บทที่ 2 ดินแดนแปลกประหลาด - 1

1330 คำ
ปานฤทัยมองซ้ายมองขวา เห็นเป็นป่าโปร่งเหมือนที่เคยมาเช่น ทุกครั้ง ครั้นพอหันไปด้านหลังหญิงสาวก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจเพราะเบื้องหลังของเธอคือบ้านร้างหลังนั้น แต่ดูเหมือนว่าบริเวณที่ตนยืนอยู่จะเป็นด้านหลังของตัวเรือนมากกว่า เพราะไม่มีบันไดทางขึ้น แต่เวลานี้เธอไม่มีเวลาจะมาพินิจพิจารณาบ้านร้างตรงหน้า เพราะเธอต้องรีบกลับไปตรงจุดไหว้ครูบาศรีวิชัยเสียก่อน เนื่องจากอุบัติเหตุก่อนหน้านี้เธอรู้ดีว่าตนเป็นคนทำให้เกิดขึ้น คิดได้ดังนั้นปานฤทัยจึงหลับตาเหมือนทุกครั้งที่เคยทำ เพราะเธอเชื่อว่าจะทำให้กลับไปที่เดิมได้ แต่ไม่ว่าหญิงสาวจะหลับตาแล้วลืมตาขึ้นมาใหม่อีกกี่ครั้ง เธอก็พบว่าตนยังยืนอยู่ที่เดิม! "เอาจริงดิ ล้อเล่นน่า" ปานฤทัยรู้สึกเหมือนหัวใจร่วงไปถึงตาตุ่ม ไม่เข้าใจว่าทำไมคราวนี้ตนถึงกลับไปไม่ได้ แล้วเธอต้องทำอย่างไรถึงจะกลับบ้านของตัวเองได้เล่า เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งใจจะโทร. ไปหาปานชีวาแต่กลับไม่มีสัญญาณแม้แต่ขีดเดียว สุดท้ายจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างปลงตกแล้วเก็บมันไว้ในกระเป๋าตามเดิม ...บางทีถ้าเราเดินไปเรื่อย ๆ อาจจะเจอบ้านคนก็ได้... หญิงสาวคิดในใจพลางก้าวเท้าออกเดิน อย่างไรเสียเธอคิดว่าตอนนี้ตนน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งของประเทศไทย อาจจะเป็นหมู่บ้านของชาวเขา ชาวกะเหรี่ยง หรืออาจจะอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ถ้าเจอชาวบ้านละแวกนี้จะได้ขอความช่วยเหลือให้เขาพาไปส่งที่ท่ารถทัวร์ เพราะเธอสามารถนั่งรถกลับเชียงใหม่เองได้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว หลังจากเดินไปได้สักพักปานฤทัยเริ่มหน้ามุ่ยเพราะเหมือนว่าตนกำลังเดินวนอยู่รอบบ้านร้างหลังนี้มากกว่า ไม่ว่าจะเดินห่างเป็นแนวเส้นตรงออกไปไกลเท่าไร แต่พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ภาพเบื้องหน้าก็ต้องเป็นบ้านร้างหลังใหญ่หลังนี้ทุกที และตอนนี้ขาของเธอเริ่มล้าไปหมดแล้ว หญิงสาวจึงทรุดตัวนั่งตรงโคนต้นไม้ใหญ่ "จะเอายังไงก็พูดมาเลยดีกว่า แกล้งกันอย่างนี้ไม่ไหวนะเฟ้ย! หิวก็หิวเหนื่อยก็เหนื่อย" เธอบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ทั้งที่ในใจกลับคิดว่าหากบ้านร้างหลังนี้พูดได้จริง ตนคงวิ่งป่าราบเป็นแน่ ปานฤทัยคิดในใจว่าโชคดีที่วันนี้ตนแต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยกางเกงยีนสีดำขนาดพอดีตัวกับเสื้อยืดแขนยาวสีฟ้าอ่อน แต่รองเท้าเป็นคัตชูส้นเตี้ยสีดำ ซึ่งหญิงสาวยังรู้สึกเสียดายไม่หาย หากรู้แต่แรกว่าจะโผล่มาที่นี่เธอคงใส่ผ้าใบมาแล้ว โครก... เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากท้องของตนเบา ๆ จนหญิงสาวต้องรีบเอามือกุมไว้ตามสัญชาตญาณ นาฬิกาที่ข้อมือบอกเวลาไว้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงวันแล้วจึงพึมพำพูดกับตัวเองว่า "หิวแล้ว หิวน้ำด้วย ทำไงดีเนี่ย" ครั้นพอนึกถึงน้ำ ปานฤทัยก็จำได้ว่าในกระเป๋าของตนมีขวดน้ำที่ซื้อมาจากดอยสุเทพอยู่หนึ่งขวดจึงหยิบขึ้นมาจิบนิด ๆ เพื่อแก้กระหาย เธอไม่กล้าดื่มจนหมดขวดเพราะไม่รู้ว่าแถวนี้จะมีแหล่งน้ำให้เติมใส่ขวดบ้างหรือเปล่า ปานฤทัยนั่งพักจนหายเหนื่อยจึงลุกขึ้นเดินต่อ คราวนี้เธอเดินไปไม่นานนัก จมูกก็ได้กลิ่นของอาหารลอยมากับลม จึงยิ่งทำให้กระเพาะร้องโครกครากหนักกว่าเดิม หญิงสาวเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้น จนกระทั่งเริ่มมองเห็นหลังคาของบ้านหลังหนึ่ง รอยยิ้มพลันเจิดจ้าเต็มวงหน้าขึ้นทันที ทว่าพอเดินไปใกล้ในระยะที่เริ่มมองเห็นบ้านหลังนั้นเกือบทั้งหลัง หญิงสาวต้องชะงักเท้าแล้วอาศัยต้นไม้ใหญ่ตรงหน้าเป็นที่กำบัง เพราะสิ่งที่เธอเห็นเต็มสองตานั้นทำให้ตนไม่กล้าทะเล่อทะล่าวิ่งเข้าไปขอความช่วยเหลือ อะไรกันวะเนี่ย! ปานชีวาได้แต่ยืนเอามือปิดปากตัวเองเอาไว้เพื่อกลั้นเสียงสะอื้นขณะยืนอยู่ริมถนนอีกฝั่ง น้ำตาทะลักล้นออกมาคลอหน่วยจนไหลอาบแก้มไม่ขาดสาย ทั้งตกใจ ทั้งเสียขวัญ แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเธอมีแต่ความหวาดหวั่นอัดแน่นอยู่เต็มอกจนปวดหนึบไปหมด เมื่อครู่เธอเห็นเต็มสองตาว่าเกิดอะไรขึ้น ในเวลาที่ปานฤทัยวิ่งออกไปกลางถนนนั้น เธอตกใจแทบสิ้นสติเพราะเห็นอยู่ว่ากำลังมีรถกระบะขับมาด้วยความเร็ว เธอพยายามตะโกนบอกน้องสาวว่าอย่าเพิ่งข้ามไปแต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ได้ยิน ตอนที่เห็นปานฤทัยก้มลงเก็บกระเป๋าสตางค์ รถกระบะก็พุ่งเข้ามาใกล้เต็มที ปานชีวาตัดสินใจจะวิ่งไปหาน้องสาวแต่จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับว่าถูกแรงอะไรบางอย่างผลักออกมาจนเธอหงายหลังล้มกับพื้น และไม่ใช่แค่เธอเท่านั้นที่ล้ม รถจักรยานยนต์ที่จอดเรียงกันอยู่แถวนั้นต่างพากันล้มทับกันไปเป็นแถบ ๆ ราวกับโดมิโน พร้อมกับเสียงโครมดังสนั่นจากกลางถนน ครั้นพอมองไปจึงเห็นว่ารถกระบะคันนั้นหงายท้องเสียแล้ว ส่วนปานฤทัยหายตัวไปไหนไม่รู้ เวลานี้ทั้งรถกู้ภัย รถพยาบาล รถตำรวจ และรถของผู้ที่สัญจรไปมาต่างพากันจอดอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุจนดูวุ่นวาย รถติดเป็นทางยาวทั้งสองฝั่งจนตำรวจ และอาสากู้ภัยต้องคอยโบกรถเพื่อให้การจราจรคล่องตัว ไหนจะบรรดาไทยมุงที่ต่างพากันขับรถขึ้นมาดูเหตุการณ์หลังทราบข่าวจากเพื่อนหรือญาติที่มาไหว้ครูบาศรีวิชัย เพราะครั้งนี้ไม่ใช่แค่อุบัติเหตุธรรมดา แต่ต่างพากันพูดว่าเป็นอภินิหารของครูบาฯ บ้างก็ว่าเป็นเจ้าป่าเจ้าเขาจึงทำให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์พันลึกเช่นนั้นได้ "คุณครับ ไปทำแผลก่อนดีกว่าไหมแล้วค่อยไปโรงพยาบาล" อาสากู้ภัยคนหนึ่งเดินเข้ามาหาปานชีวาพลางมองแผลที่แขนและมือของหญิงสาว "น้องสาวฉันล่ะคะ คุณเห็นน้องสาวฉันไหม" ปานชีวาถามเสียงสั่น ราวกับสะกดกลั้นตนเองไว้เต็มที่ไม่ให้ปล่อยโฮออกมา "เห็นทางตำรวจเขาบอกว่าจะเร่งระดมกำลังค้นหาให้เร็วที่สุดครับ คุณไม่ต้องห่วงนะ" ชายหนุ่มพูดเสียงอ่อนอย่างปลอบประโลม แต่ปานชีวารู้ดีว่าค้นหาไปก็เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเจอปานฤทัยแน่ เพราะเธอที่เป็นพี่สาวยังไม่รู้เลยว่าปานฤทัยหายตัวไปอยู่ที่ไหน และเมื่อไรจะกลับมา จะว่าไปแล้วนี่เป็นครั้งที่สองที่เธอเห็นกับตาว่าปานฤทัยหายตัวไป อย่างที่เจ้าตัวเคยเล่าให้ฟังจริง ๆ ครั้งแรกที่สนามแบดมินตัน แต่การหายตัวไปครั้งนั้นใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีปานฤทัยก็กลับมาที่เดิม ด้วยความตกใจที่เห็นน้องสาวหายไปต่อหน้าต่อตา และกลัวว่าคนอื่นจะเห็นความผิดปกตินี้ จึงทำให้ตานั้นเธอแข่งแพ้ และครั้งที่สองคือวันนี้ แต่นี่ผ่านไปนานหลายนาทีจนเกือบครบหนึ่งชั่วโมงแล้วปานฤทัยก็ยังไม่กลับมา แล้วเธอจะทำอย่างไรดี เธอจะบอกมารดาได้อย่างไรว่าน้องสาวหายตัวไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม