บทที่ 1 สัญญาณเตือน - 4

1435 คำ
คืนนั้นปานฤทัยฝันถึงชายหนุ่มคนหนึ่ง เธอเห็นหน้าเขาไม่ชัด เพราะเขายืนอยู่ในกลุ่มหมอกสีขาว รู้แต่ว่าเขารูปร่างสูงใหญ่ สวมเสื้อผ้าแบบโบราณด้วยเสื้อแขนกระบอกสีน้ำตาลผ่ากระดุมหน้า คลุมทับด้วยเสื้อกั๊กสีแดงหม่นที่มีอักขระและสัญลักษณ์อะไรหลายอย่างเขียนอยู่บนเสื้อ ซึ่งเธอเคยเห็นแต่ในละครหรือภาพยนตร์อยู่บ่อย ๆ ส่วนกางเกงของเขานั้นถูกม้วนขาขึ้นไปจนเกือบถึงโคนขา และที่สำคัญคือผิวหนังในส่วนท่อนขาของผู้ชายคนนี้ตั้งแต่ครึ่งน่องขึ้นไปมีแต่รอยสักจนลายพร้อยเต็มไปหมด แต่น่าแปลกว่าเธอไม่รู้สึกกลัวเขาแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เธอกลับรู้สึกรอคอยที่จะได้เจอเขา ในฝัน ปานฤทัยได้ยินเสียงทุ้มดังแว่วมาจากที่ไกล ๆ ทั้งที่เขายืนห่างออกไปแค่ไม่กี่ก้าว แต่กระนั้นหญิงสาวก็ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้อยู่ดี และเขาเองก็ไม่ยอมเดินเข้ามาหาเธอ ได้ยินเพียงเสียงแผ่วเบาราวกระซิบสะท้อนไปสะท้อนมาอยู่เพียงสองคำ กลับมา...กลับมา... เช้าวันรุ่งขึ้น ปานฤทัยตื่นแต่เช้าจนผู้เป็นมารดาอดแปลกใจไม่ได้ "ทำไมตื่นเช้าจัง ยังไม่เจ็ดโมงเลย" "มันตื่นเองนี่แม่" หญิงสาวพูดพลางเดินเข้าไปกอดมารดาจากด้านหลัง "มาอ้อนอะไรกันเนี่ยฮึ ทำตัวเป็นเด็กไปได้นะเรา" แม้ปากจะบ่น แต่น้ำเสียงและสีหน้ากลับเอื้อเอ็นดูไม่น้อย "ถ้าเป็นไปได้มายก็ไม่อยากโตเลยแม่ มายอยากกลับไปเป็นเด็กมากกว่า" "เฮ้อ...เรานี่น้า โตแต่ตัวจริง ๆ เลย ช่างอ้อนตั้งแต่เล็กยันโต อีกหน่อยพอเป็นสาวนักศึกษาแล้วมีแฟน ก็คงจะอ้อนแฟนแทนอ้อนแม่ละมั้งเนี่ย" "แหม...ถ้ามายมีแฟน มายก็ยังจะอ้อนแม่อย่างนี้นี่แหละ" ปานฤทัยยิ้มพลางใช้ศีรษะถูหัวไหล่ของมารดาอย่างออดอ้อน "แล้วตกลงที่มากอดแม่เนี่ยมาอ้อนอะไร จะเอาอะไรฮึ" "ไม่ได้จะขออะไรสักหน่อย มายก็แค่อยากกอดแม่เท่านั้นเอง" จู่ ๆ รอยยิ้มของปานฤทัยก็เจื่อนลง หญิงสาวไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าวันนี้ตนเป็นอะไร เธอรู้แค่ว่าไม่อยากปล่อยมือจากคนในอ้อมกอด รู้สึกราวกับว่ากอดนี้จะเป็นการกอดครั้งสุดท้ายแล้วอย่างไรอย่างนั้น ความอาลัยอาวรณ์ผุดพุ่งขึ้นมาโอบล้อมและบีบรัดหัวใจของปานฤทัยจนปวดหนึบ กระบอกตาร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุจนหญิงสาวต้องกะพริบตาหลายครั้งเพื่อไม่ให้น้ำตาไหลลงมา เธอไม่เข้าใจว่าตนเองเป็นอะไร ทำไมถึงเกิดความรู้สึกเศร้าโศกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย "ปล่อยแม่ได้แล้ว น้ำแกงเดือดแล้วนั่น" ดวงใจตีแขนบุตรสาวคนเล็กเบา ๆ ปานฤทัยจึงปล่อยมือแล้วเดินไปหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่มกลั้วคอ นั่งรอมื้อเช้าที่มารดาทำพลางเล่นโทรศัพท์ไปด้วย โดยไม่คิดจะขึ้นไปปลุกปานชีวาเพราะยังเช้าเกินไป หลังจากที่มารดาเดินทางไปทำงานที่โรงพยาบาลแล้ว สองพี่น้อง ปานชีวากับปานฤทัยจึงพากันขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนท้ายกันไปไหว้พระทำบุญที่พระธาตุดอยสุเทพ วันนี้ปานฤทัยสวมสร้อยที่มีตะกรุดเส้นนั้นมาด้วย ตอนแรกเธอคิดว่ามันน่าจะใส่ยากเพราะดูเส้นรอบวงไม่กว้างมากพอสำหรับศีรษะของตน แต่กลับกลายเป็นว่าพอสวมมาถึงหน้าผาก ทุกอย่างก็ราบรื่นราวกับสายของมันยืดได้อย่างไรอย่างนั้น "อากาศดี๊ดี" ปานฤทัยกางแขนออกทั้งสองข้างพลางแหงนหน้าแล้วสูดเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอย่างเต็มที่ "นี่พี่มิ้ว มายถามหน่อยเหอะ ถ้าเรียนจบแล้วพี่จะไปทำงานที่กรุงเทพฯ จริง ๆ หรือ" "คิดว่างั้นนะ ไปกรุงเทพฯ คงหางานได้ง่ายกว่าที่นี่ แกก็รู้นี่หว่าไอ้มาย ว่าเชียงใหม่บ้านเราน่ะหางานยากจะตายไป พี่เรียนวิทย์คอมนะเว้ยแก" "พี่ไม่ห่วงแม่หรือ ไปอยู่กรุงเทพฯ จะได้กลับบ้านปีละกี่ครั้งกัน" ปานฤทัยพูดออกไปก็ไม่เข้าใจตัวเองอีกแล้ว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยขัดคอหรือไม่เห็นด้วยกับความคิดของปานชีวามาก่อน เธอรู้มาตั้งนานแล้วว่าพี่สาวอยากลองไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ เธอยังบอกปานชีวาเองด้วยซ้ำว่าตนจะเป็นฝ่ายดูแลแม่เอง เพราะถ้าตนเรียนจบก็จะหางานทำอยู่ที่เชียงใหม่ คงไม่ไปที่อื่นแน่ "ห่วงสิ แต่แกบอกว่าจะดูแลแม่เองนี่นา พี่เลยไม่ห่วงไงละ" คำตอบของพี่สาวทำให้ปานฤทัยไม่ซักถามหรือโน้มน้าวอะไรต่อ ทั้งสองคนนั่งกันไปเงียบ ๆ ตลอดทางจนกระทั่งถึงวัด สองสาวจอดรถไว้ตรงบริเวณที่เขาให้จอด จากนั้นพากันเดินขึ้นไปด้านบนซึ่งเป็นบันไดพญานาคทอดยาวขึ้นไปร้อยกว่าขั้น ทำเอาสองพี่น้องต่างพากันนั่งหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย เป็นพัก ๆ กว่าจะถึงขั้นบนสุด ปานฤทัยกับปานชีวาใช้เวลาอยู่ข้างบนร่วมหนึ่งชั่วโมงก็พากันเดินลง ขากลับนั้นปานฤทัยเป็นคนขี่รถจักรยานยนต์ตามที่ตกลงกันไว้ เมื่อมาถึงจุดไหว้ครูบาศรีวิชัย ปานฤทัยจึงจอดรถเพื่อไหว้ขอพรตามที่มารดาได้กำชับไว้เมื่อเช้า "ดีจัง