"อย่าแตะต้องหนูข้าวนะ!"
พ่อเลี้ยงฉันแทบจะกระโจนลงจากเตียงเพื่อมาช่วยฉัน
ผลัก! แม่ที่ยืนอยู่ใกล้ดูท่าไม่ดีรีบเข้ามาผลักอกชายแปลกหน้าออกจากฉันแต่เขากลับไม่ไหวติง "ถอย!"
"อย่าทำแม่นะ!" ฉันรีบเบี่ยงตัวเข้าไปคั่นกลางระหว่างคนแปลกหน้าที่เอื้อมมือหมายจะทำร้ายร่างกายแม่ฉันเอาไว้ "คนสวยอย่าสุ่มสี่สุ่มห้าเข้ามาแบบนี้สิ”
“ถ้าผิดพลาดเกิดผิวถลอกไปราคาจะตกเอา"
"ฉันบอกว่าอย่าทำอะไรหนูข้าว!" พ่อเลี้ยงยังคงขัดจังหวะการสนทนาของฉันกับคนแปลกหน้าคนนี้
"มึงมีสิทธิ์อะไรมาออกคำสั่งกับกู หรือมีปัญญาหาเงินมาคืนนายกูได้แล้ว?"
พอได้ฟังแบบนี้ข้อสงสัยทั้งหมดก็คลี่คลาย
ผู้ชายคนนี้คงเป็นลูกน้องของคนที่พ่อเลี้ยงฉันเป็นหนี้อยู่
ผลัก! รวบรวมแรงทั้งหมดสะบัดมือออกจากกุมมือใหญ่ตอนที่เขาเผลอ รีบก้าวขาถอยออกให้ห่างผู้ชายน่ากลัวตรงหน้าเพื่อตั้งหลัก
"คุณลุงเป็นหนี้เจ้านายคุณเท่าไหร่" แม้เขาจะทำไม่ดีกับฉันตั้งแต่เจอกันครั้งแรก แต่ด้วยความที่ฉันถูกสั่งสอนให้เป็นคนมีมารยาทเลยพูดโหด ๆ เหมือนคนอื่นไม่เป็น
"ไอ้แก่นั่นยังไม่ยอมบอกอีกเหรอ ฮ่า ๆ สงสัยกลัวพวกเธอช็อกตายเมื่อได้ยินยอดหนี้ทั้งหมด" ยิ่งได้ยินแบบนั้น ฉันกับแม่ยิ่งมองหน้ากันพร้อมร่างกายที่สั่นกลัว
แสดงว่ายอดเงินคงไม่น้อยอย่างที่ฉันคิดเอาไว้พ่อเลี้ยงฉันถึงได้ถูกทำร้ายปางตายแถมลูกน้องเขายังตามมาทวงในวันเดียวกันซ้ำอีกรอบ
"คุณก็บอกมาสิว่ายอดทั้งหมดเท่าไหร่" ใจกล้าเข้าไว้ข้าวฟ่าง
"หึ! ว่าไง จะบอกเองหรือให้กูสนองคนสวยคนนี้แทน"
เกลียดน้ำเสียงคนตรงหน้าเวลาพูดถึงฉันจัง มันมีแต่ความน่าขยะแขยงเต็มไปหมด ฉันรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ "ฉะ ฉันบอกเอง"
ฉันกับแม่รีบเปลี่ยนทิศทางทันทีเมื่อพ่อเลี้ยงตัดสินใจจะบอกหนี้ที่ท่านก่อไว้
"คุณพิศ หนูข้าว ฉันขอโทษ ขอโทษจริง ๆ"
เสียงพ่อเลี้ยงฉันสั่น ใบหน้าท่านเริ่มเหยเก จวบจนมีน้ำใส ๆ ไหลออกมาจากขอบตา เรียกความสงสารจากแม่จนท่านรีบปรี่เข้าไปกอดปลอบท่านไว้
"ใจเย็น ๆ คุณสงบ พวกเราต้องผ่านมันไปได้ ยัยข้าวอยู่ตรงนี้ ยัยข้าวต้องมีเงินช่วยคุณแน่ ๆ ตอนนี้คุณแค่บอกเรามาว่าเป็นหนี้พวกนั้นอยู่เท่าไหร่"
ใช่ คุณลุงต้องบอกข้าว เพราะข้าวจะได้จัดการต่อว่าควรทำยังไง
แต่แม่คะ แม่อย่าเพิ่งฝากความหวังว่าข้าวจะชดใช้มันได้หมดสิ จากการคำนวณแล้ว บางที.. เงินในกระเป๋าฉันอาจไม่พอ "ล้าน"
"คะ? เท่าไหร่นะคะ" เมื่อกี้เสียงพ่อเลี้ยงฉันเบาเกินไป ขนาดแม่ที่อยู่ชิดใกล้ขนาดนั้นยังได้ยินไม่ชัดจนต้องถามย้ำ
"หนึ่งล้าน พวกนั้นบอกว่าผมเป็นหนี้พวกมันหนึ่งล้านบาท"
ตุ้บ...กระเป๋าที่สะพายพาดบ่าหล่นลงพื้นทันทีที่ได้ยินยอดเงินที่ต้องใช้คืนเขา แข้งขาเองก็แทบจะยืนไม่อยู่ เหมือนตกจากหน้าผาสูง ๆ แต่ไม่ถึงพื้นสักทีมันอึดอัดเคว้งคว้างและหวาดวิตก
"พวกมันโกง ฉันจำได้ว่ายืมมาแค่หมื่นเดียว แต่พอจะกลับ พวกนั้นบอกต้องเอาเงินหนึ่งล้านมาคืนก่อน"
หูฉันฟาดไปใช่ไหม? จู่ ๆ หนี้ก้อนมหาศาลก็ผุดขึ้นมาภายในครอบครัวจากการกระทำของคนคนเดียว
"อย่ามาปรักปรำกันสิ ทางบ่อนเรามีหลักฐานการหยิบยืมทุกบาททุกสตางค์ หรือคนสวยอยากดูเดี๋ยวฉันกลับไปเอามาให้ดูตอนนี้ก็ยังได้"
ฟืด ฟาด ฟืด ฟาด
ลมหายใจฉันเริ่มติดขัด รู้สึกเหมือนหน้ามืดจวนจะเป็นลม
"ว้าย ยัยข้าว!"
หมับ!
ฉันกำลังจะล้ม แต่เหมือนมีคนรับไว้ทัน พอมองหน้าเท่านั้นรีบสะบัดมือหนีทันที
"หวงเนื้อหวงตัวแบบนี้ เจ้านายผมชอบ" ฉันขมวดคิ้วเป็นปมหนักกว่าเดิม
ผู้ชายคนนี้ชอบเอาฉันไปพูดเกี่ยวโยงกับเจ้านายเขาหลายครั้งแล้วนะ พูดเหมือนกำลังจะบอกอะไรเป็นนัยยะให้ฉันคิดตาม
"ตอนนี้เราไม่มีเงินเยอะขนาดนั้นจ่ายหรอกค่ะ แต่ถ้าให้ผ่อน ก็พอจะคุยกันได้"
ใช้น้ำเย็นลูบดูเผื่อเขาจะใจดี
"เรื่องนี้ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ ถ้าหากคุณอยากเจรจาประนอมหนี้แนะนำให้ไปคุยกับเจ้านายผมโดยตรง"
ฉันเห็นมุมปากเขาผุดยิ้มขึ้นราวเจอเรื่องสนุกสนาน มือเริ่มเย็นจนชื้นเหงื่อกับข้อเสนอของเขา
"แล้วเจ้านายคุณอยู่ที่ไหนคะ" ข่มเสียงไม่ให้สั่นเพราะเดี๋ยวเขาจะจับได้ว่าฉันกำลังกลัว "ไปตามที่อยู่บนนามบัตรนี้ได้เลย"
ผู้ชายตรงหน้ายื่นนามบัตรสีดำขลับเคลือบด้วยตัวหนังสือสีทองดูหรูหรามาให้
"ห้ามไปนะ หนูข้าวห้ามไปเจอผู้ชายคนนั้นเด็ดขาด แคก แคก ๆ"
พ่อเลี้ยงฉันตะโกนค้านจนไอตบท้ายประโยค
ฉันไม่ได้อ่อนต่อโลกขนาดนั้น หนังแนวมาเฟียโหด เจ้าพ่อกาสิโนร้าย ๆ ฉันเคยดูมาเยอะแยะ ทำไมฉันจะพอเดาสถานการณ์ไม่ออก เพียงแต่ เดาออกแล้วยังไงล่ะ ในเมื่อความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวคือ พวกเราไม่มีเงินก้อนใช้หนี้ให้เขา
"ข้าวขอคิดดูก่อนนะคะว่าจะไปเจอเจ้านายคุณวันไหน" พยายามยื้อเวลาออกไป บางทีฉันอาจจะปรึกษาใครสักคนเพื่อช่วยคิดหาทางออกเรื่องนี้ได้
"อย่าช้านักล่ะ เจ้านายผมเป็นพวกใจร้อน ถ้าขืนหน้ามืดขึ้นมา คนที่นั่งอยู่บนเตียงอาจจะไม่มีลมหายใจ"
"อย่าทำอะไรพ่อเลี้ยงฉันนะ!" มือสองข้างกางออกกว้างเพื่อปกป้องคนด้านหลัง
ถึงแม้ลุงสงบจะเป็นแค่พ่อเลี้ยง แต่ท่านก็เลี้ยงดูฉันกับแม่มาหลายปีถือว่ามีบุญคุณค้ำหัวเช่นกัน
"นั่นก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของน้องคนสวยแล้วล่ะ" ฉันรีบสะบัดหน้าให้ไกลจากนิ้วแกร่งที่ยื่นมาหวังจะแตะปลายคางฉัน
"จุ๊ ๆ ขอเตือน อย่าทำกิริยาแบบนี้ต่อหน้านายผมเด็ดขาด เพราะคุณอาจจะไม่ได้กลับมาเจอสองคนด้านหลังนั้นอีก"
รีบลูบแขนตัวเองทันทีเมื่อประโยคข่มขู่นั้นจบลง "อ้อ อีกอย่าง"
เหมือนเขาจะเดินออกไปจากห้องแล้วแต่ก็ไม่วายเอี้ยวตัวกลับมาอีกครั้ง
"ตำรวจน่ะ ช่วยอะไรพวกเธอไม่ได้หรอกนะ บ๊ายบาย ผมจะรอคุณคนสวยตามที่อยู่นั้นนะครับ"
ขยะแขยง...ขนแขนฉันลุกชันอย่างขยะแขยงน้ำเสียงคำว่าครับตบท้ายของเขา
ตุ้บ...เมื่อไม่มีคนนอกอยู่แล้ว แข้งขาที่ฝืนแรงเอาไว้ก็ทิ้งตัวนั่งลงนั่งตรงโซฟาข้างห้อง มือบางกอบกุมจิกลงไปบนอกข้างซ้าย พยายามผ่อนแรงกายใจให้เป็นปกติแต่ก็ช่างยากเย็น ฟุบ..
"ข้าว ข้าวจะช่วยคุณลุงใช่ไหมลูก"
ยังไม่ทันหายจากอาการตกใจจากเรื่องราวทั้งหมดดี แม่ก็ปรี่เข้ามานั่งข้าง ๆ พร้อมถามอย่างต้องการคำตอบ
"คือ ข้าว..." เมื่อเห็นแววตาคาดหวังของคนเป็นแม่ที่มองมาแล้วหัวใจฉันก็วูบไหว ปากหนักไม่กล้าปฏิเสธใด ๆ ออกไป
"ข้าวจะพยายามหาวิธีค่ะ" แม้ว่ามันอาจจะเสี่ยงในการเข้าถ้ำเสือ แต่ถ้าฉันนิ่งเฉย พวกนั้นอาจจะทำอย่างที่ขู่ไว้ก็ได้ใครจะไปรู้
"อย่านะหนูข้าว อย่าไปเจอคนพวกนั้นเด็ดขาด" ฉันได้แต่มองหน้าพ่อเลี้ยงยิ้ม ๆ
ถ้าทำแบบนั้นคนที่เสียใจที่สุดคงเป็นฉัน เพราะแม่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยลุงสงบแน่ ๆ "คุณลุงไม่ต้องเป็นห่วงข้าวนะคะ ข้าวเอาตัวรอดได้"
ตอบอย่างหญิงแกร่ง แต่ข้างในคือโคตรจะกลัว
ฉันเป็นเพียงผู้หญิงตัวเล็ก ๆ จะเอาอะไรไปสู้กับคนพวกนั้น
แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย ก็มีแต่เสียกับเสียเช่นกัน
"ขอบใจนะลูก คนดีของแม่" อ้อมกอดของแม่อบอุ่นเสมอ แต่นั่นก็เพียงชั่วขณะเพราะเมื่อคนป่วยกระแอมไอแม่ก็ปล่อยอ้อมกอดนั้นจากฉันเสียแล้ว
"แคก แคก"
"ดื่มน้ำหน่อยค่ะคุณ" ฉันนั่งมองแม่ป้อนน้ำลุงสงบอยู่ที่เดิมเงียบ ๆ
เหลือบมองนามบัตรใบหรูที่อยู่ในมือด้วยความเหม่อลอย
ชีวิตฉันทำไมต้องมาพบเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ผีพนันที่เคยได้ยินจากข่าวสารวันนี้กลับต้องมาเจอะเจอกับตัว
"เดี๋ยวข้าวขอตัวไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายก่อนนะคะ" เพราะอยากออกไปสูดอากาศข้างนอกเผื่อสมองจะได้โล่งบ้างเลยต้องรีบขอตัวออกมา
"ฝากด้วยนะลูก" แม่หันมาสบตาฉันไม่ถึงห้าวินาทีก็กลับไปสนใจคนข้างกายต่อ
ไม่ข้าวฟ่างเธอต้องไม่น้อยใจสิ
ความสุขของแม่ก็เหมือนความสุขของเธอจำไว้!