EPISODE1 นาบี 1/1
เกี่ยวกับลิขสิทธิ์
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.๒๕๓๗และฉบับเพิ่มเติม ห้ามมิให้ทำซ้ำ คัดลอก ลอกเลียน ดัดแปลง แก้ไข ตีพิมพ์ หาไอเดีย สแกนเนื้อหาส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของนิยายเรื่องนี้ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนักเขียนนามปากกา ‘ตัวตึงดึงปฐพี’ หรือ ‘เจ้าของลิขสิทธิ์’ เป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนและถูกต้อง หากมีการฝ่าฝืนไม่ว่าในกรณใดข้างต้น ทางนักเขียนผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นิยายจะขอดำเนินคดีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด
นามปากกา ตัวตึงดึงปฐพี
เจ้าของลิขสิทธิ์
เล่น.ล้ำ.เกียร์
[Cross The Gear]
EPISODE1 นาบี
[บันทึกพิเศษ: ยุนนาบี]
ณ สดสวยห้องเช่า เวลา 13.45 น.
“หน็อย! แกว่าอะไรนะ ไม่มีงั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าเงินเพิ่งออกรึไง นี่ฉันเป็นแม่แกนะยุนนาบี ขอสักพันสองพันไว้ใช้จ่ายมันจะตายรึไง คิดซะบ้างว่ากว่าแกจะโผล่หัวออกมาดูโลกได้ ฉันต้องอุ้มท้องแกตั้งเก้าเดือน แกนี่มันใจแคบเหมือนไอ้พ่อเกาหลีของแกไม่มีผิด”
เพียงก้าวขาออกจากห้อง ฉันก็เจอกับบทสวดส่งวิญญาณทันที แน่นอนว่าน้ำเสียงอันเกรี้ยวกราดและทรงพลังนั้น ทำให้ผู้เช่าในชั้นเดียวกันต้องโผล่หน้าออกมาร่วมรับรู้เรื่องราวกับฉันด้วย
“หนูจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ แล้วก็ค่าของที่ร้านชำไปหมดแล้ว แม่อย่าลืมสิว่าเราต้องจ่ายค่ายาให้ยายด้วย ไหนจะดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบรายวันนั่นอีก หนูจะเอาจากไหนมาให้แม่ ตอนนี้ในกระเป๋าหนูเหลือเงินไม่ถึงสามร้อยด้วยซ้ำ” ฉันอธิบาย ไม่ใช่ว่าเงินเดือนออกมาแล้วจะหายใจหายคอได้คล่องหรอกนะ ฉันยังต้องดิ้นรนต่อ เพราะรายจ่ายมันไม่เคยหยุดรอคนที่ต้องปากกัดตีนถีบอย่างฉันเลยนี่นา
“แกก็ดีแต่ชักแม่น้ำมาอ้าง ฉันบอกแกแล้วว่าให้แต่งงานกับเสี่ยเอกไป แกก็มัวแต่หวงตัว เลือกมากอย่างกับตัวเองเป็นราชินีอย่างนั้นแหละ ที่เราไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อ ที่แกต้องออกไปทำงานรายวันงก ๆ ทั้งที่จบปริญญามันเป็นเพราะแกเลือกเองทั้งนั้น แกไปคิดให้ดี ๆ เสี่ยเอกเขาเนรมิตชีวิตแกกับฉันให้ดีขึ้นได้ รวมถึงค่ายาของยายแกด้วย” พอฉันพูดถึงเรื่องไม่มีเงิน สุดท้ายแม่ก็เอาเรื่องการแต่งงานมาอ้างเหมือนเดิม
“เสี่ยเอกแต่งงานตั้งสามครั้งแล้วแม่ก็รู้ เสี่ยเป็นคนยังไงใคร ๆ ก็รู้ หนูหวังว่าวันนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะพูดเรื่องนี้กับหนู” ฉันตัดบทท่าน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากคุยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งนั้น เสี่ยเอกคนนั้นไม่ใช่คนที่จะใช้ชีวิตคู่ร่วมกับใครได้หรอก
“นาบี! นาบี! ยุนนาบี! นังลูกคนนี้ แกจะมาเถียงฉอด ๆ แล้วสะบัดตูดหนีไปแบบนี้รึไง” เสียงของแม่ที่ตะโกนไล่หลังมา ไม่ได้ทำให้ฉันหยุดฝีเท้าแม้แต่น้อย เพราะบ่ายสองฉันต้องไปเข้ากะที่ร้านสะดวกซื้อ
“อ้าวนาบี! จะไปเข้ากะแล้วเหรอ” ตอนที่เดินพ้นซอยออกมาเสียงของลุงแดงประจำวินมอเตอร์ไซค์ก็ดังขึ้น ทำให้ฉันหันไปยิ้มบาง ๆ
“ใช่ค่ะ แล้วทำไมวันนี้มีลุงอยู่คนเดียวล่ะคะ” ฉันย้อนถาม เพราะปกติที่วินนี้จะมีสมาชิกทั้งหมดสามคน คือลุงแดง พี่เทิด แล้วก็โด่งที่เป็นหลานชายของลุงแดง แต่วันนี้ฉันกลับไม่เห็นใครเลย
“ไอ้โด่งมันไปสมัครเรียน ปีนี้มันจะขึ้นปีหนึ่งแล้ว” ลุงแดงว่า
“อ๋อ! ที่บอกว่าจะเข้ามหา’ลัยNน่ะเหรอคะ” ฉันย้อนถาม
“นั้นแหละ ๆ คนจนอย่างเรามันจะไปเรียนตรงไหนได้ล่ะนาบีเอ๊ย ในสี่เขตพวกมหา’ลัยใหญ่ ๆ ขี่วินหาค่าเทอมทั้งปียังไม่พอจ่ายเลย”
“ก็จริงของลุง หนูจบมาได้เพราะสอบชิงทุนเอาทั้งนั้น แต่ก็สู้คนที่มีฐานะดี ครอบครัวมีชื่อเสียงไม่ได้ เลยต้องหางานต่อไป”
ฉันได้แต่เอ่ยตัดพ้อในโชคชะตาของตัวเอง คนเรียนเก่งไม่ได้แปลว่าจะมีงานทำเสมอไป นอกจากวุฒิการศึกษาแล้ว ชื่อเสียงของนามสกุล ชื่อของสถาบันก็กลายเป็นตัวเลือกในใบสมัครงานของบริษัทใหญ่ ๆ ทั้งนั้น ซึ่งฉันไม่มีคุณสมบัติเหล่านั้นเลย
“อย่าไปท้อ ความขยันมันไม่ทรยศเราหรอก ถ้าจนก็ขอให้จนอย่างมีความสุข ไปทำงานเถอะเดี๋ยวจะสาย” ลุงแดงยังคงให้กำลังใจฉันเช่นเคย ลุงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีสุด ๆ เลยแฮะ อย่างน้อยลุงก็รู้ว่าคำพูดไหนเป็นพลังบวกให้กับคนฟัง ซึ่งฉันหามันจากที่บ้านไม่ได้เลย
“งั้นหนูไปนะคะ ลุงก็สู้ ๆ นะ ต้องอยู่ดูเจ้าโด่งรับปริญญาเลยนะ หนูเองก็จะสู้เหมือนกันค่ะ” ฉันโบกมือลาลุงแดง ก่อนจะก้าวเท้าอย่างมั่นคงตรงไปยังปลายทางข้างหน้า
“วันนี้ก็ขอให้เธอโชคดีเหมือนเดิมนะยุนนาบี สู้เขา!” ฉันเอ่ยอย่างปลุกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง แน่นอนเราควรรักษาใจตัวเองให้เป็นก่อนจะไปรักษาเยี่ยวยาจิตใจของคนอื่น...เป็นนาบีที่เข้มแข็ง!