คนไม่ค่อยเยอะ" ปานชีวาพูดพลางเดินเข้าไปซื้อพวงมาลัยกับแม่ค้า "อุ๊ย! กระเป๋าสตางค์หายไปไหนไม่รู้ล่ะพี่มิ้ว" ปานฤทัยหน้าตื่นเมื่อเปิดกระเป๋าสะพายแล้วไม่เจอกระเป๋าสตางค์ของตนอยู่ในนั้น "อ้าว ไม่ใช่หล่นหายอยู่ข้างบนล่ะแก กระเป๋าโดนกรีดรึเปล่าดูดี ๆ ซิ" ปานชีวาจับกระเป๋าสะพายของน้องสาวพลิกดูทั้งด้านหน้าและด้านหลังเพื่อดูว่าถูกมิจฉาชีพกรีดกระเป๋าแล้วขโมยกระเป๋าสตางค์ไปหรือไม่ เนื่องจากพักหลังนี้มีคนโดนกรีดกระเป๋ากันเยอะมาก "ไม่โดน แล้วมันหายไปได้ยังไงเนี่ย มายมั่นใจว่าแทบไม่ได้เอาออกมาจากกระเป๋าเลยนะ เอาออกมาถือไว้แค่ตอนที่ซื้อของข้างบนแล้วก็เอามาหยอดตู้บริจาคแค่นั้นเอง โอ๊ย ทำไมซวยอย่างนี้วะ" ปานฤทัยได้แต่บ่นอย่างหัวเสีย ในนั้นมีเงินอยู่ประมาณพันกว่าบาท และเป็นเงินส่วนแบ่งที่ได้มาจากการแข่งแบดมินตันเมื่อวานนี้ แม้คนอื่นอาจจะมองว่าเงินแค่เล็กน้อย แต่สำหรับเธอแล้วถือว่าเป็นเงินจำนวนมาก ใช้ซื้อของกินได้ตั้งหลายมื้อ อีกทั้งเธอยังตั้งใจจะใช้เงินก้อนนี้ซื้อชุดนักศึกษาอีกด้วย "เฮ้ย! นั่นกระเป๋าแกรึเปล่าวะยายมาย กลางถนนนั่นน่ะ" ปานชีวาชี้ไปตรงกลางถนน ครั้นพอปานฤทัยมองตามก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ "จริงด้วย! ไปหล่นอยู่ตรงนั้นได้ยังไงเนี่ย พี่รอตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวมา" ปานฤทัยพูดจบก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยืนอยู่ริมถนน มองซ้ายมองขวาเพื่อความปลอดภัยว่าไม่มีรถวิ่งผ่านแน่นอนจึงรีบวิ่งไปหยิบกระเป๋าสตางค์ที่หล่นอยู่กลางถนนของเลนฝั่งตรงข้ามทันที ขณะที่หญิงสาวหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมานั้น จู่ ๆ เธอก็ได้ยินเสียงบีบแตรดังลั่นจากทางด้านซ้าย ปานฤทัยใจหายวาบเมื่อหันไปมองแล้วเห็นว่ามีรถกระบะคันหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ทั้งที่เมื่อครู่เธอมั่นใจว่าไม่มีรถทั้งสองฝั่งแล้วแท้ ๆ ด้วยความตกใจจนลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง ปานฤทัยจึงเผลอใช้พลังจิตของตนจนด้านหน้าของรถกระบะคันนั้นแหงนขึ้นแล้วหงายหลังล้อชี้ฟ้าท่ามกลางเสียงหวีดร้องของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่ตัวผู้กระทำนั้นได้แต่หลับตาแน่น จมูกเริ่มได้กลิ่นสดชื่นของป่าเข้ามาแทนที่กลิ่นธูปเทียน จึงทำให้หญิงสาวต้องรีบ ลืมตาโพลง ซวยละ นี่ฉันวาร์ปมาอีกแล้วหรือเนี่ย!
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม