รถสปอร์ตสีขาวรูปทรงปราดเปรียวจอดที่ด้านหน้าของลานรับซื้อพืชผลทางการเกษตร ณฐกรมองลงมาจากชั้นบนของบ้าน เพราะตื่นนอนพอดีก็ส่ายหน้าน้อย ๆ กับความใจร้อนของญาติผู้น้อง
ร่างงามระหงของสิริรัศมิ์ลงจากรถได้ ดิ่งไปที่รถของรุจิภาสทันที หญิงงามเดินวนไปมารอบรถ ก่อนจะหันมองที่บ้านพักที่ตั้งอยู่ด้านหลังลานรับซื้ออีกที
ตามหาเจอจนได้สินะ
อดมองหาตัวปัญหาไม่ได้ ไม่รู้ป่านนี้ตื่นแล้วหรือยัง
เมื่อคืนรุจิภาสดื่มจนเพลิน ดื่มหนักกว่าวันก่อนเสียอีก คงเพราะถูกคะยั้นคะยอจากราเชนนั่นเอง แล้วก็หลุดเล่าเรื่องในอดีตออกมาในที่สุด รวมถึงเรื่องที่ราเชนไปเค้นเอามาจากเพื่อนที่เป็นคนให้คำปรึกษากับดรัลรัตน์ในวันนั้นเพิ่มเติม จึงทำให้รู้เรื่องราวเพิ่มมาบ้าง เขาเลยพอจะปะติดปะต่อกันได้ในเวลาต่อมา ไม่คิดว่าเรื่องราวของพวกเขาจะซับซ้อนวุ่นวายได้ขนาดนั้น
ก็ถือว่าเป็นปัญหาของพวกนั้นไปเถอะ
เขาเองกำลังจะกลับแล้วเช่นกัน ไม่จำเป็นต้องลงไปต้อนรับขับสู้ใคร คิดได้อย่างนั้น ณฐกรหันหลังจากกระจกบานใหญ่ในห้อง เดินลงไปที่ด้านล่าง รับอเมริกาโนแก้วหนึ่งจากลูกน้องมาจิบก่อนจะออกเดินทาง
ดรัลรัตน์โทรสอบถามหัวหน้าคนงานในไร่ ว่าได้คนมาช่วยเพิ่มหรือไม่ เช้านี้เธอต้องวุ่นวายแต่เช้า เพราะคนงานที่เคยทำงานให้ไม่มาตามนัดกว่าครึ่ง
เห็นว่าเมื่อคืนไปงานบวชกันมาแล้วกลับจากงานก็พากันถ่ายท้อง น่าจะมาจากอาหารในงานเมื่อคืนนี้ คงต้องออกไปดูพวกคนงานก่อน ในตอนที่เดินคว้ากุญแจรถ พลันสายเรียกเข้าดังขึ้นอีกครั้ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นดู พบว่าเป็นโพนีนั่นเอง
“รัลจ๋า พี่เลื่อนวันได้แล้วนะลูก หนูจะมาได้วันนี้เลยไหม แล้วพรุ่งนี้เราเริ่มถ่ายกัน พี่ลัดคิวได้พอดีน่ะ”
ดรัลรัตน์นิ่งคิด ว่าไหน ๆ ทางนี้คนงานก็ไม่พร้อมทำงานกันแล้ว เธอไปทางนั้นสองวัน กลับมาก็น่าจะพอดี จึงตอบรับปลายสาย
“ได้พี่โพ เดี๋ยวรัลไป”
วางสายจากโพนีแล้ว หันไปวานคณิสรา “ดูเจ้าสิปให้พี่ที ป่านนี้ตื่นหรือยัง” แล้วหันหลังเข้าครัวไปช่วยน้าสาวทำอาหารเช้า
คณิสราหายเข้าไปในห้องเดี๋ยวเดียวก็ออกมาบอกหน้าตาตื่น
“น้องสิปไม่อยู่ในห้องนี่จ๊ะ”
ดรัลรัตน์วางมือจากกระทะทอดไข่ แล้วเดินตรงไปยังห้องนอนของเด็กชายสิปปภาสทันที ไม่รู้เป็นอย่างไรสิน่า บ้านนี้ ไม่แม่หายก็ลูกหาย จะอยู่กันแบบไม่ต้องให้มีห่วงเลยไม่ได้หรืออย่างไรกันนะ
ร่างกลมใหญ่ของเด็กชายสิปปภาสหอบหุ่นยนต์และรถเด็กเล่นที่ตนทำพังติดมือมาด้วย เพราะอยากจะเอาไปให้บิดาช่วยซ่อมให้
หลังจากที่บิดาบอกตนไว้เมื่อวานนี้ ว่านอนที่บ้านลานมันข้าง ๆ กันนี่เอง ตนกับเพื่อน ๆ พี่ ๆ เคยเข้าไปเล่นในนั้นออกบ่อย ทำไมครั้งนี้ถึงจะไปเองไม่ได้
เด็กชายสิปปภาสออกจากพื้นที่ของบ้านอย่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี เพราะเคยมาเล่นหลายครั้งแล้ว รู้ว่าทางเล็ก ๆ เส้นนี้สามารถทะลุไปยังที่ข้าง ๆ ที่เป็นลานมันได้
เดิน ๆ มุด ๆ ออกจากพุ่มไม้ก็ไปโผล่ยังที่ลานมันข้างบ้าน เดินลัดเลาะต่อไปยังบ้านหลังสวยหลังใหญ่เบื้องหน้านั่นทันที
พ่อบอกไว้ว่าอยู่ตรงนี้ คิดได้อย่างนั้นแล้วก็สาวเท้าเดินตามทางตรงไปยังบ้านหลังนั้นทันที ขณะเดินดุ่ม ๆ ไปยังบ้านที่ตั้งอยู่ตรงหน้า เสียงทักที่ด้านหลังของเด็กชายก็ดังขึ้น
“เข้ามาทำไมในนี้ไอ้หนู”
เจ้าสิปหันมองทางคนถาม ตอบไปว่า “มาหาพ่อครับ”
“ใครพ่อเรา”
เด็กชายสิปปภาสมองที่บ้านเบื้องหน้านิ่งแล้วออกวิ่งไปยังบ้านหลังใหญ่ เห็นเงาคนตรงหลังพุ่มไม้หน้าบ้าน จึงตะโกนเรียกไปว่า
“พ่อครับ”
ร่างของเด็กชายพุ่งไปยังบันไดเตี้ย ๆ ขึ้นไปยังลานระเบียงด้านหน้า และเพราะมีพุ่มไม้บดบังอยู่ทำให้มองเห็นไม่ชัดนักว่าใช่พ่อของตนหรือไม่ พอขึ้นไปถึง กลับกลายเป็นร่างเพรียวระหงของสิริรัศมิ์นั่นเอง
เจ้าสิปตัวใหญ่พุ่งพรวดจะเข้าไปกอด เพราะนึกว่ายังไงก็ต้องใช่พ่อแน่ ๆ สิริรัศมิ์ที่กำลังชะเง้อมองหาคนในบ้าน ไม่ทันได้ระวังตัวจึงต้านทานแรงโผเข้าใส่เกือบไม่ไหว เสียหลักจนทำท่าจะตกบันไดไม่กี่ขั้นที่หน้าบ้านไปเสียอย่างนั้น
พอทรงตัวได้ สิริรัศมิ์ดันร่างของเด็กชายออกตวาดแว้ดใส่ทันที
“เด็กบ้า!”
เด็กชายผงะหนี มองที่หญิงสาวแปลกหน้าเขม็ง สิริรัศมิ์ที่ยืนร้อนอยู่ตรงนั้นโมโหหนัก เข้ามาดึงแขนเด็กชายสิปปภาสแรง ๆ ยกมือขึ้นทำท่าจะตี
สายตาเด็กนี่จ้องตนเขม็งเลย ไม่รู้จักกลัวเกรงสักนิด ยิ่งเห็นก็ยิ่งอยากเอาชนะ
“ยังจะมองหน้าอีก มองทำไม”
สิปปภาสไม่เคยถูกคนตะคอกถาม เด็กชายทำอะไรไม่ได้นอกจากกะพริบตาปริบ หันมองซ้ายทีมองขวาที อยากหาทางกลับไปยังบ้านของตัวเอง แล้วขยับตัวจะลงบันไดไป แต่สิริรัศมิ์คว้าแขนเอาไว้เสียก่อน “ยังไม่รู้จักขอโทษอีก”
เด็กชายสิปปภาสตัวใหญ่ แรงเยอะไม่น้อย ดิ้นรนไม่ยอมให้ถูกจับง่าย ๆ เลยกลายเป็นยื้อยุดกันที่ตรงนั้นเอง นาทีต่อมาถึงได้ยินเสียงรถขับเข้ามาจอดในบริเวณหน้าบ้าน พร้อมกับเสียงเปิดปิดประตูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงนวล ๆ เอ่ยปรามว่า
“อย่าทำอะไรเด็กคนนั้นนะ”
ดรัลรัตน์ถลาเข้ามาดึงเจ้าสิปไปกอด ตาจ้องสิริรัศมิ์นิ่ง
นี่ถ้าลาวัลย์ น้าของเธอไม่รู้จักคนงานในนี้ แล้วเอะใจโทรมาถามให้เมื่อนาทีก่อนหน้า เธอคงยังไม่รู้ว่าเจ้าสิปแอบเข้ามาที่นี่หรอก คนงานคนนั้นบอกว่าเจอเจ้าสิปเดินเข้ามาในนี้พอดี ไม่อย่างนั้นเธอคงตามหาเจ้าสิปที่บ้านอื่นอยู่
“ทีหลังก็สอนให้ดี อย่าเที่ยวมาก่อความเดือดร้อนที่นี่อีก”
สิริรัศมิ์บอกอย่างมีโมโห แล้วหรี่ตามองตอบนิ่ง ๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกเหมือนเคยเห็นคนตรงหน้ามาก่อน
เคยเห็นที่ไหนนะ
เด็กชายสิปปภาสมองไปที่ด้านหลังของสิริรัศมิ์ ร้องเรียกอย่างดีใจว่า “พ่อครับ”
สิริรัศมิ์หันมองตามสายตาของเด็กชายสิปปภาสทันที เห็นรุจิภาสยืนมองด้วยใบหน้าขาวซีดตกใจไม่น้อย ที่สำคัญเขาไม่ได้มองมาที่ตนเลยแม้แต่นิดเดียว กลับมองไปที่สองแม่ลูกนั่น
เอ๊ะ! แล้วเด็กนี่ ก็ยังเรียกรุจิภาสว่าพ่ออีกด้วย
สิริรัศมิ์ตวัดสายตาไปมองยังชายหนุ่มคู่หมาย กระชากเสียงถามไปว่า “นี่มันอะไรกันคะพี่โปรด”
รุจิภาสมองที่ดรัลรัตน์และเด็กชายสิปปภาสด้วยสายตาไม่ใคร่สบายใจนัก ไม่ทันได้ยินได้ฟังด้วยซ้ำว่าหญิงสาวที่มารดาของเขาจับคู่ให้กล่าวว่าอะไร
เมื่อไม่ได้รับความสนใจจากชายที่หมายปอง สิริรัศมิ์ก็ฉุนเฉียวหนักกว่าเดิม ตรงไปยังสองร่างตรงหน้าด้วยท่าทางเอาเรื่อง
“อย่าเจ้าขา” รุจิภาสดึงสิริรัศมิ์ออกห่างจากดรัลรัตน์และเด็กชายสิปปภาสได้ทันพอดี
ดรัลรัตน์ดึงเด็กชายสิปปภาสหลบที่ด้านหลัง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่เฉียบขาด เหมือนกำลังสอนเจ้าสิปเวลาเกเร แต่เป็นการบอกกับหญิงสาวในอ้อมกอดของรุจิภาสต่างหาก
“หน้าตาคุณสวย การแต่งตัวก็ดูดีมีราคา คงมาจากตระกูลสูงส่งสินะ แต่ไม่น่าทำตัวตรงข้ามกับภาพลักษณ์ภายนอกของตัวเองแบบนี้เลย อย่างน้อยไม่นึกถึงตัวเอง ก็น่าจะนึกถึงหน้าพ่อหน้าแม่ของคุณบ้าง อย่าเที่ยวทำตัวก้าวร้าว เกเร ไร้มารยาทกับคนอื่นแบบนี้ ประเดี๋ยวคนได้ว่าเอาได้ ว่าพ่อแม่ไม่ได้สั่งสอน หรือดีหน่อย เขาอาจจะว่าแค่คุณ ว่าพ่อแม่สั่งสอนแล้วแต่เอาลูกไม่อยู่ ลูกเลยไม่รู้จักจำ”
ณฐกรที่เดินตามมาสมทบที่ด้านหลัง ได้ยินแบบนั้นก็เลิกคิ้วนิด ๆ มุมปากของเขาขยับขึ้นเล็กน้อย นึกชอบกับประโยคตอบโต้เช่นนั้น เขานึกว่าจะมีการด่าทอตอบโต้กันไปมาเสียอีก สายตาที่มองยังดรัลรัตน์ฉายแววพึงพอใจในเสี้ยววินาที ก่อนจางหายในวินาทีต่อมา ออกปากสั่งขึ้นว่า “พาเจ้าขาเข้าบ้านก่อนโปรด”
เสียงสั่งนั่นดังมาจากด้านหลังรุจิภาสอีกที
เมื่อไม่มีใครช่วยรั้งตัวหญิงสาวได้ รุจิภาสจึงจำใจต้องรัดร่างสิริรัศมิ์ไว้ให้แน่น เมื่อเจ้าหล่อนทำท่าจะเข้าไปหาเรื่องดรัลรัตน์ รุจิภาสจัดการล็อกตัวลากเข้าบ้านได้ในที่สุด
ดรัลรัตน์นิ่ง พยายามคุมลมหายใจของตัวเองให้สงบลงโดยไว หากมาช้ากว่านี้ เจ้าสิปต้องถูกผู้หญิงคนนั้นทำร้ายแน่ ๆ ไม่คิดว่าเจ้าสิปจะต้องมาเจอเรื่องราวแย่ ๆ แบบนี้ เธอห่วงความรู้สึกของเด็กชายไม่น้อย กอดร่างกลมใหญ่ของเจ้าสิปแน่น ลูบหลังลูบไหล่ด้วยอาการปลอบโยน แล้วตั้งท่าจะพาออกไปจากที่นี่ พลันนั้นเองที่เสียงเข้มของคนที่ยังยืนอยู่ กล่าวขึ้น “ไม่รู้ว่าโปรดบอกคุณหรือยัง”
ดรัลรัตน์ตวัดตามองยังคนพูด เธอจำเขาได้ เมื่อวานนี้ก็พบกันที่ห้างสรรพสินค้าในตัวอำเภอ รุจิภาสแนะนำผู้ชายคนนี้ว่าชื่อ ‘ใหญ่’
รูปร่าง ท่าทางวางก้าม ดูมีอำนาจไม่น้อย ก็คงใหญ่สมชื่อเขานั่นแหละ แต่เธอไม่สนหรอกว่าใครจะใหญ่มาจากไหน ย้อนถามกลับว่า “บอกเรื่องอะไร”
“โปรดกับเจ้าขากำลังจะหมั้นหมายกันในเร็ววันนี้แล้ว”
“ทำไมเขาจะต้องมาบอกฉันด้วย ว่าจะหมั้นหรือจะแต่งกับใคร”
ณฐกรมองตอบด้วยแววตาลุกวาวขึ้นเล็กน้อยก่อนจางหายไป ไม่มีคำพูดอะไรหลุดออกจากปากของเขาอีก บังเกิดความอยากขึ้นในหัวใจของเขา เขาอยากจะตามดูพฤติกรรมของผู้หญิงตรงหน้านี่นัก
มีอะไรหลาย ๆ อย่างในตัวผู้หญิงคนนี้ ที่ทำให้คนอย่างเขานึกแปลกใจทุกครั้งที่พบกัน แม้ไม่ใช่หญิงสาวหน้าตาสวยจัดแบบที่เขาเคยพบเจอมา และดรัลรัตน์มีบางอย่างดึงดูดความสนใจของเขา
ดรัลรัตน์สบตากับณฐกรนิ่งนาน แต่แล้วก็คาดเดาความคิดของเขาไม่ออก รู้แค่ว่าเธอไม่ชอบสายตาที่ใช้มองสำรวจแบบนี้เลยสักนิด ทำอย่างกับว่าเขาเป็นคนชั้นสูง แล้วเธอเป็นคนชั้นต่ำอย่างไรอย่างนั้น
กำลังจะอ้าปากบอกเจ้าสิป เสียงของเขาก็ดังแทรกเข้ามาอีกครั้งว่า “คุณจะพาเด็กกลับเลยก็ได้”
อารมณ์ของเธอยังไม่นิ่งพอ ได้ยินเขาเอ่ยปากคล้ายกับไล่ให้ไปก็ร้องสวนตอบกลับว่า “ฉันไปอยู่แล้ว ไม่ต้องไล่”
ณฐกรเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่ยังทำท่าใจเย็นอยู่เลย มาตอนนี้ทำท่าเดือดดาลใส่เขาเสียแล้ว ผุดยิ้มมุมปากเล็กน้อยชนิดที่ว่าแทบมองไม่เห็น และที่เขาพูดเมื่อครู่นั่นก็ไม่ได้มีความหมายว่าเขาจะไล่เธอเสียหน่อย แต่เอาเถอะ เขาคร้านจะแก้ไขความเข้าใจของเธอในตอนนี้
ดรัลรัตน์พาเจ้าสิปขึ้นรถกระบะของตัวเองได้ก็ขับออกจากที่นั่นในทันที จากที่ตั้งใจจะบ่นให้เสียหน่อยที่แอบออกจากบ้านโดยไม่บอกใคร ก็จำต้องให้อารมณ์ทั้งของเธอและของเจ้าสิปผ่อนคลายลงกว่านี้ก่อน
แล้วความคิดเสี้ยวหนึ่งของเธอก็พาวนกลับไปนึกถึงสิ่งที่รุจิภาสเอ่ยอ้อนเมื่อวานนี้
นี่หรือ ที่เขาบอกว่าอยากขอโอกาสจากเธออีกครั้ง
นี่หรือ ที่เขาอยากให้เธอเริ่มต้นใหม่
เริ่มต้นใหม่ทั้ง ๆ ที่เขามีคู่หมั้นแล้วน่ะหรือ
เขามันคนทุเรศสิ้นดี
กลับบ้านได้ โทรบอกหัวหน้าคนงาน สั่งให้จัดการงานในไร่เท่าที่ทำได้ไปก่อน เธอจะไม่อยู่ราวสามวันไม่เกินนี้ แล้วพาเจ้าสิปเข้าห้อง เด็กชายเห็นเธอวุ่นวาย เดินเปิดตู้เสื้อผ้า เก็บข้าวของมากองกับพื้น ก็ถามเสียงงุนงงเล็กน้อย “แม่จะไปไหน”
“เดี๋ยวแม่พาไปเที่ยว ดีไหมครับ”
เจ้าสิปถามเสียงค่อย คงรู้ตัวอยู่หรอกว่าทำอะไรผิดมา “แม่หลอกสิปหรือเปล่า”
“จะหลอกทำไม มาเร็ว สิปจะใส่ชุดหล่อตัวไหนบ้าง” ถามเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเจ้าสิปจากเหตุการณ์ก่อนหน้า เก็บเสื้อผ้าใส่ลงในกระเป๋าเรียบร้อยแล้วค่อยพากันขึ้นรถ
นางรังรองเดินออกมาจากหลังบ้าน ในมือมีเสียมเล็ก ๆ ติดมาด้วย มองบุตรสาวคนสุดท้องที่หอบกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถด้วยสายตาสงสัย
“แกจะไปไหนรัล”
“ไปหางานพิเศษทำน่ะแม่ อยู่เฝ้าบ้าน แล้วก็อย่าเที่ยวเดินไปไหนต่อไหนอีก รัลไม่อยู่ ใครมาฉุดเอาไป ไม่มีคนช่วยนะ”
นางรังรองค้อนบุตรสาวแล้วว่า “แม่จะไปไหนได้”
“ก็ข้างบ้านเรานี่ไง อย่าเดินข้ามไปที่ของเขา เกิดปืนทางนั้นลั่นโป้งป้างขึ้นมา ใครจะมารับผิดชอบเรา หาว่าเราบุกรุกที่เขาก็จบ”
“ไม่มีใครเขาคิดอะไรบ้า ๆ แบบแกหรอกรัล”
“ระวังไว้ก่อนจะเป็นไรล่ะแม่ รัลไปนะ เสร็จงานแล้วจะรีบกลับ” ดรัลรัตน์บอกมารดาแล้วก็หันไปบอกลาวัลย์ “ฝากแม่ด้วยนะน้าวัลย์”
“ขับรถดี ๆ แล้วพ่อเจ้าสิปนั่นล่ะ เขามาจะให้บอกว่าไง”
“ต้องไปบอกอะไร เมียเขามาตามให้กลับบ้านแล้ว” บอกด้วยเสียงไร้ซึ่งอารมณ์ขณะเดินไปเปิดประตูรถฝั่งของตนเอง
นางรังรองร้องถามตามหลังไปว่า
“แล้วแกไม่ใช่เมียมันหรือไงรัล”
ดรัลรัตน์อ้าปากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วก็หุบปากฉับลง ส่ายหน้า ไม่ตอบอะไร บอกลาอีกที “ไปนะแม่” บอกจบ ขับรถออกจากบ้านไปในนาทีต่อมา