เมียระบาย : 1
ครืด ครืด
เสียงมือถือที่เปิดระบบสั่นไว้ดังขึ้นในกระเป๋า ฉันที่กำลังนั่งรอสัมภาษณ์เพื่อแคสติ้งงานตัวใหม่ลังเลว่าจะรับดีหรือเปล่าเพราะเป็นคิวต่อไป กลัวรับปุ๊บคนในห้องจะเรียกสัมภาษณ์พอดี
ครืด ครืด
ครั้งแรกเสียงสั่นหยุดไปแล้วแต่กลับมาสั่นอีกครั้งเป็นหนที่สอง ลองชั่งใจดูอีกครั้งก่อนจะล้วงมือลงไปในกระเป๋าสะพายแล้วหงายมือถือดูในนั้น
'แม่ โทรเข้า...'
เป็นสายจากแม่ แต่ทำไมท่านถึงได้โทรมาถี่ขนาดนี้กันนะ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดียังไงไม่รู้ แต่จังหวะที่กำลังจะกดรับสาย เสียงพี่คนที่อยู่ในห้องดันเรียกชื่อฉันก่อนนี่สิ
"ต่อไปเชิญคุณขวัญโมรีค่ะ" ทำยังไงดี ๆ คิดหนักเลยตอนนี้
แม่ก็ยังโทรตามยิก ๆ คนด้านในก็เรียกสัมภาษณ์แล้ว สุดท้ายฉันเลยต้องเลือกคนที่มีพระคุณก่อน
"ขอโทษนะคะพี่ พอดีข้าวมีเรื่องด่วน เชิญเรียกคิวต่อไปเลยค่ะ"
เฮ้อ! ชีวิตฉันทำไมถึงได้เป็นแบบนี้นะ
งานวันนี้เป็นงานเดินแบบงานใหญ่ซะด้วย ถ้าได้งานคือมีเงินห้าหลักปลาย ๆ อยู่ในกระเป๋าทันที แต่ฉันกลับมีความรู้สึกว่าเรื่องที่แม่โทรมาต้องสำคัญกว่างานนี้เลยจำเป็นต้องเลือกรับโทรศัพท์แม่แทน
[ข้าว ข้าวอยู่ไหนลูก!] ทันทีที่กดรับสายยังไม่ทันได้พูดอะไร แม่ก็ถามเสียงร้อนรนแถมเหมือนท่านจะร้องไห้ด้วย
"แม่มีอะไรคะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเสียงแม่เป็นแบบนั้น" รีบกรอกเสียงถามลงไปด้วยหัวใจที่เจ็บร้าวตาม
[พ่อ... พ่อเรา ฮึก]
พ่อ..? พ่อเลี้ยงฉันอีกแล้วเหรอ
"ลุงสงบเป็นอะไรคะ" รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยแม่ฉันไม่ได้เป็นอะไร
[คุณสงบอยู่โรงพยาบาล] แม่รีบเปลี่ยนสรรพนามเรียกพ่อเลี้ยงฉันใหม่ ตอนแรกท่านคงตกใจเลยเรียกแบบนั้นออกมาให้ฉันได้ยิน
ฉันไม่เคยเรียกพ่อเลี้ยงว่าพ่อ อันนี้แม่ฉันเป็นคนให้เรียกแบบนี้เอง และคุณลุงก็ไม่เคยน้อยใจที่ฉันไม่เรียกท่านว่าพ่อสักครั้ง
"คุณลุงเป็นอะไรคะ"
[มะ ไม่รู้ แม่ยังไม่ไปโรงพยาบาล] เสียงแม่สั่นอีกแล้ว
"แม่อยู่ที่บ้านใช่ไหมคะ งั้นเดี๋ยวข้าวไปรับ"
หลังจากนัดแนะกันเสร็จ ฉันรีบเดินออกมาจากอาคารพาณิชย์ที่เป็นที่สัมภาษณ์งานด้วยหัวใจที่ยังรู้สึกเสียดาย เดินไปปลดล็อกรถออดี้สีชมพูคู่ใจที่ยังผ่อนไม่หมด ขับออกไปรับแม่ที่บ้านเพื่อไปโรงพยาบาลทันที
โรงพยาบาลเอกชนชื่อดัง
หลังจากเลี้ยวรถเข้ามาในตัวโรงพยาบาลที่เห็นแค่ชื่อโรงพยาบาล เงินในกระเป๋าฉันก็เบาหวิวทันที
"ทำไมคุณลุงถึงมารักษาที่นี่คะ" ยังไม่รู้หรอกว่าพ่อเลี้ยงฉันเป็นอะไรแต่เดาไว้ก่อนว่าอาจจะแค่ไม่สบาย
"แม่ก็ไม่รู้ หมอเป็นคนโทรมา" แม่ยังมีน้ำใส ๆ คลออยู่ที่เบ้าตา เห็นแล้วจึงล้วงผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้ท่านเบา ๆ
"เราลงไปหาคุณสงบกันเถอะลูก" แม่รีบแย่งผ้าเช็ดหน้าไปจากฉันก่อนจะลงจากรถอย่างรีบร้อน มีอย่างหนึ่งที่ฉันรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจนั่นคือ…
แม่ดูรักพ่อเลี้ยงมากกว่าฉัน ความรู้สึกคนเรามันสัมผัสกันได้ ยิ่งเราสามคนใช้ชีวิตในบ้านหลังเดียวกันทุกวันฉันยิ่งรู้สึกได้ดี
แต่ก็ได้แค่น้อยเนื้อต่ำใจนั่นแหละ ฉันไม่เคยโกรธแม่หรอก นั่นอาจจะเป็นความสุขของท่าน เพราะท่านเคยเล่าให้ฟังว่า แม่ไม่เคยได้รับความรักจากพ่อแท้ ๆ ของฉันเลยจนหย่าร้างจากกัน และพ่อแท้ ๆ ฉันเสียหลังจากนั้นสามปีด้วยโรคร้าย
"ห้อง 402 ไปทางไหนคะ"
ทันทีที่เข้ามายังตึกของโรงพยาบาลแม่ก็รีบถามพยาบาลที่เดินผ่านมาทันที พอได้ความแล้วท่านก็รีบวิ่งไปกดลิฟต์อีกฝั่งเพื่อขึ้นไปยังห้องจุดหมาย
"คุณสงบ เป็นยังไงบ้างคะ"
แม่พรวดพราดเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่มีชื่อพ่อเลี้ยงฉันติดอยู่ประตูทันที
ฉันเดินตามเข้าไปติด ๆ ถึงกับขาชาก้าวไม่ออกเมื่อเห็นผู้ชายที่เป็นพ่อเลี้ยงนอนบนเตียงสีขาวสะอาดตา บนหัวมีผ้าพันแผลพันรอบศีรษะ แขนขวาเข้าเฝือก ขาซ้ายเองก็เข้าเฝือกนอนห้อยขาอยู่บนเตียง
"ทำไมคุณถึงเจ็บขนาดนี้คะ" นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากรู้
ปกติพ่อเลี้ยงฉันจะอยู่ที่บ้านทั้งวัน นาน ๆ ทีถึงจะออกมาข้างนอกแล้วกลับเย็น แต่ก่อนเกิดเรื่องแบบนี้จู่ ๆ พ่อเลี้ยงฉันก็หายออกจากบ้านสามวันสามคืน โชคดีที่ยังติดต่อกันได้ไม่งั้นคงแจ้งความคนหายไปแล้ว
แค่หายตัวไปสามวัน ทำไมถึงกลับมาสภาพปางตายได้ขนาดนี้
"คุณพิศ หนูข้าว ช่วยพ่อด้วย พวกเราต้องช่วยพ่อนะ พ่อกลัว"
พ่อเลี้ยงฉันตาลีตาเหลือกมองฉันกับแม่สลับกัน น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเครือจนแทบจะกลายเป็นเสียงสะอื้น
"กลัว คุณกลัวอะไรคะ แล้วทำไมคุณถึงเป็นแบบนี้" แม่ฉันถามทั้งน้ำตา
ก็รู้อยู่แหละว่าแม่น่ะรักพ่อเลี้ยงฉันมากท่านเลยเป็นห่วงแทบจะขาดใจ
"พวกมัน พวกมันหลอกพ่อ พวกมันโกงพ่อ"
ทุกคำที่พ่อเลี้ยงพูดออกมาท่านพยายามมองมาที่ฉันและสื่อบอกฉันราวกับมีแค่ฉันที่ให้ความช่วยเหลือท่านได้
"ใครคะ พวกนั้นที่ว่าคือใคร" เพราะพ่อเลี้ยงสบตามาทางฉัน ฉันเลยเป็นฝ่ายถามขึ้น "พวก... พวก" ท่านอึกอักหลบสายตาฉันและเหลือบมองแม่เป็นระยะ ๆ
"คุณพิศ คุณก็รู้นิสัยผมใช่ไหมว่าผมไม่ชอบเล่นการพนัน"
คำบอกเล่าของพ่อเลี้ยงที่เอ่ยกับแม่ทำแข้งขาฉันอ่อนยวบ
ฉันโตแล้ว ฉันอายุยี่สิบสี่ ฟังแค่พ่อเลี้ยงเกริ่นออกมาแค่นี้ทำไมจะต่อเรื่องราวไม่ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"คุณคะ ใจเย็น ๆ มีอะไรค่อย ๆ เล่ามาให้หมด ฉันกับยัยข้าวจะได้ช่วยแก้ปัญหาให้" ฉันถึงกับค้านแม่ในใจว่า ครั้งนี้คงจะช่วยพ่อเลี้ยงยากแล้วล่ะ
ถ้าเป็นอย่างที่ฉันคาดเดา พ่อเลี้ยงฉันคงเป็นหนี้พนันจากบ่อนที่ไหนสักที่ และดูจากบาดแผลเต็มตัวพวกนั้นบ่งบอกว่ามูลค่ามันคงไม่ใช่น้อย ๆ
"ผมถูกไอ้ทุยพาไป ผมแค่ไปเป็นเพื่อนมันแต่พวกนั้นบังคับผมเล่น แล้วสุดท้ายพวกมันก็โกงผมจนหมดตัว แถมยังมีหน้ามาบอกว่าผมเป็นหนี้พวกมันอีก"
ฉันยืนฟังอยู่ห่าง ๆ มือกำหมัดเข้าหากัน ร่างกายสั่นด้วยความหวาดกลัวเรื่องต่อไปที่กำลังจะรับรู้
"คุณเป็นหนี้พวกนั้นเท่าไหร่คะ เดี๋ยวฉันกับยัยข้าวจะหามาจ่ายเอง"
ฉันยืนลุ้นคำตอบจากพ่อเลี้ยงอยู่หลังแม่ตัวเอง "คือ.."
พ่อเลี้ยงอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ท่านไม่กล้าสู้สายตาใครสักคนในห้องนี้
แอ้ดดดด... ปัง!
เสียงประตูห้องพักคนไข้ดังกระทบผนังลั่นห้อง สายตาสามคู่หันไปมองผู้มาเยือนที่ไร้มารยาทอย่างพร้อมเพรียง
"คุณเป็นใคร เข้าผิดห้องแล้วค่ะ" ฉันรีบออกตัวกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญแถมไม่เคยเห็นหน้า
ผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งแต่ติดผอมไปนิดสำหรับความสูงร้อยแปดสิบที่กะเดาจากทางสายตา เขาแต่งตัวด้วยชุดสูทที่ค่อนข้างเนี้ยบสีดำทั้งชุด แถมยังสวมแว่นตาแบรนด์เนมสีชาทำให้มองไม่เห็นดวงตาแบบชัดเจน
"ไม่ผิดห้องหรอก" เสียงเขาค่อนข้างติดแหบเหมือนคนดูดบุหรี่จัดจนกล่องเสียงแทบจะพังเอ่ยขึ้น "หนูข้าว ถอยมาลูก!" เสียงพ่อเลี้ยงเรียกฉันสั่นเครือ
คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่นทันที ก่อนจะรับรู้ได้ว่า ผู้ชายคนนี้มีกลิ่นอายอันตรายอยู่ไม่น้อยก็ตอนที่เขาถือวิสาสะจับต้นแขนฉันกระชากอย่างแรง
"ลูกงั้นเหรอ แกมีลูกสาวก็ไม่บอกแต่แรก จะได้ไม่ต้องลงไม้ลงมือรุนแรงแบบนี้"
เสียงแหบพร่าเอ่ยขึ้นพร้อมแรงบีบที่ต้นแขนฉันผ่อนคลายลง
"อย่าแตะต้องหนูข้าวนะ!"