีฟไม่ละความพยายามที่จะเผด็จศึกเขาในค่ำคืนนี้ แต่เขาไม่นึกอยากเสพสวาทกับใครเลยสักคน
ตอนนั้นเองที่ใบหน้าของดรัลรัตน์วาบเข้ามาในหัวของเขา ตามด้วยความสงสัยมากมายที่พรั่งพรูมาเป็นระลอก นี่ล่ะมั้ง สาเหตุที่ทำให้เขาหมดอารมณ์จนไม่อยากควบขี่คู่ขาอย่างโอลีฟอย่างที่เป็นอยู่ในค่ำคืนนี้
ดรัลรัตน์เข้าพักในโรงแรมที่โพนีจัดหาไว้ให้ ซึ่งไม่ไกลจากสตูดิโอที่ใช้ถ่ายภาพนิ่งเท่าไรนัก สามารถเดินไปก็ยังได้ เจ้าสิปดูตื่นเต้นไม่น้อยที่ครั้งนี้ได้ติดรถมาด้วย เธอไม่เคยพาเจ้าสิปออกไปไหนไกล ๆ เลยสักครั้ง นับว่านี่เป็นครั้งแรกก็ว่าได้
มองเด็กชายแล้วถอนใจเบา ๆ เตือนไปว่า “สิปห้ามเดินไปไหนคนเดียวรู้ไหมลูก”
“ครับ”
“ถ้าพรุ่งนี้แม่ต้องทำงาน ช่วงที่รอ สิปไม่งอแง ไม่ซนนะครับ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะได้กลับบ้านกัน”
เด็กชายสิปปภาสยิ้มรับ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เมื่อเห็นว่าพอจะตักเตือนได้ก็เอ่ยขึ้น “สิปเดินลัดเข้าไปในบ้านคนอื่นแบบนั้น แม่ไม่สบายใจเลย”
เจ้าสิปได้ยินเธอบ่น หน้าสลดลงเล็กน้อย หลบตาเธอก่อนพูดขึ้นว่า “สิปเล่นของจนพัง เลยเอาไปให้พ่อซ่อม”
มองเด็กน้อยที่ไร้ซึ่งเดียงสากล่าวเตือนไปว่า “คราวหน้าคราวหลัง สิปจะไปไหน สิปต้องมาบอกแม่ก่อน รู้ไหมว่าแม่ตามหาสิปไม่เจอ แม่เป็นห่วงสิปแค่ไหน แล้วถ้า...” จะขู่เสียหน่อย เจ้าสิปก็ถามสวนกลับว่า
“ถ้ามีคนมาจับสิปไปขาย สิปจะทำยังไง”
ดรัลรัตน์ยิ้ม ลืมอารมณ์ด้านลบไปจนสิ้น ยื่นมือไปยีผมนุ่ม ๆ บนศีรษะเจ้าสิปอย่างมันเขี้ยวแล้วว่า “ทีอย่างนี้ล่ะทำเป็นรู้มาก”
แล้วคว้าเอาเจ้าสิปเข้ามากอดแนบอก
รักเหลือเกิน
เธอรักเจ้าสิปมาก
แล้วก็อดกังวลถึงหมายศาลที่ทางบิดาของสิปปภาสส่งมาให้ไม่ได้
เช้าวันใหม่ ตามเวลานัดหมาย ดรัลรัตน์พาเจ้าสิปตรงไปที่สตูดิโอด้วยกัน โพนีที่มารอก่อนหน้าแล้วร้องวี้ดว้าย ตามองที่เด็กชายสิปปภาสอย่างสนใจ พร้อมส่งยิ้มใจดีมาให้ เดินมารับถึงหน้าประตูเลยทีเดียว
“ตายแล้ว ตาย ๆ ๆ พ่อคุณ พ่อขนุนหนัง ชื่ออะไรครับลูก”
เธอยิ้ม กระตุกมือเจ้าสิปให้ตอบคำถามของโพนี เจ้าสิปออกอาการอายเล็กน้อยตามประสา กว่าจะบอกชื่อตัวเองได้กินเวลาเกือบเป็นนาทีเลยทีเดียว
“สิปครับ”
