อากาศเย็นสบายทำให้คุณชายเจ้าของแปลงผักหลวงยังมิอยากลุกออกจากเตียง ทั้งยังดึงเอาผ้าห่มที่กองอยู่บริเวณปลายเท้าเข้ามาแนบกับร่าง เพื่อป้องกันความเย็นที่มาพร้อมกับฤดูใบไม้ร่วง เมื่อคืนที่ผ่านมา เขานอนหลับสนิทเพราะฤทธิ์ของยาสมุนไพร ทว่าก็ยังตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า เพราะต้องการคิดถึงเรื่องเมื่อวานให้ถี่ถ้วน
หลี่ซินเหมยจูบแก้มของเขา
จูบแรกที่ได้รับจากโฉมงาม กระตุ้นความปรารถนาที่ซุกซ่อนเอาไว้ให้โหมกระหน่ำหนักหนายิ่งกว่าเดิม โจวเล่อเทียนเคยพึงพอใจกับการได้อยู่ใกล้ชิด และลอบช่วยเหลือนางในเรื่องต่าง ๆ แต่หลังจากถูกขโมยจูบไปเมื่อวาน คุณชายเจ้าสำอางกลับต้องการทำมากกว่าแค่ลอบช่วยเหลือกัน
โจวเล่อเทียนต้องการเก็บนางเอาไว้คนเดียว
ทว่าความต้องการที่ว่ากลับทำให้เขารู้สึกผิด เพราะหลี่ซินเหมยควรจะได้ครองคู่กับบุรุษที่มีร่างกายแข็งแรง มิใช่ขี้โรคอ่อนแอ ตากแดดตากลมไม่ได้ นางควรจะได้ครองคู่กับบุรุษที่พร้อมจะดูแลนาง มิใช่รอให้นางมาตรวจสอบดูแลว่ากินข้าวดื่มยาแล้วหรือยัง
โจวเล่อเทียนนอนกลิ้งอยู่บนเตียงเพื่อหาคำตอบให้กับตนเองว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี ทว่าเสียงเอะอะโวยวายและกลิ่นคล้ายมีบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้ ทำให้เขาต้องลืมเรื่องของหัวใจเป็นการชั่วคราว ขาสองข้างขยับพาตัวไปเปิดหน้าต่าง เพื่อตรวจสอบว่าข้างนอกเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ปรากฏว่ามีควันไฟลอยละล่องอยู่ไม่ไกลนัก
เจ้าของร่างสูงโปร่งคว้าเอาเสื้อตัวนอกมาสวมอย่างขอไปที ก่อนจะโกนเสียงดัง พลางวิ่งตรงไปยังบริเวณเกิดเหตุ ดวงตาเรียวเล็กจับจ้องแปลงไม้เลื้อยที่กำลังถูกเพลิงเผาไหม้ สลับกับดวงหน้าหวานของสตรีที่เขาชื่นชอบอย่างมาก นางขอโอกาสอธิบายว่าเหตุใดจึงต้องทำลายแปลงผัก ทว่ากลับเขาโกรธจนควบคุมสติเอาไว้ไม่อยู่ และตวาดโฉมงามไปอย่างไม่ไว้หน้า
“เหตุใดจึงเผาแปลงผักของข้า!”
ในมือของนางยังคงถือกิ่งไม้แห้งที่มีไฟติดอยู่เล็กน้อย มิต้องเดาก็รู้ว่าหลี่ซินเหมยคือผู้ลงมือในครั้งนี้
“คุณชายโปรดฟังน้องสาวซินเหมยอธิบายก่อน” ติงเกาเห็นท่าไม่ดี จึงรีบสอดปากเข้าช่วย
ทว่าคนที่กำลังโกรธมีหรือจะยอมรับฟัง
“พวกเจ้าไม่ต้องเข้าข้างนาง! ซินเหมย เจ้าไปให้พ้นหน้าข้า!”
ภาพของสาวงามใบหน้าเปรอะเปื้อนเขม่าควัน วิ่งออกจากแปลงผักไป ทำให้คนสวนที่เหลืออยู่ไม่พอใจในตัวคุณชายอย่างมาก ทว่าติงเกากลับห้ามมิให้ใครกล่าวอันใดต่อบุรุษที่กำลังอารมณ์เสีย เขาสั่งให้คนงานควบคุมกองไฟมิให้ลุกลาม ตามคำแนะนำของหลี่ซินเหมย และเพื่อป้องกันมิให้มีเชื้อไฟหลงเหลืออยู่ เขาจึงสั่งให้เตรียมรดน้ำ หลังจากแปลงผักไม้เลื้อยถูกทำลายจนราบคาบ
เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบอยู่ในสายตาของคนผู้หนึ่งมาโดยตลอด เขาสังเกตการณ์รอจนกระทั่งทุกอย่างสงบลงแล้วจึงค่อยแสดงตัว โจวหงเหลียงกลับบ้านเร็วกว่ากำหนดเพียงแค่สองวันก็ได้เห็นเรื่องอะไรดี ๆ เสียแล้ว
เมื่อครู่ที่ผ่านมา เขาแวะไปยังร้านขายสมุนไพรในตัวเมือง เพราะตั้งใจว่าจะแวะทักทายสองพ่อลูกก่อนกลับบ้าน แต่กลับเห็นเพียงหวังโหย่งเจาจัดการเปิดร้านขายสมุนไพรตามลำพัง และพอถามหาคุณหนูว่าที่คู่หมายของบุตรชาย เขาก็ได้ความว่านางโศกเศร้า เรื่องที่คุณชายโจวลุ่มหลงฝักใฝ่ในสตรีชั้นต่ำจนถึงขั้นล้มป่วยไป
ทว่าภาพตรงหน้ากลับบอกชัดว่าลูกชายของคนเดียวของเขามิได้ลุ่มหลงในตัวของนาง ทั้งยังตวาดไล่ไปให้พ้นหน้าด้วยอีกต่างหาก โจวเล่อเทียนยังคงรู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควร และนั่นทำให้บิดาอย่างเขารู้สึกสบายใจขึ้นมาก
“ท่านพ่อกลับมาเหนื่อย ๆ กลับต้องพบเจอกับปัญหา ลูกทำงานมิได้เรื่อง นับว่าอกตัญญูต่อท่านพ่อแล้ว”
“ปัญหาทุกอย่างล้วนมีทางแก้ไข แต่เราควรสืบให้รู้แน่ชัดก่อนว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแน่” โจวหงเหลียงตอกย้ำความเจ้าสำอางของลูกชาย ด้วยการสั่งให้คนไปแจ้งต่อสาวใช้ในบ้าน ว่าต้องการเสื้อคลุมกันหนาวสำหรับคุณชาย
อากาศจะร้อนหรือหนาว โจวหงเหลียงก็จะไม่ยอมเสี่ยง
“อาเหยียนกลับไปดูแปลงผักที่ต่างเมืองได้ไม่นานก็เกิดเรื่องแล้วหรือนี่ ว่าแต่มีเหตุผลสำคัญอันใด จึงต้องเผาแปลงไม้เลื้อย มิใช่ว่าพวกเจ้าจะต้องส่งของเข้าเมืองในวันนี้หรอกหรือ”
“ขอรับนายท่าน ความจริงวันนี้ก็ตั้งใจจะมาจัดการเสียตั้งแต่เช้า แต่ปรากฏว่าแปลงผักแปลงนี้มีปัญหา” ติงเกาเฉลยว่าแปลงแตงกวานั้นถูกเพลี้ยไฟบุก และลามไปยังถั่วลันเตาอีกด้วย ความจริงจะใช้วิธีค่อย ๆ เคาะออกก็ได้ ทว่าลมเอื่อย ๆ ของฤดูใบไม้ร่วง อาจจะทำให้มันกระจายไปยังแปลงอื่น
“ทีแรกก็ยังลังเล แต่น้องสาวซินเหมยกล่าวว่า หากเป็นคุณชายก็จะจัดการด้วยวิธีเดียวกัน นางบอกว่าอ่านเจอจากบันทึกของคุณชาย และจากประสบการณ์คล้ายกันยามปลูกสมุนไพรเมื่อหลายปีก่อน”
“เจ้าบันทึกไว้เช่นนั้นจริงหรือ” โจวหงเหลียงถามลูกชาย และได้รับคำตอบไม่ผิดไปจากที่ติงเกากล่าวให้ฟังนัก
“ลูกบันทึกไว้เช่นนั้นจริงขอรับ” คุณชายเจ้าสำอางถึงกับหน้าซีด เพราะทราบชัดแล้วว่าได้ทำผิดกับนางอย่างมหันต์
“คราวก่อนที่แปลงมะเขือถูกเพลี้ยไฟลง ลูกได้พยายามอย่างสุดความสามารถแล้ว ทว่าสุดท้ายก็ทำได้เพียงแค่เผาทิ้ง เพราะมิกล้าเสี่ยงให้แปลงผักอื่นต้องถูกทำลายไปด้วย” หากเป็นแปลงผักทั่วไปก็คงจะใช้วิธีที่รุนแรงน้อยกว่า ทว่าแปลงผักสกุลโจว มิใช่แปลงผักธรรมดาที่ปลูกให้ชาวบ้านกิน โจวเล่อเทียนจึงมิกล้าเสี่ยง
โจวหงเหลียงพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกชาย เพราะตัวเขาเองก็คงจะใช้วิธีเดียวกัน ในการจัดการปัญหา
“จะว่าไปแล้วสตรีนางนั้นก็ทำตามบันทึกของเจ้าอย่างเคร่งครัด แล้วเหตุใดจึงต้องดุด่าและไล่นางไปให้พ้นด้วยเล่า”
“เป็นลูกที่ใจร้อนไม่ยอมฟังนางอธิบาย” คุณชายโจวถอนหายใจยาว มิอยากเชื่อว่าตนจะขาดสติได้ง่ายถึงปานนั้น
“ลูกผู้ชายทำผิดย่อมต้องแก้ไข หลังจัดการเรื่องงานเรียบร้อย เจ้าค่อยไปกล่าวคำขอโทษต่อนาง”
โจวหงเหลียงสรุปสั้น ๆ เขาบอกกับติงเกาว่าให้แจกจ่ายงานตามความเหมาะสม และขอให้มีคนสวนสักสองสามคนคอยเฝ้าดูแล เผื่อว่าแปลงผักที่ถูกเผาจะยังมีเชื้อไฟหลงเหลืออยู่
สองพ่อลูกสกุลโจวตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าบ้าน เตรียมร่างจดหมายแนบไปว่าไม่สามารถจัดส่งผักครบถ้วนตามรายการได้ ทว่าคำสั่งที่หลุดออกมาจากปากของติงเกา กลับหยุดคุณชายเจ้าสำอางและบิดาเอาไว้เสียก่อน
“พวกเจ้าสองคนไปจัดการเก็บฟักทอง ส่วนเจ้าสองคนไปเก็บหอมและกระเทียม” หัวหน้าคนสวนชั่วคราว สั่งงานเช่นเดียวกับที่อาเหยียนเคยทำ นั่นคือแต่ละแปลงจะต้องช่วยกันสองคน เพื่อป้องกันมิให้เกิดข้อผิดพลาด และหากต้องการพืชผักประเภทใดเป็นจำนวนมาก เขาก็จะจัดแบ่งสามคนให้คอยดูแล
“พวกเจ้าสามคนไปที่แปลงผักของน้องสาวซินเหมย จัดการเก็บแตงกวา ถั่วลันเตา และบวบ ตามจำนวนที่ข้าแจ้งเอาไว้เมื่อวาน”
“แปลงผักของซินเหมย เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
โจวเล่อเทียนเร่งสอบถาม นอกจากแปลงสมุนไพรที่นางเพิ่งจะหย่อนเมล็ดพันธุ์ไปเมื่อวาน หลี่ซินเหมยยังมีอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจได้อยู่อีกหรือ
“น้องสาวซินเหมยนำเมล็ดพันธุ์ที่ควรจะถูกคัดทิ้งไปทดลองปลูกที่แปลงท้ายสวนขอรับ หากใครอยากจะนำกลับบ้านไปประกอบอาหารก็มิขัดข้อง” ติงเกาชี้ไปยังแปลงผักท้ายสวน บริเวณนั้นอยู่ห่างจากบ่อน้ำค่อนข้างมาก จึงถูกทิ้งเอาไว้เป็นทางเลือกสุดท้าย