บทที่ 1 สัญญาณเตือน - 3

1405 คำ
ทารกน้อยในห่อผ้าตัวเล็กมาก ผิวอมชมพูไปทั้งตัว พยาบาลแผนก สูตินรีเวชอย่างเธอมองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเด็กแรกเกิด ตอนแรกเธอคิดจะไปแจ้งความเพื่อตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของทารกน้อย แต่เพราะนิ้วมือเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาจากห่อผ้าแล้วคว้านิ้วของเธอไปดูดอย่างหิวโหยนั้น ทำให้ใจของเธออ่อนยวบ และรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ "น้อง หนูอยากมีน้อง" ปานชีวามองทารกในห่อผ้าด้วยความตื่นเต้น ดวงใจผู้ซึ่งสูญเสียสามีและพ่อของลูกไปเมื่อสองปีก่อนจากอุบัติเหตุ และยังคงเศร้าโศกอาวรณ์กับการจากไปอย่างกะทันหันของสามี จึงคิดว่าหากตนมีลูกอีกสักคนก็คงดี ปานชีวาจะได้มีพี่น้อง และบ้านจะได้ไม่เงียบเหงาจนเกินไป เธอเองจะได้มีเรื่องวุ่น ๆ อย่างการเลี้ยงเด็กทารกเข้ามาแทนที่ความคิดถึงที่มีต่อสามีไปได้บ้าง "งั้นเราพาน้องกลับบ้านกันเนอะ" ดวงใจหันไปบอกบุตรสาวพลางคิด ในใจว่า อาจเป็นเพราะดวงวิญญาณของสามีไม่อยากให้ตนกับลูกต้องจมอยู่ในความโศกเศร้า จึงส่งเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้มาให้ดูแล ขณะพากลับบ้าน ดวงใจต้องไปหาซื้อนมผง และข้าวของเครื่องใช้สำหรับเด็กแรกเกิดกลับไปด้วย ตอนที่ปลดผ้าออก เธอถึงเพิ่งสังเกตว่าผ้าที่ห่อตัวเด็กมานั้นเป็นผ้าฝ้ายบุนุ่นอย่างดี ซึ่งตนไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน นอกจากนั้น ในห่อผ้ายังมีสร้อยที่คล้ายกับทำมาจากหนังของอะไรบางอย่าง ตรงกึ่งกลางของสร้อยมีวัตถุดูคล้ายตะกรุดทองคำร้อยเอาไว้ เธอคิดว่าคงเป็นของดูต่างหน้าของบิดามารดาที่แท้จริงของเด็กคนนี้ จึงเก็บไว้อย่างดีในกล่องสังกะสี แล้วซุกไว้ในลิ้นชักใต้ฐานพระพุทธรูปในห้องพระ วันถัดมา ดวงใจรีบพาบุตรสาวคนใหม่ไปแจ้งเกิดโดยอ้างว่าตนคลอดเองที่บ้าน แต่ใบเกิดนั้น ในช่องบิดาเธอไม่ได้ใส่ชื่อลงไป เธอบอกเจ้าหน้าที่ไปว่าพลาดท้องกับแฟนเก่า และเลิกรากันไปตั้งแต่ตั้งครรภ์ได้เดือนเดียว และเมื่อเสร็จจากตรงนี้จึงพาทารกน้อยไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล และเข้ารับการฉีดวัคซีนต่าง ๆ เหมือนเด็กแรกเกิดทั่วไป เมื่อปานฤทัยอายุได้เพียงเจ็ดเดือน ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มหัดคลาน ดวงใจสังเกตว่าเด็กน้อยคนนี้เหมือนจะมีความพิเศษบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี นั่นคือสามารถเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ แต่ก็เป็นเพียงของที่มีน้ำหนักเบา และเคลื่อนที่ไปได้แค่นิดเดียวเท่านั้น ทว่ายิ่งโตขึ้น ความสามารถในด้านนี้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามอายุไปด้วย เธอจึงบอกบุตรสาวคนเล็กว่าห้ามให้คนอื่นรู้เรื่องนี้อย่างเด็ดขาด และห้ามใช้พลังจิตให้คนอื่นเห็น "ตะกรุดนี้จะเกี่ยวกับที่ยายมายเล่ามารึเปล่านะ" ดวงใจพึมพำกับตัวเอง ยอมรับว่าตนลืมเรื่องตะกรุดนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ หากวันนี้ปานฤทัยไม่เล่าให้ฟังว่าหายตัวไปที่นั่นที่นี่มาก็คงลืมของสิ่งนี้ไปแล้ว บางที ของสิ่งนี้อาจจะช่วยไม่ให้ปานฤทัยหายตัวไปที่ไหนได้อีก! ดวงใจหยิบสร้อยหนังร้อยตะกรุดเส้นนั้นขึ้นมาถือไว้แล้วก้มลงกราบพระพุทธรูปบนตั่ง ในใจได้แต่ภาวนาให้คุณพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกช่วยปกป้องคุ้มครองปานฤทัยด้วยเถิด คืนนั้น ขณะที่ปานฤทัยกำลังแชตกับเพื่อน เธอได้ยินเสียงมารดาเคาะประตูห้องเรียกเบา ๆ หญิงสาวจึงรีบเดินไปเปิดให้ท่าน "มีอะไรหรือแม่" ดวงใจเดินเข้ามาในห้องบุตรสาวคนเล็กแล้วนั่งบนเตียง มือตบที่นั่งข้างตัวเพื่อบอกให้อีกฝ่ายนั่งตรงนี้ ปานฤทัยจึงนั่งตามที่มารดาบอก "แม่มีของจะให้" ดวงใจชูสร้อยหนังในมือขึ้นมาในระดับสายตาให้บุตรสาวดู "อะไรน่ะแม่ อย่างกับเครื่องรางของขลังแน่ะ" ปานฤทัยพูดยิ้ม ๆ แต่ก็ยื่นมือไปคว้ามาถือไว้ แล้วก้มมองของสิ่งนั้นอย่างพินิจพิจารณา "เหมือนตะกรุดเลย ใช่ไหมแม่ นี่คือตะกรุดใช่รึเปล่า แม่เอามาให้มายทำไมน่ะ" หญิงสาวถามกลั้วหัวเราะ "สร้อยเส้นนี้น่ะเป็นสร้อยที่ติดตัวเรามาเลยนะ แม่เอาเก็บไว้ในห้องพระจนลืม" ดวงใจบอกไปตามตรง เพราะการที่ปานฤทัยไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของตนนั้น อีกฝ่ายรู้มาตั้งนานแล้วเพราะตนไม่คิดจะปิดบังแต่อย่างใด "เนี่ยนะ นี่คือของมายเองหรือ" "ใช่ วันนี้ที่มายมาเล่าให้แม่ฟังน่ะ แม่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะมายไม่ได้สวมสร้อยเส้นนี้รึเปล่า มายก็เลยได้ไปที่แปลก ๆ พอแม่นึกขึ้นได้ แม่ก็เลยรีบหยิบมาให้มายใส่ มายจะได้ไม่เจอเรื่องแบบนั้นอีก" ปานฤทัยพยักหน้าหงึกหงัก "ก็อาจเป็นไปได้ค่ะแม่ มายจะลองใส่ดู แต่มายไม่ใส่นอนนะ มันรำคาญคอน่ะ พรุ่งนี้ค่อยใส่ ตอนนี้มายเอาไว้ใต้หมอนก่อนละกัน" ดวงใจยกมือขึ้นลูบศีรษะบุตรสาวคนเล็กอย่างรักใคร่เอ็นดู แม้จะไม่ใช่สายเลือดของตนแท้ ๆ แต่ก็เลี้ยงดูฟูมฟักมาตั้งแต่ยังตัวแดง ๆ จนกระทั่งโต เป็นสาว "พรุ่งนี้ไปทำบุญก็อย่าลืมไหว้พระขอพรให้ท่านช่วยคุ้มครองด้วยละ แล้วตอนขึ้นไปก็ไม่ต้องขี่รถเครื่องขึ้นไปกันนะ จ้างสี่ล้อแดงให้เขาพาขึ้น อันตรายจะตาย มีอย่างที่ไหนขี่รถเครื่องขึ้นดอยสุเทพกัน แม่ห้ามเลยนะ" "จ้า รู้แล้วจ้า" ปานฤทัยรับปากส่ง ๆ เพราะการขี่รถจักรยานยนต์ขึ้นดอยสุเทพนั้นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกตนมาก ใคร ๆ เขาก็ขี่กันทั้งนั้น ปานฤทัยเก็บสร้อยตะกรุดไว้ใต้หมอน ตั้งใจว่าดึกกว่านี้จะเอาออกมานั่งส่องดูด้านในสักหน่อยว่ามีอะไรพิเศษบ้างหรือเปล่า ทว่าพอสร้อยพ้นจากมือไป หญิงสาวกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์มันขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก เมื่อได้อยู่คนเดียวในห้อง ปานฤทัยหยิบสร้อยจากใต้หมอนขึ้นมาส่องดูใกล้ ๆ สายสร้อยนั้นทำจากหนังแท้ไม่ผิดแน่ แต่วัตถุทรงกระบอกเล็ก ๆ ความยาวขนาดสองเซนติเมตรนั้นเรียกความสนใจของเธอได้ไม่น้อย ด้านนอกเป็นแก้วเนื้อขุ่น ซึ่งคงขุ่นมัวไปตามกาลเวลา แต่ด้านในเป็นโลหะสีทองหม่นม้วนเอาไว้แล้วมัดด้วยลวดอีกที หญิงสาวไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดไปมากกว่านี้แล้วเพราะขนาดของมันเล็กมาก "ทำไมเขาทิ้งไอ้นี่ไว้ให้เราวะ เอามาทำอะไรได้เนี่ย น่าจะทิ้งลายแทงสมบัติ หรือมีเฉลยว่าแท้ที่จริงแล้วเราเป็นลูกซูเปอร์เศรษฐีที่พลัดพรากจากอกพ่อแม่อะไรแบบนั้นจะดีกว่าไหมเนี่ย แม่กับพี่มิ้วจะได้รวยไปด้วย" ปานฤทัยสังเกตว่าสร้อยเส้นนี้ไม่มีตะขอสำหรับถอดเข้าถอดออก จึงอดแปลกใจไม่ได้ "อ้าว เป็นแบบสวมหัวหรือเนี่ย แล้วถ้าเราหัวโตจนใส่ไม่ได้ล่ะ" เธอคิดจะลองสวมจากศีรษะดู แต่พอใส่มาถึงแค่หน้าผากก็เกิดเปลี่ยนใจถอดออก "ไม่เอาดีกว่า ถ้าถอดไม่ได้ขึ้นมาแล้วจะนอนยังไง" ปานฤทัยเป็นคนไม่ชอบสวมเครื่องประดับนอนโดยเฉพาะสร้อยคอเพราะเป็นคนขี้รำคาญ แม้กระทั่งสร้อยเส้นเล็กบาง ๆ ก็ทำให้นอนไม่หลับแล้ว จึงไม่เคยใส่เลย ผิดกับปานชีวา ซึ่งรายนั้นจะสวมสร้อยทองห้อยจี้รูปหัวใจดวงเล็กติดตัวเอาไว้ตลอด เพราะเป็นสิ่งของที่หามาได้จากน้ำพักน้ำแรงของตัวเองตอนไปทำงานพิเศษช่วงปิดเทอม
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม