โพนีให้รถตู้มารับเธอกับเจ้าสิปรวมถึงมารดา ลาวัลย์และคณิสราที่บ้าน เธอเกรงใจจึงบอกปัดไปว่าไม่ต้องลำบากขนาดนั้น ไปเองได้ แต่โพนีก็ไม่ยอม เอาแต่บอกว่าจ้างมาแล้ว ได้รถแล้ว ไม่ต้องไปว่าจ้างใครซ้ำซ้อนอีกเป็นอันขาด
เลยพากันหอบกระเป๋าเสื้อผ้าและข้าวของขึ้นรถตู้คันใหญ่สีขาวคันนั้น ออกเดินทางในตอนเกือบ ๆ จะสิบโมงแล้วนั่นเอง
ไม่กี่นาทีหลังล้อหมุน คณิสราหันไปกระซิบขอโทรศัพท์กับมารดาเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ พอได้เครื่องมือสื่อสารมาแล้ว ก็ก้มหน้าก้มตาจิ้ม ๆ อยู่เป็นนาน ก่อนจะส่งคืนให้นางลาวัลย์
เจ้าสิปดีใจมาก มากชนิดที่ว่าลืมพ่อของเขาไปเลย
เธอเห็นอย่างนั้นก็อดดีใจไม่ได้ ตั้งใจว่าเสร็จงานจะพาลูก พาน้อง พาแม่และน้าเล่นน้ำทะเลให้เต็มที่กันไปเลย
ถึงโรงแรมที่พักในตอนบ่ายแก่ ๆ แม้จะเหนื่อยจากการเดินทาง แต่พอได้ยินเสียงคลื่น ได้เห็นทราย เห็นน้ำทะเลที่สาดซัดเข้าหาฝั่งเป็นระยะ ๆ อาการเหน็ดเหนื่อยก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“ทะเลจ๋า แก้มมาแล้วจ้า”
คณิสราทิ้งกระเป๋าวิ่งลงไปหาทะเลคนแรก เจ้าสิปเห็นแบบนั้นก็ร้องเย่ ๆ ตามไปอีกคน “สิปก็มาแล้วครับ”
โพนีมาถึงก่อนหน้าแล้ว พอเห็นกลุ่มของพวกเธอก็ตรงเข้ามาหา ยกมือไหว้มารดาของเธอกับลาวัลย์ คล้องแขนเธออย่างดีใจที่ได้เจอหน้ากัน กล่าวชวนว่า “เอาของไปเก็บก่อนไหม แล้วลงมาหาอะไรกิน พรุ่งนี้ถ้าเอาตามตาราง เราก็จะเริ่มงานกันเลยนะรัล ไหวไหม”
ดรัลรัตน์ตอบรับแทบทันที “สบายมากพี่โพ”
“งั้นพากันขึ้นห้อง เอาของไปเก็บ ไปพักก่อน แล้วเดี๋ยวพี่เลี้ยงข้าว”
“โหยพี่โพ ไม่ต้องเลี้ยงเลย แค่นี้ก็ต้องขอบคุณพี่มากแล้วเนี่ย”
“ต้องมาขอบคุณอะไรกัน”
ดรัลรัตน์จับมือโพนีแน่นด้วยความซาบซึ้ง โพนีเห็นแล้วก็ออกปากดุทีเล่นทีจริง “อย่ามาทำท่าร้องไห้ใส่พี่นะ” แล้วสะบัดแขนเธอ เดินลงไปหาเจ้าสิปที่กำลังวิ่งหนีคลื่นทะเลอย่างสนุกสนาน “มาหาพี่โพก่อนเร็ว”
เจ้าสิปถูกโพนีคว้าแขนไปคุย “สวัสดีกันหรือยัง”
“สวัสดีครับ” เจ้าสิปห่วงเล่นแต่ก็ยังอุตส่าห์ยกมือไหว้โพนี โพนีเห็นอย่างนั้นแล้วก็อดแกล้งไม่ได้ เหนี่ยวแขน ไม่ยอมให้ลงไปเล่นน้ำ
“หิวไหมลูก ไปกินอะไรกันก่อนไหม”
“สิปอยากเล่นน้ำ”
“ได้ครับ งั้นเล่นให้เหนื่อยไปเลย แล้วเดี๋ยวค่อยไปหาอะไรกินกัน โอเคไหมครับ”
“โอเคครับ”
“พี่โพรักเจ้าสิปนะครับ”
“สิปรักพี่โพครับ”
แถวนั้นได้ยินเสียงสองหนุ่มต่างวัยคุยกันอี๋อ๋อก็ส่งเสียงแซวกันลั่นหาด แล้วถึงได้พากันหาที่นั่งเล่นแถวนั้น รอเด็ก ๆ เล่นน้ำจนพอใจแล้ว ก็ค่อยพากันขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนชุด ลงไปรับประทานอาหารหลังจากนั้น
ได้พักวันเดียว รุ่งขึ้นก็ลงมาแต่งตัวเตรียมถ่ายทันที ภาพเซตของวันนี้จำต้องอาศัยเจ้าสิปร่วมถ่ายด้วย เธอไม่ได้ขัดข้องอะไร คิดว่าง่าย จนผ่านไปถึงบ่ายคล้อยแล้วก็ยังไม่จบงานดี เวลาล่วงเข้าไปยามเย็น ถึงได้เรียบร้อยในที่สุด
วันนี้เหนื่อยเอาการ อากาศดี ไม่มีฝนแต่แดดแรงมาก จะว่าไปเหนื่อยกว่าทำงานในไร่เสียอีก เพราะต้องโพสท่าตามสั่ง บางท่าก็ต้องค้างเอาไว้ ไหนจะชุด ไหนจะเครื่องสำอางเหนอะหนะไปหมด
ขอกินอาหารง่าย ๆ ใกล้ ๆ โรงแรมที่พัก และขอรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของตัวเองและคนในครอบครัว โพนีเกาะเธอแจ ขอไปด้วย อันที่จริงน่าจะเรียกว่าเกาะเจ้าสิปมากกว่า เพราะเห็นคุยกัน เอาใจกันเหลือเกิน อิ่มแล้วก็แทบจะไม่ยอมห่างจากกัน เจ้าสิปเจอคนเอาใจ ตามใจเข้าหน่อยก็ติดเขาแจเช่นกัน น่าหมั่นไส้นัก
ผ่านไปอีกวัน
จนเข้าวันใหม่ วันนี้ตามตารางแล้วเธอจะต้องถ่ายอีกเซต และถ่ายซ่อมของวันก่อน ดรัลรัตน์จึงลงมาก่อนเวลานัดเกือบครึ่งชั่วโมง รอโพนีกับทีมงานไม่นาน ก็เดินตามกันลงมา
ทักทายกันแล้วก็นั่งรอช่างมาแต่งหน้าทำผมให้ จนสบจังหวะได้อยู่กันสองคน โพนีมองเธอแล้วถอนใจเฮือก ถามด้วยเสียงเป็นกังวลเล็กน้อย “พี่ได้บอกรัลหรือยัง”
ดรัลรัตน์ได้ยินก็นึกกังวลตาม ถามไปว่า “อย่าทำเสียงแบบนี้ดิพี่โพ เรื่องอะไร”
“คืออย่างงี้ ทางเจ้าของโรงแรมเขาอยากให้พี่ถ่ายเซตแบบเซ็กซี่ ๆ ด้วย พี่ก็เลยอยากให้รัลใส่ชุดนี้ลงสระ แต่ไม่ต้องห่วง พี่เซฟให้รัลแบบสุด ๆ เลย ไม่มีโป๊แน่นอน”
ดรัลรัตน์รับชุดมาพิจารณาดูแล้วก็ชั่งใจอีกครู่ เพราะแม้จะเป็นวันพีซ แต่ดูเซ็กซี่ไม่น้อย แล้วตัดสินใจยอมเปลี่ยนชุดในนาทีต่อมา
ณฐกรมองลงไปจากชั้นสองของตึกข้างสระว่ายน้ำเป็นนาน สิริรัศมิ์ก็ส่งเสียงร้องถามตามหลังมาว่า
“มองอะไรอยู่หรือคะพี่ใหญ่”
เขาไม่ได้ตอบญาติผู้น้องแต่ยังคงยืนมองทีมงาน ถามเสียงเอื่อยเฉื่อยไปว่า “โปรดรู้หรือยัง”
“รู้อะไรหรือคะ”
“รู้ว่าเราก่อเรื่องอีกแล้วน่ะสิ” เขาตอบพร้อมกับพยักพเยิดหน้าไปทางกลุ่มคนที่ขอบสระว่ายน้ำ
“พูดอะไรก็ไม่รู้พี่ใหญ่เนี่ย พี่โปรดมาพอดีเลย”
สิริรัศมิ์ผละไปคล้องแขนรุจิภาส แหงนหน้าชวนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่โปรดพาเจ้าขาไปชิมซีฟู้ดที่ร้านมุมถนนตรงโน้นได้ไหมคะ”
รุจิภาสที่เพิ่งมาถึง เขาไม่ได้อยากออกไปไหนนัก อยากพักในห้องมากกว่า แต่พอเจอลูกอ้อนของสิริรัศมิ์มากเข้าก็จำใจพาออกไปให้จบ ๆ แล้วถามหาพวก
“ไปไหมใหญ่”
ณฐกรส่งสัญญาณมือให้ไปกันเถอะ รุจิภาสจึงต้องออกไปกับสิริรัศมิ์สองคน คล้อยหลังกันไปแล้ว ณฐกรก็ยังคงมองไปยังร่างของคนที่กำลังโพสท่าตรงริมสระอยู่ไม่วางตา เขานึกเข้าใจได้ในตอนนี้เองว่าทำไมสิริรัศมิ์ถึงได้ชวนรุจิภาสมาที่นี่ ที่แท้การพามาเที่ยวของสิริรัศมิ์ก็มีแผนการบางอย่างในใจแล้วนี่เอง
ส่วนเขานั้น แวะมาที่นี่ก่อนหน้าแล้ว และสิริรัศมิ์ก็โทรศัพท์ชวนให้มานั่งดื่มด้วยกันที่โรงแรมของเจ้าหล่อน เขาปฏิเสธไป แต่พอได้ยินเสียงรุจิภาสในสาย เอ่ยชวนอีกคน เลยออกจากวิลลาของเขาข้างโรงแรมแห่งนี้ตรงมาที่นี่ในภายหลัง
ด้วยความอยากได้เพื่อนดื่มอยู่พอดี แต่พอมาเจอแบบนี้ คาดว่าเขาคงดื่มไม่ลงแล้ว น่าจะมีเรื่องอะไรสักอย่างที่สิริรัศมิ์กำลังจะก่อขึ้นอีกเป็นแน่
ขณะกำลังโพสท่าตามที่โพนีสั่งอยู่นั่นเอง ก็ให้รู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาจากที่ไกล ๆ ดรัลรัตน์เสียสมาธิ เสียอารมณ์เล็กน้อยจนต้องเลื่อนสายตาไปมองหา ก็ค่อยพบว่ามีคนจ้องเธออยู่จริง ๆ และเจ้าของสายตาคู่นั้นก็คือเขา คนที่ชื่อณฐกร
ดรัลรัตน์ไม่ได้มองที่เขาอีก เธอตั้งสมาธิ หันกลับมาโพสท่าสวยที่แต่ละท่าที่โพนีแนะล้วนเซ็กซี่เย้ายวนสุด ๆ ไปเลย กว่าจะเรียบร้อยก็เป็นเวลาเย็นมากแล้ว
เธอเห็นน้าสาวพาคณิสรากับเจ้าสิปลงมาเล่นน้ำอยู่นาน แล้วขึ้นห้องก่อนเธอจะเสร็จงานไม่นานนี่เอง คงจะเหนื่อย ป่านนี้น่าจะสลบกันไปหมดแล้ว เพราะเธอให้พนักงานส่งอาหารไปให้ที่ห้อง ไม่สะดวกพาทั้งหมดลงมากินที่ด้านล่าง
โพนีเข้ามาชวนตอนที่เช็กภาพเรียบร้อยแล้ว
“อยู่ดื่มฉลองกันหน่อยไหมรัล”
“เหนื่อยอะพี่โพ ว่าจะขึ้นไปพัก”
“เถอะน่า เจ้าของเขาลงทุนเอาเครื่องดื่มมารอไว้แล้ว ช่วยพี่ ๆ น้อง ๆ ในกองดื่มหน่อย” โพนีแกล้งเอางานมาล่อเธอ แท้จริงแค่อยากให้นั่งดื่มด้วยกันก่อนต่างหาก
ดรัลรัตน์มองตาก็รู้ บ่นให้ว่า “ใช้งานจนคุ้มทุกบาททุกสตางค์เลยนะ”
“มาเร็ว อย่าบ่นมาก”
ดรัลรัตน์เหนื่อยมาทั้งวัน จากที่ตั้งใจว่าเสร็จงานจะขึ้นห้องไปพักเสียหน่อย แต่แล้วก็นึกเกรงใจโพนี จำต้องพยักหน้าตอบตกลงในที่สุด
แล้วลุกขึ้น หอบเอาชุดที่ใส่ลงมาจากห้องจะเอาไปเปลี่ยน โพนีก็จับมือเธอไว้ เอียงคอซ้ายขวามองชุดแล้วก็บอกขึ้นว่า “ใส่ชุดนี้ปาร์ตี้เลยก็ดีนะ เผื่อได้ภาพสวย ๆ เพิ่มเข้ามาในคอลเล็กชั่นอีกไง รัลว่าไง”
“รัลยังไงก็ได้ทั้งนั้นเลยพี่โพ”
ดรัลรัตน์จึงวางชุดลงแล้วรับแก้วน้ำจากทีมงาน โพนีรับมาดื่มบ้าง ก่อนถามหาขวัญใจตนเอง “เจ้าสิปล่ะ”
“เมื่อกี้โทรถามน้าวัลย์ แกว่าเล่นน้ำเหนื่อย พากันหลับไปแล้ว”
“ได้กินข้าวกันหรือยังก็ไม่รู้ป่านนี้”
“สั่งอาหารของโรงแรมให้แล้วล่ะพี่โพ”
“ถ้าเสร็จงานไวกว่านี้ก็จะได้พาแม่ พาน้า พาหลาน ๆ ลงมานั่งกินด้วยกัน”
“อย่าเลยพี่โพ เกรงใจคนอื่น”
“มา ๆ ทุกคน ฉลองให้กับงานของเราหน่อย” โพนีบอกแล้วชูแก้วขึ้นชวนคนในทีมร่วมสังสรรค์ด้วยกันจากนั้น นั่งดื่มได้พักใหญ่ โพนีก็ยิ้ม รีบวางแก้ว แล้วขยับตัวลุกยืน มองไปที่ด้านหลังของเธอ บอกอย่างนอบน้อมว่า “เป็นบุญของโพจริง ๆ เลย ที่ได้เจอคุณใหญ่ที่นี่”
ดรัลรัตน์เอี้ยวไปมองตามแค่หางตา แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจอะไรกับคนที่โพนีกล่าวทักทายอย่างนอบน้อมนั่น นั่งดื่มต่อด้วยอาการเซ็ง ๆ เพราะอยากกลับห้องไปพักผ่อนแล้ว
ณฐกรไม่ได้มาคนเดียว ข้างเขามีสิริรัศมิ์ขนาบอยู่ด้วย เจ้าหล่อนเพิ่งกลับจากไปชิมอาหารทะเลกับรุจิภาส ก็ตรงไปลากเขาออกมาจากวิลลา ชวนไปนั่งดื่มกันต่อที่ร้านภายในโรงแรมนี้ แต่แล้วกลับแวะที่สระว่ายน้ำเสียก่อน
สิริรัศมิ์มองมาที่เธอ แต่ปากถามโพนีไปว่า “นี่เสร็จงานแล้วหรือพี่โพ”
โพนีตอบอย่างนอบน้อมอีกครั้งว่า “เรียบร้อยแล้วครับบอส”
บอสที่โพนีเรียกเป็นสิริรัศมิ์ไปได้อย่างไรกัน
ดรัลรัตน์ได้ยินอย่างนั้น ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้จะต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่ ๆ แล้วขยับตัวนั่งใหม่ ตั้งใจว่าคนพวกนั้นจากไปแล้ว เธอก็จะขอกลับห้องบ้าง
“นี่หรือพี่โพ นางแบบพี่เลือกมาน่ะ”
“ใช่ครับ”
“ตัวจริงหน้าแก่กว่าในรูปเยอะเลยเนอะ ดูกร้านเชียว”
คำวิจารณ์แบบไม่เกรงใจใคร ทำบรรยากาศอึดอัดไม่น้อย
โพนีมีสีหน้าไม่สู้ดี บอกเสียงค่อยกับนายจ้างไปว่า “ตัวจริงหน้าสดสวยใสมากนะครับบอส แต่ช่างแต่งหน้าของพี่คงแต่งจัดไปหน่อย ลองดูภาพก่อนไหมครับ รับรองว่าภาพที่ได้ สวยทุกรูปเลยนะครับ”
สิริรัศมิ์ไม่ได้สนใจโพนี
วันที่คัดเลือกนางแบบ ตอนนั้นที่เห็นหน้าดรัลรัตน์ ความคิดหนึ่งก็แวบเข้าหัวในทันที ตนอยากกดอีกฝ่ายให้ต่ำที่สุด จึงตัดสินใจเลือกมา ก่อนจะเดินเข้าไปยืนข้างเก้าอี้ของอีกฝ่าย
ดรัลรัตน์รู้สึกได้ว่ามีคนเดินมาหยุดข้างเก้าอี้ที่นั่งอยู่ ก็ค่อยขยับตัวออกห่าง รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี แล้วก็จริงดังคาด เมื่อสิริรัศมิ์เปิดกระเป๋าถือออก พร้อมกับเทของในนั้นลงที่พื้นตรงหน้าเธอ
“เอ้า นี่เงินของเธอ เก็บเอาซะสิ”
โพนียกมือปิดปากร้องไม่ออก ไม่คิดว่าหญิงสาวจากตระกูลผู้ลากมากดีจะแสดงกิริยาเช่นนี้
ดรัลรัตน์ไม่ได้มองตามเงินพวกนั้น เอี้ยวหน้าไปบอกคนที่เทเงินลงพื้นว่า “ฉันก็ว่าจะทำทานให้เหมือนกัน ไม่เอาหรอกเงิน เก็บเงินของเธอไปซะสิ”
โพนียกมือปิดปากตัวเองแน่นกว่าเดิม ส่ายหน้าว่าไม่ได้เด็ดขาด หากว่าเธอจะไม่เอาเงินพวกนั้น
สิริรัศมิ์ยิ้ม ก่อนพูดหยันเธอว่า “อย่าทำหยิ่งไปเลย คิดว่าพอพี่โปรดได้ตำแหน่งใหม่แล้ว เขาจะกลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าแบบเธออีกอย่างนั้นหรือ”
ดรัลรัตน์ขยับตำแหน่งเก้าอี้นั่งใหม่ เพื่อที่จะได้มองคนพูดด้วยสายตาแบบเดียวกันกับที่ทางนั้นใช้มองเธอ ตอบกลับไปว่า “เธอนี่ก็เป็นคนตลกดีเหมือนกันนะ”
สิริรัศมิ์ย้อนถามอย่างคนที่ตามไม่ทัน “ตลกอะไร”
“ก็ตลกน่ะสิ นี่ยังไม่ได้เป็นเมียเขาเลย ก็เที่ยวตามจิกผู้หญิงของเขาถึงขนาดนี้แล้ว”
เธอเงียบไปเดี๋ยวเดียวก็ยิ้มเย็น ๆ ส่งให้ กล่าวปรามาสกลับไปว่า “แล้วอย่าคิดว่าตัวเองจะเอาคนแบบนั้นอยู่มือ เธอประมาทคนเขามากเกินไป”
ณฐกรมองนิ่ง นึกทึ่งที่เธอเก็บอารมณ์ได้ค่อนข้างเก่งทีเดียว ไม่ถูกยั่วยุได้ง่าย ๆ กลับกันเสียอีก สิริรัศมิ์ที่จงใจมายั่วโมโหแต่กลับยืนไม่อยู่สุขแล้วตอนนี้
โพนีได้ยินอย่างนั้น ก็ค่อยปะติดปะต่อเรื่องราวได้ในทันที ที่แท้ก็คนใกล้ตัวทั้งนั้นเลย ‘โปรด’ ว่าที่สามีของนายจ้าง เป็นแฟนเก่าของดรัลรัตน์ โอ๊ย ทำไมโลกมันกลมแบบนี้ก็ไม่รู้
สิริรัศมิ์เริ่มควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ตวาดกลับว่า “ฉันจะบอกอะไรให้เธอได้รู้เอาไว้ เผื่อจะได้ฉลาดขึ้นอีก ว่าที่พี่โปรดเขากลับไปหาเธอ ไม่ใช่ว่าเขาอยากได้ลูกชายอะไรนั่นหรอกนะ แล้วก็ไม่ใช่เพราะเขายังลืมเธอไม่ลง แต่เขาถือเคล็ดว่าถ้าเขาเอาเด็กนั่นไปเลี้ยงดูเอง จะได้ขึ้นตำแหน่งในบริษัทต่างหาก แต่พอเรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด เขาเลยแกล้งทำดีกับเธอไง เผื่อว่าเธอจะได้คุยง่ายขึ้น ยกเด็กนั่นให้เขาโดยไม่ต้องจ่ายสักบาทเดียว”
