นางกชกรมองหญิงสาวที่หมายมาดอยากให้มาเป็นคู่ครองของบุตรชายด้วยสายตาลำบากใจ เมื่อหญิงสาวตามมาคาดคั้นถึงบ้าน บอกว่ารุจิภาสมีลูกซุกไว้จริงหรือไม่ แล้วแบบนี้จะแต่งงานกันได้อย่างไร
หญิงสาวคราวลูกมองและถามอย่างคาดคั้นในตอนท้าย
“พูดความจริงเถอะค่ะ เจ้าขารับได้”
นางกชกรถอนลมหายใจเฮือก หยิบยาดมสมุนไพรขึ้นจ่อจมูก สูดอีกที สุดท้ายยอมพูดในที่สุด “เด็กนั่นน่ะลูกตาโปรดจริง ๆ ค่ะหนู”
สิริรัศมิ์แทบจะหลุดร้องกรี๊ด ๆ ออกมา บอกตัวเองว่าอย่าอาละวาดเป็นอันขาด เค้นถามเอาความจริงจากนั้น “แล้วยังไงต่อคะคุณน้า สองคนนั่นยังรักกันอยู่ใช่ไหม เจ้าขาจะได้บอกคุณแม่ให้ยกเลิกการหมั้นหมายของเจ้าขากับพี่โปรดไปเสียเลย”
มารดาของรุจิภาสยกมือห้าม แล้วเล่าให้ฟังว่า
“สองคนนั่นไม่ได้รักชอบอะไรกันหรอกค่ะหนูเจ้าขา ตาโปรดก็ผู้ชายนะลูก แถมยังหน้าตาหล่อเหลา เขายังหนุ่ม ยังหล่อ เวลามีความต้องการทีจะเอาไปลงที่ไหนได้ เขาเลยตัดสินใจซื้อกินเท่านั้นแหละ แต่แม่นั่นก็หลอกล่อตาโปรด แม่นั่นเคลมว่าตัวเองสด ซิง แล้วพอนานวันเข้าก็ไม่ยอมกินยาคุม ตาโปรดก็เหลือเกิน ไม่ยอมคุม ไม่ยอมป้องกัน สุดท้ายก็ได้เด็กคนนั้นมานั่นแหละค่ะ”
“แต่พี่โปรดไปหาแม่นั่นที่บ้านเลยนะคะ ไม่ได้รักไม่ได้ชอบกัน เจ้าขาว่ามันฟังไม่ขึ้นหรอกค่ะ”
“ที่ต้องตาม เพราะเขาอยากได้ลูกมาเลี้ยงเองค่ะหนูเจ้าขา”
“เอามาทำไมกัน เจ้าขาก็มีลูกให้ได้เหมือนกัน” สิริรัศมิ์บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง เธอชอบรุจิภาสมาก จะเรียกว่ารักเลยก็ยังได้ หญิงสาวมุ่งมั่น อยากได้รุจิภาสมาครอบครองอย่างมาก เรื่องลูกนั่นก็กลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย เพราะหากว่าเขาต้องการลูกจริง ๆ ทำไมเธอจะท้องให้เขาไม่ได้ ถึงท้องเองไม่ได้ ก็จ้างหมอทำก็ได้ ไม่มีอะไรเกินอำนาจของเงินไปได้หรอก
“คืออย่างงี้ค่ะลูก ซินแสท่านทักมาว่าถ้าเอาเด็กนั่นมาเลี้ยง ก็จะเกื้อกูลตาโปรด”
สิริรัศมิ์เบ้ปาก ถามกลับอย่างเหยียดหยันใส่ “นี่เชื่อเรื่องแบบนี้กันด้วยหรือคะ”
“มันต้องมีนิดหนึ่งแหละค่ะ” นางกชกรบอกด้วยน้ำเสียงละอายใจเล็กน้อย สิริรัศมิ์ถามเรื่องของผู้หญิงคนนั้นอีกสักพัก ก็ยกมือไหว้ลา ออกจากบ้านของนางกชกรไป
“ได้ข่าวว่าไปให้ซินแสดูชะตาดูอะไรให้ตาโปรดหรอกนะ”
เสียงปานวาด ผู้เป็นพี่สาวเล่าถึงฝั่งว่าที่ลูกเขยของตนให้ฟังอย่างออกรส กึ่ง ๆ ดูหมิ่น แต่กระนั้นก็ยังยินดีที่จะให้สิริรัศมิ์ไปญาติดี ผูกสมัครรักกับทางนั้นด้วย คงเพราะคิดคำนวณดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์มากกว่าเสียนั่นเอง แต่เพราะทางนั้นด้อยกว่า ก็อดค่อนแคะไม่ได้ สุดท้ายไม่มีใครที่ปากปิดสนิทมากพอก็จำต้องเอามาเล่าให้น้องสาวอย่างปานชนกฟัง
นั่งเงียบกันไป เพราะเจ้าของบ้านเองก็นิยมฟังมากกว่าพูด ไม่นาน เสียงรายงานของแม่บ้านคนสนิทบอกที่ด้านของปานชนก
“คุณใหญ่มาแล้วค่ะ”
จึงละสายตาจากผู้เป็นพี่ มองเลยออกไปที่ด้านนอก เห็นบุตรชายคนเดียวเดินเข้าบ้านมาก็พยักหน้าเบา ๆ เรียกให้เข้ามาที่ตรงนี้ก่อน
ณฐกรยิ้มรับมารดา ก่อนยกมือไว้ผู้เป็นป้า ผู้เป็นมารดาของสิริรัศมิ์อีกด้วย
“ลมอะไรหอบคุณป้ามาที่นี่ครับ”
“ลมอยากเมาท์น่ะสิคุณใหญ่” ปานวาดตอบหลานชายที่เกิดจากน้องสาวด้วยท่วงท่ากิริยาเอื้อเอ็นดู
“ใหญ่กินอะไรมาหรือยัง”
“ยังครับ ที่คุณแม่โทรตามก็ไม่ใช่จะเลี้ยงข้าวผมหรอกหรือครับ”
“จะไปรู้หรือ เห็นทุกทีเที่ยวแวะกินตามทางอยู่เรื่อย” คนเป็นแม่บอกอย่างหมั่นไส้ “อย่าให้ติดโรคมาก็แล้วกัน”
ณฐกรยิ้ม ถามแหย่มารดาไปทางป้าว่า
“ผมดูมั่วขนาดนั้นเลยหรือครับป้าวาด”
“แม่เราก็พูดเกินเรื่องไปเรื่อย” ปานวาดรีบเข้าข้างหลานชาย แล้วเอ่ยชวน “ย้ายไปที่โต๊ะเถอะ จะได้ไปนั่งเมาท์กันต่อ”
ทั้งหมดถึงได้พากันย้ายไปที่โต๊ะรับประทานอาหารของบ้านหลังจากนั้น อาหารจานสุดท้ายวางลงแล้ว ปานวาดค่อยพูดขึ้น “ป้าล่ะเหนื่อยกับตาโปรดจริง ๆ นี่แว่วมาอีกนะว่าเมื่อก่อนไปไข่ทิ้งเอาไว้ ตัวเองก็ไม่รับว่าเป็นลูกของตัวเอง จนมาวันนี้ก็มีปัญหาอีนุงตุงนัง วุ่นวายกันไปหมด”
ได้ยินแบบนั้น จากที่ไม่เคยนึกสนใจเรื่องของใครนัก ณฐกรก็เริ่มจะสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว ถามไปว่า “ใครเอามาเมาท์ครับ”
“ป้าไม่ฟังข่าวจากปากคนอื่นหรอกค่ะ ก็แม่ตาโปรดเขานั่นแหละเมาท์เองเลย” ปานวาดพักอารมณ์เดี๋ยวเดียว ค่อยเปิดปากเล่าต่อ “แล้วที่มันยุ่งวุ่นวายอยู่เนี่ย ก็เพราะว่าซินแสทักมา ว่าหากจะให้การงานราบรื่นก็ให้ไปเอาเด็กที่ไข่ทิ้งไว้มาเลี้ยง ซินแสแกว่าเด็กคนนั้นจะค้ำจะคูณตาใหญ่”
“แล้วซินแสรู้ได้ยังไงครับ มีใครบอกก่อนจะทำนายหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ เรื่องนี้ลับมาก รู้กันแค่บ้านเขานั่นแหละ”
ปานชนกมองพี่สาวก่อนเอ่ยท้วงขึ้น “แบบนี้แล้ว พี่วาดก็ยังอยากให้เจ้าขาไปผูกสัมพันธ์กับบ้านนั้นอีกหรือไง”
“โธ่” ปานวาดร้องออกมาคำเดียวอย่างอาย ๆ “คนเราใช่มีแค่เรื่องดีอย่างเดียว เลวอย่างเดียวไปหมดที่ไหนกัน ก็มีดีปนไม่ดีผสมกันไปนั่นแหละ ตาโปรดอาจจะเคยทำผิดทำพลาดมาบ้าง แต่ตอนนี้เขาก็กลับตัวใหม่แล้วไง ยิ่งได้ขึ้นตำแหน่งนั้นด้วยนะ โปรไฟล์ยิ่งหรูหราใหญ่ จะหาใครเปรียบได้ พี่มองแล้วไม่เห็นใครเหมาะกับเจ้าขาเท่าตาโปรดเลยนะ”
“อ้อ” เสียงร้องรับคำเดียวของหลานชาย ทำปานวาดหน้าชาเล็กน้อย ถามแบบมีแง่งอนใส่ณฐกรไปว่า
“จะบอกว่าป้าเห็นแก่ผลประโยชน์ก็ได้เอ้า”
ปานชนกเอื้อมหยิบจานผลไม้วางลงที่ตรงหน้าบุตรชาย บอกด้วยรอยยิ้มประดับบนใบหน้าน้อย ๆ “ยังไม่มีใครว่าพี่วาดแบบนั้นเลยนะ”
“แม่ลูกคู่นี้เหมือนกันราวกับโคลนนิ่งมาเชียว” ปานวาดค้อนวงใหญ่ให้น้องสาวและหลานชายไปพร้อม ๆ กัน “ไม่ว่าก็เหมือนว่านั่นแหละ สายตาสองคนนี้ทำไมฉันจะมองไม่ออก”
ณฐกรถามต่ออีกนิด “แล้วเขาไม่ได้เลี้ยงดูเด็กคนนั้นเลยหรือครับ”
“ยัยกชว่าส่งเงินให้ตลอด แต่พอรู้ว่าเป็นตัวนำโชค ก็เลยมาปรึกษาป้า ขอให้ทนายยื่นเรื่องฟ้องเอาเด็กมาเลี้ยงเอง ทนายก็ส่งเรื่องฟ้องทันทีเลย”
“แล้ว...” ณฐกรจิ้มผลไม้ค้าง ถามต่อไม่หยุด “ทางแม่เด็กเขายอมหรือครับ”
“นี่แหละที่นั่งเครียดกันอยู่”
“ทำแบบนี้ไม่ถูกนะพี่วาด” ปานชนกบอกด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ แต่พอจับอารมณ์ได้ถึงอาการไม่ใคร่ชอบใจนัก
“ผู้หญิงคนนั้นก็เลี้ยงลูกมาเองแต่เกิด แล้วพอทางตาโปรดอยากได้ลูกบ้าง ก็เอาทนายไปฟ้องเขาเลย ไม่เหมือนไปปล้นลูกเขาหรือไงคะ”
“พี่ก็ไม่รู้หรอก คงต้องรอดูไปก่อนว่าเรื่องจะเป็นยังไงต่อ”
ณฐกรพยักหน้าเบา ๆ เข้าใจอะไร ๆ ได้ในตอนนั้นเอง
“แล้วตกลงว่ายังไง จะขายให้ใครกัน โรงมันลานไม้นั่นน่ะ”
คนเป็นแม่ถามบุตรชายถึงที่ทางที่สามีซื้อกิจการจากเพื่อนฝูงทิ้งเอาไว้ เพราะมันไม่ได้มีกำไรมากมายอะไร และนอกจากจะไปจัดการเรื่องสินทรัพย์พวกนั้นแล้ว อีกเรื่องที่บุตรชายต้องเดินทางไปที่นั่นก็คือไปช่วยเจรจากับครูลออ ญาติของตนที่กิจการกำลังมีปัญหา
“ยังไม่ขายครับ” เสียงณฐกรบอกเรียบ ๆ
คนเป็นแม่มองบุตรชายอย่างแปลกใจ เพราะบุตรชายของตัวเองเป็นต้นคิดที่จะจัดการขายสินทรัพย์ทางนั้น แต่พอกลับบ้านมาแล้วก็คิดเปลี่ยนใจเสียอย่างนั้น
ณฐกรไม่เล่า ไม่พูดอะไรต่อ ปานชนกเองก็ไม่ถาม นั่งรับประทานอาหารด้วยกันจนเรียบร้อยแล้ว ตอนแรกเขาว่าจะนอนค้างที่บ้านสักคืน ก็ดันมีสายเรียกเข้า ชวนให้ออกไปนั่งดื่มด้วยกันที่ร้านประจำ
ชายหนุ่มพาตัวเองออกจากบ้าน ตรงไปยังคลับส่วนตัวแห่งหนึ่ง ก็ค่อยตรงไปยังโต๊ะที่คนโทรตามนั่งรออยู่ก่อนหน้าเขาแล้ว
“มีอะไรจะปรึกษา” รุจิภาสเทเหล้าลงในแก้วตัวเองแล้วยกขึ้นดื่มจนหมด ก่อนสบตากับณฐกรนิ่ง “พี่ไม่อยากแต่งงานกับเจ้าขาเลยใหญ่ พี่จะทำยังไงดี”
ชายอ่อนวัยกว่าเลิกคิ้ว ยกมือเรียกบริกร ขอเหล้าที่ถูกคอมาดื่ม แล้วค่อยเอ่ยเย้าไปว่า “โทรตามยัยนั่นมาคุยสิ”
“ใหญ่ก็รู้ว่าพี่ทำแบบนั้นไม่ได้”
“ทำไมถึงไม่อยากแต่ง”
“พี่ไม่ได้รักเจ้าขา”
“ก็ทำไมไม่ปฏิเสธแต่แรก”
เพราะว่าเขาเกาะบ้านสิริรัศมิ์ขึ้นตำแหน่งสูง ๆ นั่นไง ถึงได้บอกปัดไม่ได้ “พี่ยังรักรัลอยู่”
ณฐกรเอนหลังพิงเบาะเก้าอี้ มองอีกฝ่ายนิ่ง ๆ แล้วเอ่ยเตือนสติไปว่า
“แล้วผู้หญิงคนนั้นรักพี่หรือไง ไม่ใช่ว่ารักเงินหรอกหรือ”
รุจิภาสมองไปยังอีกฝ่ายก็ให้ฉุนเล็กน้อย ณฐกรอายุน้อยกว่าเขาตั้งแปดปี แต่ชอบทำตัวทรงภูมิ ทำเป็นว่ามีประสบการณ์มากกว่าเขา ก็แค่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่เดียวกับเขาแล้วไปเรียนต่อเมืองนอก ทำงาน หาเงิน ก่อร่างสร้างตัวด้วยตัวเอง ก็ใช่ว่าจะเก่งกว่ากันเสียเมื่อไร
รุจิภาสส่ายหัวทันที บอกเสียงหนักแน่น “รัลไม่ใช่คนแบบนั้น”
ณฐกรเงียบ ไม่พูดว่าอะไรต่อ รุจิภาสรีบกล่าวเสริมอีกว่า “พี่ยืนยันได้เลยใหญ่ ว่ารัลไม่ใช่คนแบบนั้น”
ณฐกรกดมุมปากลง เมื่อเห็นอีกฝ่ายค้านเสียงแข็งก็พากันเงียบไป ไม่นานก็ลุกแล้วแยกย้ายกันกลับบ้านใคร บ้านมันหลังจากนั้น
สิริรัศมิ์นั่งรอด้วยท่วงท่าเรียบร้อยผิดจากภาพจำที่รุจิภาสเคยมีต่อเจ้าหล่อน พอเห็นเขาผลักประตูห้องทำงานเข้ามา หญิงสาวก็ยิ้มหวาน ส่งเสียงถามอย่างไม่มีวี่แววของสาวขี้วีนในวันนั้นหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
“ประชุมเสร็จแล้วหรือคะพี่โปรด”
ตั้งแต่วันที่สิริรัศมิ์ไปอาละวาดใส่ดรัลรัตน์ ทั้งคู่ก็ไม่ได้พบเจอกันอีก มาวันนี้สิริรัศมิ์รุกเขาหนัก เข้ามารอถึงในห้องทำงาน มาโดยไม่บอกเขาก่อนอีกต่างหาก แต่ก็คงรู้แล้วว่าเขาอยู่นี่ ไม่ได้ไปไหน น่าจะสอบถามได้กับเลขานุการของเขา ไม่ก็แม่ของเขาเองที่พร้อมจะรายงานทุกอย่างให้เจ้าหล่อนฟัง
เดินเลยไปที่โต๊ะ ถามเสียงเย็นชากลับไป “เจ้าขามีธุระอะไร”
สิริรัศมิ์กดสายตาลงมองที่พื้น แสร้งถอนใจเบา ๆ
“เจ้าขาขอโทษกับทุกเรื่องที่เจ้าขาทำค่ะ ต่อไปเจ้าขาจะไม่ทำตัวแบบนี้อีกแล้ว”
รุจิภาสได้ยินแล้วอดขมวดคิ้วไม่ได้ อยากจะหันไปมองหน้า จ้องตากับคนพูดนัก ว่าทำได้อย่างที่พูดจริงน่ะหรือ แล้วสิริรัศมิ์ก็ค่อยตามมายืนที่ตรงหน้าเขา บอกอย่างน่าเอ็นดูว่า
“เนื้อคู่อะเนอะ ทำยังไงก็เป็นเนื้อคู่กัน แต่ถ้าไม่ใช่ ทำยังไงก็ไม่ใช่ แล้วถ้าเราจะไม่ได้หมั้นหมายหรือแต่งงานกันอย่างที่ผู้ใหญ่บอก แต่เราก็ยังเป็นพี่น้องกันได้ใช่ไหมคะ เจ้าขามาคิด ๆ ดูแล้ว เจ้าขาว่าเราอย่าทำไม่ดีต่อกันเลยค่ะ เราจบ เราจากกันด้วยดี ไม่ดีกว่าหรือคะ พี่โปรดมีความเห็นว่ายังไงบ้างคะ”
รุจิภาสถอนใจเบา ๆ เขาอยากจบแล้วก็อยากจะเอาตัวออกจากสิริรัศมิ์ใจจะขาด และหากว่าอีกฝ่ายจะถอดใจจากเขาแล้วจริง ๆ ก็ไม่เห็นว่าจะเสียหายอะไร หากว่าเขากับเจ้าหล่อนจะจากกันได้ด้วยดี
“อย่างนั้นแล้ว พี่โปรดจะกรุณาพาเจ้าขาไปเที่ยวสักครั้งได้ไหมคะ เราลองใช้เวลาด้วยกันสักครั้ง เปิดใจให้กัน แล้วถ้ากลับมา พี่โปรดเห็นว่าเราคงไม่เวิร์ก ไปกันไม่รอด เจ้าขาก็จะยอมถอยเองค่ะ ไม่ตื๊อแล้วล่ะ”
รุจิภาสไม่ได้ตอบว่าอะไร เขามองนิ่ง ไม่ได้ตอบรับและยังไม่ได้ปฏิเสธ เพราะยังไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย
“ก็แค่ไปพักผ่อนเท่านั้นเองค่ะ เจ้าขาไม่ปล้ำพี่โปรดหรอกน่า”
รุจิภาสมองใบหน้าน่ารักของอีกฝ่ายแล้วก็ถอนใจ ทำใจแข็ง ใจดำกลับไปหาเจ้าหล่อนไม่ลง เอ่ยถามเสียงอ่อนกว่าเมื่อครู่นี้ว่า
“แล้วเจ้าขาอยากไปที่ไหน”
“พี่โปรดใจดีที่สุดในโลกเลย”
สิริรัศมิ์บอกด้วยรอยยิ้ม เข้ามากอดแขนของเขาแน่น ออดอ้อน ก่อนบอกว่าจุดหมายที่ตนอยากให้พาไปนั่นคือที่ใด