“หล่อผู้ลากมากดี ได้พ่อมาเต็ม ๆ พี่โพไม่หักสักคะแนน เอาไปเต็มสิบ ตามชื่อเลยลูก”
เจ้าสิปยิ้มอาย ๆ กว่าเดิมเสียอีก โพนีเห็นยิ่งเอ็นดูไปใหญ่ รีบแนะนำตัว เพราะอยากผูกมิตรด้วย “สิปเรียกพี่โพนะครับ เรียกแบบแม่ของสิปก็ได้”
แล้วหันไปบอกคนของตัวเอง “บู่ ๆ มาเอาน้องไปแต่งหน้าที”
“ค่ะพี่โพ” ช่างแต่งหน้า เด็กของโพนีเข้ามาพาเธอไปนั่งลงเพื่อแต่งหน้า
โพนีมองที่เจ้าสิปแล้วก็ออกปากสั่งคนของตนเอง “แต่งตัวให้น้องสิปด้วยเลยนะบู่ พี่อยากได้ภาพแม่ลูกด้วยเลย โอย ชนะเลิศขาดลอยไปเลย ไม่ต้องไปแข่งกับใคร พี่โพซื้อ ซื้อแพ็กคู่เลยครับ”
และแล้วภาพถ่ายที่โพนีได้ ก็มีทั้งของเธอและของเจ้าสิป โพนีเช็กภาพแล้วยิ้มถูกอกถูกใจ หันบอกเธอ “ได้เรื่องยังไงแล้วพี่ติดต่อหาอีกทีนะรัล น่าจะเดือนหน้านี้แหละ ที่จะได้ยกกองไปเก็บภาพกันในโรงแรมของลูกค้า รัลก็ถือโอกาสพาลูกไปเที่ยวด้วยเลย ดีไหมครับลูก” ท้ายประโยค โพนีหันไปถามเจ้าสิป
ดรัลรัตน์ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้ม บอกอย่างเกรงใจ “ไม่มีคนดูให้สิพี่โพ”
“ยกมาทั้งบ้านได้เลยจ้ะ เดี๋ยวพี่เคลียร์เรื่องค่าใช้จ่าย เรื่องห้องหับไว้ให้”
ดรัลรัตน์ยิ้มรับ นึกได้ว่าแบบนี้ก็ดีไม่น้อย ถือโอกาสพาทุกคนไปเที่ยวด้วยเลย โพนีจับมือเจ้าสิปไม่ยอมปล่อย เจ้าสิปเองก็ไม่มีอาการเขินอายโพนีอีกแล้ว คุยด้วยท่าทีสนิทสนมมากขึ้น
“จะกลับกันเลยหรือ พี่อยากพาสุดหล่อไปหาอะไรกินก่อน ได้ไหมรัล เดี๋ยวพี่โพเลี้ยงเองนะครับ” ท้ายประโยค โพนีหันไปทำเสียงหวานกับเจ้าสิป
ไม่ต้องถามย้ำ เจ้าสิปช่างกินอยู่แล้วด้วย ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบรับแทบทันที แล้วถึงได้พากันขึ้นรถของโพนี ตรงไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เพื่อกินข้าวด้วยกันในเวลาต่อมา
โพนีดูท่าจะรัก ชอบ เอ็นดูเจ้าสิปมาก โอ๋กัน เอาใจกันใหญ่ จะว่าไปแล้ว อาการหนักกว่ารุจิภาสเสียอีก นึกถึงเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าป่านนี้ว่าที่ภรรยาของเขาจะลากกลับบ้านไปแล้วหรือยัง
“ว้าย ตาย”
จู่ ๆ โพนีก็ร้องขึ้นมา เจ้าสิปที่กำลังนั่งจิ้มเฟรนช์ฟรายส์ในซอสมะเขือเทศเลยพลอยตกใจตามไปด้วย
ดรัลรัตน์หยิบทิชชูเช็ดหน้าให้เจ้าสิป พร้อมถามโพนีไปว่า
“อะไรหรือพี่โพ”
“เจอนายเก่าน่ะสิ”