ได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่ายก็ส่ายหน้าเบา ๆ ไม่คิดว่าจะมีคนมีความเชื่อแบบนี้อยู่อีก อดว่ากลับไปไม่ได้ “ผู้ชายมีความคิดแบบนี้ เธอยังจะลดตัวเอามาทำผัวอีกหรือ น่าสมเพชจริง ๆ เลย เดี๋ยวนะ เธอชื่ออะไร ฉันจะได้จำไว้ ว่ามีคนโง่ ๆ ตรงนี้อีกคน”
สิริรัศมิ์ยืนกำมือแน่น พอตั้งสติได้ ก็ยิ้มหยันพูดสาวถึงเรื่องที่ได้รับรู้จากมารดาของรุจิภาสใส่กลับมาว่า “ได้ข่าวว่าตอนเธอท้อง เขาให้ไปเอาเด็กออกไม่ใช่หรือ แต่คนหน้าเงินแบบเธอ คงคิดว่าเก็บเด็กเอาไว้น่าจะรีดไถเงินได้มากกว่าไปเอาออก โถ ๆ เก่งแบบไหนกัน ถึงต้องไปตามขูดรีดเอาเงินจากผู้ชายน่ะ”
ดรัลรัตน์มองคนที่พูดใส่หน้าเธอปาว ๆ ด้วยความสงสัย สิริรัศมิ์รู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไรกัน
สิริรัศมิ์เองก็คล้ายกับจะอ่านแววตาอ่านความคิดของเธอออก ยิ้มเยาะ พูดเย้ยไปว่า “ถ้าพี่โปรดไม่บอก ฉันจะรู้เรื่องแบบนี้ได้ยังไง และที่เธอยังไม่ยอมปล่อยมือจากพี่โปรด ถ้าให้ฉันเดา เพราะเธออยากยื้อเขาเอาไว้ ยิ่งพี่โปรดมีหน้าที่การงานดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เธอก็ยิ่งปล่อยเขาไปไม่ได้เด็ดขาด แล้วที่ทำเป็นเล่นตัวอยู่เนี่ย เพราะอยากอัปราคาใช่ไหม แต่ฉันมีอะไรจะแนะนำให้นะ ว่าฉันกับพี่โปรดยังไงก็จะต้องแต่งงานกัน ถ้าเธอไม่ถอย ก็เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแบบสามคนผัวเมียได้เลย ฉันไม่ถือสาหรอก”
ดรัลรัตน์ยิ้มแล้วโต้กลับด้วยเสียงราบเรียบไม่ส่ออารมณ์โมโหแต่อย่างใด “สัตว์บางตัว มันยังครองตัวอยู่กันเป็นคู่ได้เลย แต่เธอกลับอยากจะให้อยู่กันแบบสามคนผัวเมีย เธอนี่หน้าด้านกว่าที่ฉันคิดอีกนะ”
สิริรัศมิ์ทนไม่ได้อีกแล้ว เดินเข้าไปถุยน้ำลายใส่เธอทันที
และแล้วอารมณ์ของดรัลรัตน์ก็เดือดพล่านขึ้น เธอกำมือแน่นจะเข้าไปสวนอีกฝ่ายด้วยหมัด แต่กลับถูกคว้าข้อมือเอาไว้ก่อน
“คุณจะทำอะไร”
เสียงถามเชิงห้ามปรามดังมาจากณฐกร เขาดึงข้อมือของเธอกดลง ไม่ให้เข้าไปทำร้ายสิริรัศมิ์ ดรัลรัตน์ลากสายตาลงไปที่มือของตัวเองที่ถูกอีกฝ่ายจับแน่นไม่ปล่อย แถมยังบีบข้อมือของเธออีกด้วย เค้นเสียงสั่งเขาว่า “ปล่อยมือฉัน”
เขาไม่ปล่อย ทั้งยังกล่าวหาเธอ “คุณจะทำร้ายน้องผม”
เลยเลิกสนใจสิริรัศมิ์ หันมาปล่อยหมัดใส่ทางนี้แทน แต่เขาหลบทัน แล้วหมุนร่างเธอดันให้หันหน้าออกกอดเธอจากทางด้านหลัง จากที่เกลียดเพียงครึ่ง ตอนนี้ดรัลรัตน์เกลียดคนพวกนี้ถึงขีดสุดและโกรธจัดอีกด้วย ดิ้น หยิก ทุบตีเขา พร้อมกับร้องสั่งว่า “ปล่อยเดี๋ยวนี้”
