สามวันต่อมา ภวินท์ที่ถูกเรียกตัวกลับเมืองไทยอย่างเร่งด่วน ด้วยเหตุผลว่าเจ้าสัวภวัตป่วยหนักก็ปรากฏตัวขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ชายหนุ่มไม่ได้มาคนเดียว เพราะเขาหนีบเอาคู่ขาผมสีทองมาด้วยถึงสองคน
“สวัสดีค่ะคุณไบร์ท”
วัลลีย์ทักทายลูกเลี้ยงที่โตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อเหลาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก เพราะข้างกายของชายหนุ่มมีสาวผมทองแต่งตัวเซ็กซี่ขนาบข้างมาด้วย
“สวัสดีครับคุณแม่เลี้ยง”
ภวินท์ยกมือขึ้นโอบเอวสองคู่ขาเอาไว้ พร้อมกับหอมแก้มทั้งสองสาวนั้นโชว์สายตาแม่เลี้ยง และผู้หญิงอีกคนที่หลบอยู่ด้านหลัง
บัวรินค่อยๆ ก้าวออกมาเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม
“สะ... หวัดดีค่ะคุณไบร์ท”
แม้หล่อนจะไม่กล้ามองสบตากับผู้ชายตัวสูงเบื้องหน้า แต่กระแสความหล่อเหลาเกินต้านของเขาก็สะท้อนเข้ามาในดวงตาจนแทบตั้งรับไม่ทัน
ภวินท์หล่อกว่าเมื่อสิบปีก่อนเสียอีก...
“นี่ถึงกับต้องไปลากแม่ชีจากโบสถ์มาต้อนรับผมเชียวหรือครับคุณแม่เลี้ยง หรือว่าอยากให้เป็นศิริมงคลครับ”
ภวินท์มองบัวรินที่สวมใส่ชุดเดรสสีขาวยาวกรอมข้อเท้าด้วยสายตาดูแคลน
เขาจำได้ว่าใคร แต่เพราะอยากแกล้งให้คนตรงหน้าได้อับอายจึงพูดออกไปแบบนั้น
“เอ่อ... นี่บัวรินค่ะคุณไบร์ท ไม่ใช่แม่ชีจากโบสถ์ไหนหรอกค่ะ” วัลลีย์ตอบเสียงเบาๆ
ภวินท์หัวเราะเยาะ ก่อนจะพูดคำพูดที่ทำให้บัวรินเจ็บร้าวออกมา
“เชยไม่เปลี่ยนเลยนะบัวริน ตั้งแต่เด็กยันแก่ น่าสมเพช”
บัวรินไม่ได้โต้ตอบทำแค่เพียงยืนก้มหน้าเงียบๆ เท่านั้น
“ผู้หญิงคนนี้ใครกันเหรอคะไบร์ท” หนึ่งในสาวผมทองถามขึ้น และมองบัวรินด้วยสายตาดูแคลนไม่ปิดบัง
“คนรับใช้ที่บ้านน่ะ”
ภวินท์ตอบเสียงดังฟังชัด ก่อนจะโอบเอวสาวๆ พาเดินมุ่งหน้าจะไปลานจอดรถ แต่วัลลีย์เอ่ยแย้งขึ้นเสียก่อน
“คุณไบร์ทรู้ใช่ไหมคะว่าพา... เอ่อ... เธอสองคนนี้กลับไปที่บ้านไม่ได้ เพราะเจ้าสัวจะไม่ชอบใจ”
ภวินท์ไหวไหล่กว้างของตัวเองอย่างไม่ยี่หระ ก่อนจะโต้กลับ
“ถ้าไปบ้านไม่ได้ ผมก็จะไปโรงแรม เราไปกันเถอะ”
แล้วภวินท์ก็พาสองคู่ขาเดินจากไปอย่างไม่ไยดีคนที่มารับอย่างวัลลีย์และบัวรินเลยแม้แต่น้อย
“นี่ถ้าเจ้าสัวรู้เข้า จะต้องโมโหมากแน่ๆ เลยบัว” วัลลีย์พูดขึ้นอย่างไม่สบายใจ
“งั้นบัวจะไปพูดกับคุณไบร์ทเองค่ะ ป้าวัลรอบัวตรงนี้นะคะ”
วัลลีย์คว้าแขนของบัวรินเอาไว้ และส่ายหน้าไปมา
“ต่อให้บัวไปคุกเข่าตรงหน้าของคุณไบร์ท เขาก็ไม่ยอมกลับไปบ้านง่ายๆ หรอก”
“แล้ว... เราจะทำยังไงกันดีคะป้าวัล”
“เราก็ต้องปล่อยไปตามเวรตามกรรมเท่านั้นแหละบัว”
บัวรินไม่อยากเห็นสงครามระหว่างภวินท์กับเจ้าสัวภวัตอีกแล้ว แต่ก็รู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้
“ว่าไงนะ ไอ้ไบร์ทมันไปนอนโรงแรมอย่างนั้นเหรอ”
เมื่อเจ้าสัวภวัตรู้ว่าลูกชายไม่ยอมกลับเข้ามาที่บ้าน แต่เลือกไปนอนโรงแรมแทนก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
“เอ่อ... คุณไบร์ทบอกว่าขอพักผ่อนที่โรงแรมสักสามสี่วันแล้วจะกลับมาเองค่ะ”
วัลลีย์เลี่ยงที่จะบอกเรื่องคู่ขาของภวินท์ให้กับสามีฟัง
“แม้แต่วันเดียวฉันก็ไม่ยอมหรอก” เจ้าสัวภวัตลุกขึ้นจากโซฟานุ่ม
“เจ้าสัวจะไปไหนเหรอคะ” วัลลีย์รีบลุกขึ้นเข้ามาประคองเจ้าสัวภวัต
“ฉันจะไปลากคอไอ้ลูกระยำกลับมาบ้านยังไงล่ะ”
“เจ้าสัวคะ วัลว่า...”
วัลลีย์สบตากับบัวรินด้วยความตื่นตกใจ เพราะถ้าเจ้าสัวภวัตไปที่โรงแรม จะต้องเห็นคู่ขาของภวินท์แน่นอน
“ให้ป้าวัลกับบัวไปตามให้ดีกว่าค่ะเจ้าสัว”
บัวรินพยายามแก้ไขสถานการณ์
“ไม่เป็นไร ฉันไปเองง่ายกว่า”
เจ้าสัวภวัตตัดบท จากนั้นก็พูดกับบัวริน
“ให้ไอ้ดำเอารถออกเลย”
“ค่ะ เจ้าสัว”
บัวรินไม่มีทางเลือก นอกจากทำตามคำสั่งของเจ้าสัวภวัต
เสียงกดกริ่งหลายครั้งที่หน้าห้อง เรียกรอยยิ้มสะใจเล็กๆ จากมุมปากหยักสวยของภวินท์ให้เด่นชัดขึ้น
เขาคาดเดาไม่ผิดว่าสุดท้ายแล้วบิดาก็ต้องลากสังขารมาตามถึงที่นี่ คงเพราะถูกยัยแม่เลี้ยงกับเด็กแม่ชีเป่าหูนั่นเอง
“ไบร์ทคะ ใครมากดกริ่งคะเนี่ย ไม่มีมารยาทเลย”
คู่ขาที่เขาหนีบมาด้วยจากลอนดอนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
“พ่อผมเอง”
“พ่อของคุณเหรอคะ”
“ใช่”
ภวินท์ตอบ ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องพักออก และแน่นอนว่าบิดายืนหน้าตาถมึงทึงอยู่ตรงหน้าพอดี
“กลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้ไอ้ไบร์ท”
“ผมคงยังกลับไม่ได้หรอกครับ” ภวินท์ตอบยิ้มๆ และเอี้ยวตัวไปมองคู่ขาทั้งสองคนของตัวเองที่นั่งอยู่บนเตียง จากนั้นก็หันกลับมาจ้องตากับบิดาอีกครั้ง
“เพราะผมยังยุ่งอยู่น่ะครับ”
เจ้าสัวภวัตถลึงตาไปยังแม่สองสาวผมสีทอง ก่อนจะเลื่อนสายตากลับมาจ้องมองลูกชายตัวเอง และพูดเสียงเคร่งเครียด
“แกจะกลับหรือไม่กลับ ไอ้ไบร์ท”
“ยังไม่ใช่เร็วๆ นี้หรอกครับคุณพ่อ โอ๊ยยย”
ภวินท์ยังพูดไม่ทันจบ ไม้เท้าที่เจ้าสัวภวัตใช้ค้ำตัวเองอยู่ก็ถูกยกขึ้นฟาดลงบนศีรษะของลูกชายหัวแก้วหัวแหวนเต็มแรง
“จะกลับบ้านหรือไม่กลับ พูดอีกทีสิไอ้ไบร์ท”
“โอ๊ย.. คุณพ่อ ผมเจ็บนะครับ”
ภวินท์ปัดป้องพัลวัน
“เจ้าสัวคะ อย่าตีคุณไบร์ทเลยค่ะ”
วัลลีย์รีบห้ามเจ้าสัว แต่ภวินท์กลับมองไม่เห็นความดี
“หึ เล่นบทนางแม่พระใจดีอีกแล้วสินะ คุณแม่เลี้ยง”
“หุบปากเลยนะไอ้ไบร์ท”
“แตะต้องเมียรักไม่ได้เลยนะครับคุณพ่อ”
ภวินท์เยาะหยัน ก่อนจะเดินกลับที่นั่งห้อยขาบนเตียง โดยสองแขนโอบเอวสองคู่ขาเอาไว้
เจ้าสัวภวัตมองด้วยสายตาขุ่นเคือง จากนั้นก็พาตัวเองเข้าไปในห้องพักภายในโรงแรมของลูกชาย และตั้งท่าจะยกไม้ฟาดกบาลภวินท์ซ้ำอีก แต่ครั้งนี้ลูกชายเอาท่อนแขนกันเอาไว้ได้เสียก่อน
“กลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ผมไม่กลับ อย่างน้อยๆ ก็ไม่ใช่วันนี้ คืนนี้ครับ”
“งั้นแกก็เลือกเอานะ ว่าจะกลับบ้านวันนี้ หรือว่าจะไม่มีบ้านให้กลับเลยตลอดชีวิต ไอ้ไบร์ท”
ภวินท์มองบิดาด้วยสายตาผิดหวัง
“คุณพ่อพูดแบบนี้ แสดงว่าจะยกบ้านของแม่ให้กับยัยแม่เลี้ยงแม่พระหรือครับ”
“ก็ถ้าแกทำให้ฉันไม่พอใจมากๆ ฉันจะทำอย่างที่แกกลัวสักวัน”
แล้วเจ้าสัวภวัตก็ให้วัลลีย์ประคองตัวเองออกไปจากห้องของลูกชาย
ภวินท์ลุกขึ้นยืน ในหัวของเขาเต็มไปด้วยความวุ่นวายสับสน แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะตามบิดากลับบ้าน
“ไบร์ท คุณจะไปไหนคะ”
“ผมจะกลับบ้าน เอาไว้พวกเรานัดเจอกันวันหน้าก็แล้วกัน” เขาบอกคู่ขาทั้งสองคนอย่างไม่แยแสอะไรนัก
“แต่คุณบอกพวกเราว่าคืนนี้จะสนุกด้วยกันไงคะ”
“ผมไม่ว่างแล้ว ไว้โทรหาก็แล้วกันนะ”
ภวินท์ลากกระเป๋าเดินทางและรีบวิ่งตามบิดาออกไปทันที