แต่ณฐกรไม่ยอมปล่อยเธอง่าย ๆ เลยกลายเป็นว่าตอนนี้เธอเสียเปรียบคนพวกนั้นไปเต็ม ๆ “หมาหมู่นี่หว่าแบบนี้”
“เกิดอะไรขึ้น”
รุจิภาสยังไม่ทันวางสายเลยด้วยซ้ำ เขาได้ยินเสียงโวยวายเสียก่อน จึงเดินเข้ามาดู แล้วพอเห็นจากระยะไกล ๆ คล้ายเป็นคนคุ้นเคยก็วิ่งเข้ามาหาทันที จึงทันได้เห็นณฐกรดึงดัน กอดหญิงสาวที่เขายังคงรักไม่คลายไว้แนบกับอกแน่น
เธอดิ้นไม่หยุดเหมือนกัน แต่พอสายตามองเห็นหน้าของรุจิภาส ที่ยื้อยุด ที่ดิ้นให้ณฐกรปล่อย ก็หยุดดิ้นในทันที
ใบหน้าเอาเรื่องของเธอแปรเปลี่ยนเป็นยิ้มอ่อนหวาน จงใจให้ยั่วยวนที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือที่ยกหยิกไปตามเนื้อตัว ตามแขนของณฐกรก็หยุดกึก เปลี่ยนเป็นลูบไล้ กอดแขนของเขาแทน แล้วแหงนหน้าถาม “เมื่อกี้คุณว่ายังไงนะ ฉันรับเป็นเพื่อนนอนหรือเปล่า ใช่ไหม”
ณฐกรมองเธอนิ่ง มุมปากของเขากดลงเล็กน้อย หัวเราะในลำคอเบา ๆ ถามกลับแทนที่จะตอบคำถามของเธอ “ถ้าใช่”
“ไปเลยสิคะ จะรออะไร”
เขามองจ้องลึกเข้ามาในตาของเธอเป็นอึดใจ ดรัลรัตน์เห็นเงาสะท้อนของตัวเธอเองถูกกักอยู่ในแววตาสีดำเข้มของเขา ก็ให้รู้สึกถึงลมหายใจเข้าที่สะดุดขาดห้วงหายไปจังหวะหนึ่ง ก่อนจะถูกเขาช้อนเธอขึ้นอุ้มในวินาทีต่อมา พร้อมกับเดินออกจากบริเวณนั้นไป
“รัล!”
รุจิภาสเรียกเธอเสียงดังลั่นจะเข้าไปขวางณฐกร แต่สิริรัศมิ์ที่ตั้งสติได้แล้วรีบเข้ามาดึงแขนเอาไว้แน่น ไม่ยอมให้รุจิภาสตามไป “จะไปขัดพี่ใหญ่ทำไมกันคะ ไม่รู้หรือไงว่ามันบาปหนักนะถ้าจะห้ามไม่ให้คนสองคนเสพกามกันน่ะค่ะ”
ทุกคนตรงนั้นได้ยินได้เห็นเหตุการณ์กันหมด แต่ไม่มีใครส่งเสียงอะไรออกมาแต่คนเดียว โพนีได้แต่มองแล้วก็ถอนใจตามหลังไป ก่อนจะหันไปส่งสายตาให้ทีมงานของตัวเองแยกย้ายกันเก็บของแล้วกลับห้องกันไปเสีย
ส่วนตนเองก็จำต้องหลบไปมองอยู่ไกล ๆ ว่าดรัลรัตน์จะเอาตัวเองออกมาจากณฐกรได้อย่างไร รุจิภาสถูกสิริรัศมิ์ลากไปยังอีกทางนั่นแล้ว
นางลาวัลย์ที่เดินลงมาจากห้อง เพื่อมาตามดรัลรัตน์ก็จำต้องยืนงงที่ตรงนั้นว่าตนจะทำอย่างไรดี ทีแรกว่าจะเข้าไปจัดการยัยผู้หญิงคนนั้นเสียหน่อย ที่เข้ามาทำร้ายดรัลรัตน์ แต่ก็เข้าไปไม่ถูกช่วง แล้วนึกขึ้นได้ว่าเจ้าสิปอาการไม่ดี เลยจำต้องกลับขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง